It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
All blogs
 

การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร



 นิสัยชั่วเริ่มจากความผิดพลาดเล็กน้อย คนจะเลว จะชั่ว เมื่อเริ่มแรกมักไม่ได้ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว หนักหนาอันใด แต่มักเริ่มจากคุ้นเคยกับนิสัยบางอย่างที่ดูเหมือนไม่มีอะไรชั่ว แต่เมื่อทำไปแล้วภายหลังค่อยลุกลามกลายเป็นไม่ดี กลายเป็นชั่วไปในที่สุด //dmc.tv/a21435

 การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร ?

หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗




นิสัยชั่วเริ่มจากความผิดพลาดเล็กน้อย

    คนจะเลว จะชั่ว เมื่อเริ่มแรกมักไม่ได้ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว หนักหนาอันใด แต่มักเริ่มจากคุ้นเคยกับนิสัยบางอย่างที่ดูเหมือนไม่มีอะไรชั่ว แต่เมื่อทำไปแล้วภายหลังค่อยลุกลามกลายเป็นไม่ดี กลายเป็นชั่วไปในที่สุด

  เท่าที่หลวงพ่อย่ำโลกมาถึงวันนี้ ๗๐ กว่าปีแล้ว สิ่งที่พบก็คือ นิสัยชั่วของคนเราเริ่มต้นมาจาก ๒ สาเหตุ

สาเหตุแรก คือ ความสะเพร่า ไม่ละเอียดเท่าที่ควร ที่ทำให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องที่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

  สาเหตุที่สอง คือ ความไม่รู้ประมาณ ทั้งความไม่รู้ประมาณในการใช้ปัจจัย ๔ และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในอาชีพการงาน

     สิ่งเหล่านี้จะย้อนมาฆ่าตัวเอง ทำให้กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวในวันนี้ และกลายเป็นคนชั่วต่อไปในภายภาคหน้า    

    คนที่มีความมักง่าย สะเพร่าในตอนแรก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นหายนะ ถ้าเราทำอะไรหยาบ ทำอะไรสะเพร่า หนัก ๆ เข้าจากทำงานหยาบ ทำงานสะเพร่า ก็กลายเป็นคนที่ใคร ๆ ไม่ให้เครดิต ไม่ให้ความเชื่อถือ นอกจากไม่ให้ความเชื่อถือแล้ว ยังไม่ให้ความไว้วางใจด้วยเพราะฉะนั้นเวลามีงานอะไรดี ๆ สำคัญ ๆ เขาก็ไม่กล้าให้เราทำ แม้ใจจริงเขาอยากให้เราทำงานด้วย อยากให้เราเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขา แต่เราทำงานหยาบ ทำงานสะเพร่า ขืนให้ทำเดี๋ยวงานใหญ่เสียหายหมด

    แต่เราไม่รู้ตัวเองว่าเราเป็นคนสะเพร่า พอเขาไม่ใช้งาน เราอาจมีความรู้สึกว่า เขาเกรงว่าเราจะดีกว่า เขาอิจฉาเรา เราก็เลยไปโกรธไปแค้นเขา ที่จริงเราลืมดูตัวเอง ไม่ได้มองเข้ามาในตัวให้เห็นตามความจริง ก็เลยไปโกรธเขา แล้วเลยกลายเป็นจองเวรกับเขา กลายเป็นคู่แค้นคู่กัดกับเขาไปโดยไม่รู้ตัว

    จากเรื่องเล็กน้อยที่ลุกลามจากความสะเพร่า มักง่าย ทำหยาบ ๆ ลวก ๆ หนักเข้าก็เริ่มกลายเป็นความไม่รู้ประมาณ แล้วกลายเป็นความเลว ความชั่วเรื่องแบบนี้มีให้เห็นอยู่ไม่น้อยในทุกสังคม กรรมดีหรือกรรมชั่วของคนที่ทำ อยู่เป็นประจำในที่สุดจะกลายเป็นนิสัยดีหรือนิสัยชั่ว กลายเป็นนิสัยละเอียดหรือนิสัยหยาบ กลายเป็นนิสยประณีตหรือนิสัยสะเพร่ากลายเป็นคนนิสยใจกว้างหรือนิสัยเห็นแก่ตัว

นิสัยทั้งดีและไม่ดีนี้เกิดที่ไหน เกิดใน ๕ ห้องชีวิตของเรา คือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องอาหาร และห้องทำงาน ๕ ห้องชีวิตนี้ เป็นพื้นที่สำหรับทำกรรมของเรา ทั้งกรรมดีกรรมชั่วจนกลายเป็นนิสัยดีนิสัยชั่วติดตัวไปในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างเพื่อเป็นอุทาหรณ์ถึงการเกิดนิสัยทั้งดีและร้ายในห้องต่าง ๆ เริ่มจากเรามาสังเกตพฤติกรรมโดยทั่วไปของคนเรา ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเข้านอนกันตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกจากห้องนอน ออกจากห้องนอนแล้วต้องไปห้องน้ำก่อน เสร็จภารกิจที่ห้องน้ำก็ไปห้องครัวเพราะหิวแล้ว รับประทานอาหารจากห้องครัวห้องอาหารเสร็จเรียบร้อยก็จะแต่งตัว เสร็จแล้วก็ไปทำงาน ทำงานเสร็จแล้ว เลิกงานก็กลับบ้าน กลับบ้านก็มาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จ หิวแล้วก็เข้าครัว เข้าครัวเสร็จเรียบร้อยก็อาบน้ำอาบท่า อาบน้ำเสร็จก็มืดแล้ว เพลียแล้วก็เข้าห้องนอน

จากข้อสังเกตตลอดวันนี้เอง ทำให้เราพบว่านิสัยไม่ดีมาจากความมักง่ายในการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง ยกตัวอย่างเช่น

๑. นิสัยเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา

     คนหนึ่งตื่นปุ๊บพับเก็บที่นอนหมอนมุ้งอย่างดี แล้วไปเข้าห้องน้ำ อีกคนหนึ่งก็เก็บเหมือนกัน แต่พับขยุ้มม้วนๆ แล้วก็ซุกไว้ แค่เพียงการเก็บพับเครื่องนอนหลังการใช้ต่างกัน ก็เพาะนิสัยให้ต่างกันแล้ว

    คนหนึ่งเก็บอย่างดี เพราะนิสัยประณีต คนนี้ไม่ว่าไปหยิบอะไร ก็จะหยิบทำด้วยความประณีตหมด  แม้เข้าห้องน้ำก็ดูแลทำความสะอาด เข้าห้องครัวก็สะอาด แต่งเนื้อแต่งตัวสะอาดประณีตไปทำงานก็สะอาดประณีต

     แต่คนที่สักแต่ว่าเก็บแบบขยุ้มส่ง ๆ ขนาดที่หลับที่นอนยังขยุ้ม สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเหาหรือหมัดก็อาจมาอาศัยอยู่ได้ เมื่อเข้าห้องน้ำก็คงทำลวก ๆ เข้าห้องครัวก็ในทำนองเดียวกัน เมื่อเก็บที่หลับที่นอนไม่ประณีตพอ ห้องครัวก็จะทำความสะอาดไม่ประณีตพอ แค่น้ำตาลหยดหนึ่ง น้ำมันหยดหนึ่ง ก็เรียกมดมากินได้มาก ฉะนั้นเข้าครัวทีไรต้องมีมดตัวเล็ก ๆ แน่ เพราะว่ามักง่ายมาตั้งแต่พับเครื่องนอนแล้ว ห้องครัวที่มีมด แมลงสาบ เป็นความผิดของใคร ของมดหรือของเราที่เช็ดครัวไม่เกลี้ยง แล้วลงท้ายก็ต้องทำบาปฆ่ามดฆ่าแมลงอีก

     ถ้าห้องนอนห้องครัวไม่ประณีต บอกได้เลยว่า ในห้องน้ำก็คงขัดสีฉวีวรรณไม่สะอาดห้องแต่งตัวก็คงสะเพร่า เมื่อสะเพร่าตลอดทาง ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น การทำงานก็ไม่ประสบความสำเร็จเต็มที่เมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกหนึ่งก็น้อยอกน้อยใจ ว่าวาสนาเราไม่ดี หรือไม่อย่างนั้นก็คิดโทษเพื่อนร่วมงาน ว่าคงไปฟ้องเจ้านายอย่างนั้นอย่างนี้ คงร่วมมือเล่นงานเราแน่ กลายเป็นคิดเพาะศัตรูขึ้นมา หรืออาจกลายเป็นอิจฉาคนโน้นคนนี้ไปด้วย ว่าเริ่มงานมาพร้อมกันแต่แซงหน้าเราไปแล้ว

    จะเหน็ได้ว่า การกระทำผิดพลาดเบื้องต้น เริ่มจากเก็บที่นอนไม่เรียบร้อย กว่าจะรู้ตัวกลายเป็นเพาะศัตรู และคุ้นกับการทำกรรมชั่วมาตลอดทางเสียแล้ว

๒. นิสัยของคนนอนตื่นสายตลอดกาล

     ตื่นแล้วมักไม่เก็บที่นอน ไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกลับมานอนต่อ กว่าจะรู้ตัวอีกทีกลายเป็นคนตื่นสาย ตั้งแต่เป็นนักเรียนตื่นสาย ก็ไปโรงเรียนสาย พอไปทำงาน ก็ไปทำงานสาย คนไปสายมักจะต้องมีข้อแก้ตัวว่าทำไมจึงสาย ข้อแก้ตัวคือซ้อมโกหกทุกเช้า คนที่โกหกคือคนที่ไม่กล้าเผชิญความจริง เมื่อไม่กล้าเผชิญความจริง กำลังใจก็ถดถอยหดลงทุกวันๆ แล้วจะกลายเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจในที่สุด

     การไม่เก็บที่นอน แต่ไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกลับมานอนต่อ เป็นความผิดพลาดของการทำงานผิดขั้นตอน คือไม่กล้าตัดสินว่าเป็นเวลาที่ควรลุกจากที่นอนไม่กล้าตัดใจว่าจะไม่กลับมานอนต่อแล้ว มีโทษแก่ชีวิตถึงตายทั้งเป็น ฉะนั้นถ้าอยากจะให้ตัวเองเป็นคนที่มีความสามารถในการตัดสินและตัดใจ มีกำลังใจพร้อมบริบูรณ์ ต้องฝึกตั้งแต่ตื่นนอน พอลุกขึ้นจากที่นอนแล้วต้องเก็บที่นอนก่อน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นไม่มีทางเลยที่จะเป็นผู้นำได้ แม้เป็นผู้ตามก็เป็นได้แค่ผู้ตามชั้นเลว นิสัยเหล่านี้ คือนิสัยไม่เข้าท่า มักง่าย ขี้เกียจ สะเพร่า ขาดกำลังใจ นิสัยเหล่านี้คลานออกมาจากห้องนอน


๓. นิสัยไม่ถูกกันในหมู่พี่น้อง

  ทั้งที่พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างดี ถึงเวลาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมือนกันหมด ซื้อตุ๊กตาให้เหมือนกันหมด ข้าวปลาอาหารก็ให้เหมือนกันหมด แต่ว่าลูกไม่ถูกกัน ในที่สุดพบว่าสิ่งที่พลาดอยู่เรื่องหนึ่งก็คือไม่แบ่งเวลาให้ลูกทำงานให้ดี หรือไม่กำหนดเวลาทำงานบ้านของลูกแต่ละคนให้ชัดเจนเพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ลูกก็เกี่ยงกันล้างห้องน้ำ เกี่ยงกันพับเครื่องนอน เกี่ยงกันแม้กินข้าวล้างจาน ที่เกี่ยงกันก็เพราะว่า มีคนรับใช้ทำทุกอย่างให้หมด ลูกตัวเองเลยทำอะไรไม่เป็น

วันที่ลูกตัวเองจะทะเลาะกัน คือวันที่คนรับใช้ไม่ได้มาทำงาน แล้วเขาจะต้องลงไปช่วยกันทำ แต่ทำไม่เป็นก็เลยเกี่ยงกัน การที่เกี่ยงกันบ่อย ๆ เข้า กลายเป็นว่าลูกกินใจกันเองแล้วหาเหตุไม่เจอ แท้ที่จริงก็คือ ไม่ได้ฝึกให้ช่วยตัวเองในการทำงานพื้นฐานตั้งแต่ต้น กลายเป็นฆ่าลูก

   ใครที่ลูกไม่ถูกกัน ก็อย่าคิดเดาว่าโน่นว่านี่ ลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่ห้องนอน ห้องน้ำห้องครัว ว่าพื้นฐานของงานเหล่านี้ลูกเราทำเป็นหรือไม่ ถ้าทำไม่เป็นมีแต่ตายกับตาย เพราะเมื่อไม่เคยทำงานขั้นพื้นฐาน ก็จะไม่ได้ฝึกความละเอียดลออ ไม่ได้ฝึกความช่างสังเกต นิสัยสะเพร่า นิสัยมักง่าย นิสัยทำอะไรหยาบ ๆ ติดตัวไปเรียบร้อยแล้ว

๔. นิสัยลูกพูดจาไม่เพราะ


มีกรณีตัวอย่าง บ้านนี้พ่อเขาพูดเพราะ แม่เขาก็พูดเพราะ แต่ลูกพูดไม่เพราะ ส่วนบ้านโน้นแม่พูดเพราะ พ่อก็พูดเพราะ แล้วลูกก็พูดเพราะ สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองบ้านนี้ก็คือ พ่อแม่ พูดเพราะ มีเหตุมีผล มีการศึกษาก็ดี แต่ลูกไปคนละทาง บ้านหนึ่งพูดเพราะ อีกบ้านพูดไม่เพราะ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่สองบ้านนี้มีต้นแบบที่ดี

     สาเหตุมาจากห้องอาหาร บ้านหนึ่งพ่อแม่พูดเพราะ ลูกก็พูดเพราะเหมือนกัน เพราะว่าเมื่อถึงเวลามื้ออาหารพ่อแม่ลูกกินข้าวพร้อมกัน โอกาสที่คนในบ้านจะเจอหน้าพร้อม ๆ กันมีห้องเดียว นั่นคือ ห้องอาหารห้องครัว ส่วนห้องนอนต่างคนต่างง่วง จะไปนอนแล้ว เจอกันก็ไม่อยากคุยกัน ในห้องน้ำก็ใช้ทีละคน ห้องแต่งตัวก็ไม่ใช่ ถ้าแต่งตัวเมื่อไรแสดงว่าเตรียมจะไปแล้ว ไม่ใช่เวลา  คุยกัน ยิ่งห้องทำงานต่างคนต่างไปทำงาน ดังนั้นคนในบ้านจะมีโอกาสพร้อมหน้าพร้อมตาและมีโอกาสคุยกันอยู่ที่เวลากินข้าวนั่นเอง


  เมื่ออยู่ด้วยกัน ร่วมโต๊ะอาหารกัน อย่างไรก็ต้องคุยกัน ถ้าคุยแล้วมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย คุยอะไรผิดพลาดอย่างไร พ่อแม่ตัดสินเลย เตือนเลย “นี่พูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ” “พูดอย่างนี้เสียงดังไปนี่” “พูดอย่างนี้เจ้าอารมณ์นี่ แก้ไขนะ”

  ถ้าลูกกินข้าวด้วยกัน พ่อแม่จะเป็นกรรมการ จะเป็นครูฝึกพูด ฝึกตัดสิน แล้วครอบครัวนั้นก็จะมีความสุข สามารถที่จะตัดสินตัดใจในเรื่องอะไรต่อมิอะไรในเวลาทำงานต่อไปข้างหน้า  แต่ถ้าปล่อยให้ลูกกินข้าวลำพัง เวลาเถียงกัน ออกความเห็นกัน เตือนกันไม่ได้ เถียงกันก็เก่งในวงอาหาร ผลสุดท้ายไม่รักกันเท่าที่ควร พูดก็ไม่เพราะ ตัดสินก็ไม่ได้

ห้องนี้จึงได้ชื่อว่า ห้องมหาประมาณ ประมาณในการกิน ประมาณในการใช้ ประมาณในการพูด ประมาณในการเตือน จะฝึกลูกให้ชมคนเป็น ก็ฝึกกันแถวนี้ จะติเพื่อก่อ ก็ต้องฝึกตรงนี้ ติเพื่อก่อเป็นเรื่องที่ต้องฝึก ฝึกตรงห้องครัวห้องอาหารนี่ดีที่สุด

จากตัวอย่างที่ยกมา ๔ เรื่องนี้ เป็นหลักฐานให้เราเห็นชัดว่า ห้องทุกห้องและงานทุกอย่างที่ทำสามารถฝึกให้เป็นคนละเอียด เป็นคนช่างสังเกต เป็นคนขยัน รวมทั้งฝึกให้รู้จักประมาณก็ได้ ดังนั้นถ้าจะให้ลูกได้ดี ต้องมีครูกำกับทุกห้อง ถ้าใช้ห้องไม่เป็น นิสัยเสียก็มาจากห้องเหล่านี้  ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่รู้เทคนิคในการสอน หรือคุณพ่อคุณแม่เองก็ยังทำไม่เป็น ก็ต้องหาครูมาสอนลูกให้ทำเป็น ถ้าหามาไม่ได้ อันตรายเกิดในบ้านเราแล้ว ลูกคู่นั้น ลูกคนนั้น พร้อมจะเป็นศัตรูกับพ่อแม่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในอนาคตได้ เพราะเขาไม่ได้ครูดี

  ถ้าครอบครัวใดตระหนักและให้ความใส่ใจทำจริงกับการสร้างนิสัยดี กำจัดนิสัยชั่วจาก ๕ ห้องแห่งชีวิต ลูกบ้านนั้นก็จะเป็นลูกแก้ว พ่อบ้านก็จะเป็นพ่อแก้ว แม่บ้านก็จะเป็นแม่แก้ว   แม้บ้านหลังนั้นก็เป็นดุจวิมานบนดินของทุกคนในครอบครัว
~~~~~~~~~~~~~~~~
Cr: //www.dmc.tv/pages/good_QA/




 

Create Date : 10 กันยายน 2559    
Last Update : 10 กันยายน 2559 1:51:06 น.
Counter : 1375 Pageviews.  

นางสิริมา หญิงงามแห่งกรุงราชคฤห์






ในกรุงราชคฤห์นั้น มี นางสิริมา เป็นหญิงนครโสเภณีชั้นสูงแทนมารดา นครโสเภณี หมายถึงนางโสเภณีผู้สูงศักดิ มีการคัดเลือกจากทางการและมีกฎหมายรองรับ ซึ่งต้องมีคุณบัติ๕ข้อ คือ ๑.เล่นดนตรีเก่ง ๒.ร้องเพลงเก่ง ๓.ฉลาดในการรับแขก ๔.รูปร่างหน้าตาดีมาก ๕.บุคคลิกดี นางเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งต่อมาได้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระบรมศาสดา

นางสิริมาเป็นหญิงที่มีความงามจนผู้ชายทุกคนที่ยังหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ปรารถนาจะได้ร่วมอภิรมย์กับนาง แต่จะต้องจ่ายทรัพย์ต่อหนึ่งคืนสูงถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ หรือ ประมาณ ๔,๐๐๐ บาท ในสมัยนั้นซึ่งนับว่าเป็นราคาที่สูงมากๆ

เนื่องจากนางมีรูปร่างงดงาม และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในศิลปะอันเป็นวิชาชีพ จึงมีพวกบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วยโดยจ่ายทรัพย์ให้นางเป็นค่าตอบแทนตามราคาที่นางกำหนดไว้ นางสิริมาจึงร่ำรวยด้วยอาชีพเช่นนั้น ทั้งต่อมา นางสิริมาผู้นี้ยังบรรลุคุณธรรมพิเศษคือ โสดาปัตติผลอีกด้วย (โสดาปฏิผล คือ ผู้ที่ฝึกตนจนได้มรรคผลนิพพานขั้นต้น เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ) นางสิริมา พร้อมด้วยหญิงบริวารจำนวน ๕๐๐ คน ต่างประกาศตนเป็นเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

นางสิริมาหลังจากได้สำเร็จโสดาปัตติผลเป็นโสดาบันแล้ว ได้ทูลอาราธนาพระทศพลเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น ได้ถวายมหาทานอันโอฬารและประณีตตั้งแต่นั้นมา และได้ถวายอาหารแก่ภิกษุวันละ ๘ รูปเป็นประจำ นางได้เอาใจใส่สั่งคนรับใช้ให้ทำของประณีตถวายสงฆ์ ใส่ให้จนเต็มบาตรทุกรูป อาหารที่พระรูปเดียวรับมาจากบ้านของนาง พอเลี้ยงพระถึง ๓ หรือ ๔ รูป

ความงามของนาง แม้ภิกษุก็หลงใหลในความงามนั้น ได้กล่าวเล่าให้กับภิกษุรูปอื่นฟังว่า “ดีมาก ดีจนพูดไม่ถูก ปริมาณก็มากด้วย อาหารที่นางถวายแก่ข้าพเจ้านั้นแจกจ่ายแก่เพื่อนๆ ได้ถึง ๓ หรือ ๔ รูป แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่า นางสวยเหลือเกิน การได้มองดูนางดีกว่าไทยธรรมของนางซะอีก ท่านลองคิดดูเถอะว่า จะเลิศสักปานใด ปาก จมูก คอ มือ เท้าของนางดูงามละเมียดละไมไปหมด” ภิกษุรูปนั้นได้ฟังเพื่อนเล่าดังนี้ ก็กระหายใคร่จะได้เห็นนางสิริมาบ้าง จึงถามถึงลำดับของตนว่าจะได้ไปเมื่อใด ก็ทราบว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นลำดับของตนดีใจมาก

วันรุ่งขึ้นเมื่ออรุณยังไม่ทันเบิกฟ้า ท่านก็รีบเข้าไปที่โรงสลาก ได้เป็นหัวหน้าพระอีก ๗ รูปไปสู่บ้านของนางสิริมาเพื่อรับอาหาร แต่ว่าบังเอิญนางสิริมาได้ล้มป่วยลงโดยกระทันหันตั้งแต่เมื่อวันวาน จึงได้เปลื้องเครื่องอาภรณ์ที่สวยงามออกแล้วนอนซมอยู่ เมื่อเวลาพระมาถึง นางได้สั่งสาวใช้ให้จัดแจงให้เรียบร้อยเหมือนอย่างที่นางเคยทำเอง คือนิมนต์ให้พระคุณเจ้านั่งแล้วเอาบาตรไปบรรจุโภชนะให้เต็ม แล้วถวายข้าวยาคู หรือข้าวสวยแก่พระคุณเจ้า หญิงรับใช้ได้ทำตามที่นางสั่งไว้ทุกประการ เสร็จแล้วบอกให้นางทราบ นางจึงขอร้องให้หญิงรับใช้ช่วยกันประคองนางออกไปเพื่อไหว้พระคุณเจ้าทั้งๆ ที่กำลังจับไข้อยู่ ตัวของนางจึงสั่นน้อยๆ

ภิกษุรูปนั้นเมื่อเห็นนางสิริมาแล้ว ตะลึงในความงามพลางคิดว่า

“โอ้ กำลังจับไข้อยู่ ยังงามถึงปานนี้ ในเวลาไม่เจ็บป่วย ประดับประดาด้วยสรีราภรณ์อันอลังการสวยงาม นางนี้จะมีรูปสมบัติที่เลิศสักปานใดหนอ” ขณะนั้นเองกิเลสที่ท่านเคยสั่งสมไว้หลายโกฏิปีก็ฟูขึ้นประหนึ่งถูกแรงลม ท่านนั้นมีจิตใจจดจ่อแต่สิริมาไม่สามารถฉันอาหารใดๆ ได้เลย กลับสู่วิหารแล้วปิดบาตรไว้โดยมิได้แตะต้อง เอาจีวรคลุมศรีษะนอนรำพึงถึงแต่สิริมาด้วยความหลงใหล และไม่ยอมฉันอาหารตลอดทั้งัวน

และเย็นวันนั้นเองนางสิริมาก็ตาย

พระศาสดาทรงทราบเรื่องการตายของนางสิริมา และทรงทราบเรื่องภิกษุผู้หลงใหลในรูปของนางสิริมานั้นด้วย ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จักแสดงสัจธรรมบางประการ และทรงเห็นอุบายที่จะสอนภิกษุรูปนั้น และประชาชนทั้งหลายให้ได้ทราบความเป็นไปแห่งชีวิต จึงทรงรับสั่งถึงพระราชาพิมพิสารว่า ขอให้รักษาศพของนางสิริมาไว้ในป่าช้าผีดิบ อย่าให้กาและสุนัขเป็นต้นกัดกิน

๓ วันล่วงไปตามลำดับ ในวันที่ ๔ สรีระนั้นก็ขึ้นพอง น้ำเน่าได้ไหลเหยิ้มไปทั่วร่างกาย สรีระทั้งสิ้นได้แตกปริออกเน่าและเหม็นผุพัง

พระศาสดาผู้อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับยืนอยู่ข้างหนึ่ง แม้ภิกษุณีสงฆ์ ราชบริษัท อุบาสกบริษัท และอุบาสิกาบริษัทก็ยืนอยู่ข้างหนึ่งๆ

พระศาสดาตรัสถามพระราชาว่า “มหาบพิตรร่างนั้นคือใคร”

“นางสิริมาพระเจ้าข้า” พระราชาตรัสตอบ

“มหาบพิตรถ้าอย่างนั้นขอให้พระองค์ยังราชบุรุษเที่ยวประกาศไปในพระนครว่า ถ้าใครให้ทรัพย์ ๑๐๐๐ แล้ว ก็จงมารับนางสิริมาไป”

พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น ราชบุรุษเที่ยวประกาศทั่วพระนคร ไม่มีใครเลยที่จะรับนางสิริมาเป็นของตน ราชบุรุษประกาศลดราคาลงตามลำดับ ในที่สุดประกาศให้เปล่าก็ ไม่มีใครรับ

“ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ดูสตรีอันเป็นที่รักที่พอใจของคนเป็นอันมาก เมื่อก่อนนี้ให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะแล้ว ให้อยู่ร่วมด้วยนางสิริมาเพียงวันเดียวคนทั้งหลายก็แย่งกัน แต่บัดนี้เวลาล่วงไปเพียง ๕-๖ วันเท่านั้น ร่างเดียวกันนี้ แม้ให้เปล่าก็ไม่มีใครต้องการ ภิกษุทั้งหลาย รูปที่มีความงามถึงปานนี้ ถึงแล้วซึ่งความสิ้นและความเสื่อมไปตามธรรมดาของโลกทั้งหลาย รูปนี้เป็นอย่างไร รูปอื่นก็เป็นอย่างนั้น รูปอื่นเป็นอย่างไร รูปนี้ก็เป็นอย่างนั้น

ภิกษุทั้งหลาย ดูเถิด ดูร่างกายที่เน่าเปื่อยมีกลิ่นเหม็น มีกระดูกเป็นโครงอันเนื้อและเลือดซึ่งเกิดแต่กรรมทำให้วิจิตรแล้ว ร่างกายนี้อาดูร ไม่มีความเที่ยงหรือยั่งยืน แต่คนส่วนมากก็ยังดำริถึงด้วยความกำหนัดพอใจ”

เมื่อจบพระธรรมเทศนาลงธรรมาภิสมัย คือการรู้ธรรม ได้เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลเป็นอันมาก แม้ภิกษุที่ติดใจร่างกายของนางสิริมายิ่งนักก็ได้สำเร็จโสดาปัตติผล

ที่มา:
//www.dhammajak.net
: พุทธประวัติ นางสิริมา หญิงงามแห่งกรุงราชคฤห์
.........................
เครดิต vendindaw.ponyaguntho




 

Create Date : 06 กันยายน 2559    
Last Update : 6 กันยายน 2559 22:50:37 น.
Counter : 1152 Pageviews.  

"ตับ" เป็นอวัยวะที่แข็งแรงมากและใหญ่ที่สุดของร่างกายและสำคัญมาก ๆ ไม่แพ้หัวใจและสมอง



 ตับ เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ตับของผู้ใหญ่จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5 กิโลกรัม และที่น่าสนใจมากก็คือ ปริมาณโลหิตในร่างกายทั้งหมดซึ่งมีประมาณ 5,000 ซีซี. (5 ลิตร) จะไหลเวียนผ่านตับ 1 รอบใช้เวลาเพียง 4-5 นาทีเท่านั้น //winne.ws/n7218




ตับ เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ตับของผู้ใหญ่จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5 กิโลกรัม และที่น่าสนใจมากก็คือ ปริมาณโลหิตในร่างกายทั้งหมดซึ่งมีประมาณ 5,000 ซีซี. (5 ลิตร) จะไหลเวียนผ่านตับ 1 รอบใช้เวลาเพียง 4-5 นาทีเท่านั้น หรือ

อาจกล่าวให้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกว่า ตับเป็นอวัยวะที่มีเลือดในร่างกายไหลผ่านถึงวันละ 360 รอบ คิดเป็นจำนวนเลือดที่ไหลผ่านมีปริมาณมากถึงวันละ 1,800 ลิตร (คิดเป็นน้ำหนักถึง 1.8 ตัน) ถ้าเปรียบตับเป็นเครื่องยนต์ก็ต้องถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักที่สุด เพราะทำงานต่อเนื่องนานหลายสิบปีโดยไม่หยุดเลย

ตับเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงมาก และจะต้องทำงานไปตลอดอายุขัยของเจ้าของ ถ้าจะกล่าวถึงหน้าที่ของตับแล้วนับว่ามากมายทีเดียว ตับเป็นทั้งอวัยวะแห่งการสร้าง ซ่อมแซม ควบคุม เก็บกัก และขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสามารถกล่าวโดยย่อดังนี้

• อวัยวะแห่งการสร้าง ตับสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย สร้างโปรตีนหลายชนิดเพื่อให้ร่างกายนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างน้ำย่อยที่เรียกว่าน้ำดีไว้ใช้ย่อยอาหารในลำไส้ แม้กระทั่งสร้างหรือสังเคราะห์ไขมันเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตฮอร์โมนไว้หล่อเลี้ยงระบบต่างๆในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ เช่น ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น

• ตับช่วยซ่อมแซม เช่นเมื่อเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพเนื่องจากอาการของโรคเบาหวาน ตับก็จะทำหน้าที่ช่วยพยุงให้ตับอ่อนสามารถทำงานต่อไปได้ และยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ตับอ่อนให้กลับเป็นปกติได้ด้วย ดังนั้น ถ้าตับมีสุขภาพดีการควบคุมน้ำตาลในเลือดก็จะดีตามไปด้วยเพาะตับอ่อนมีสุขภาพดีนั่นเอง โรคเบาหวานจึงเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ถ้ามีตับที่แข็งแรง

• ตับช่วยควบคุม เช่นควบคุมการใช้พลังงานของร่างกาย ควบคุมการขับสารพิษให้ออกจากร่างกาย ควบคุมการนำสารอาหารที่ย่อยแล้วจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายอย่างเหมาะสมซึ่งเป็นกลไกที่มีความสำคัญที่สุดของการมีสุขภาพดี

• ตับช่วยเก็บกัก เช่น เก็บพลังงานไว้ใช้ในยามจำเป็นเมื่อประสบภัยอย่างกระทันหันร่างกายจะมีพละกำลังมหาศาล เช่นยกตู้เย็นวิ่งหนีไฟไหม้เป็นต้น นอกจากนั้นตับยังทำหน้าที่เก็บสะสมวิตามินและเกลือแร่มากมายไว้ให้ร่างกายได้ใช้ในทุกกิจกรรม

• ตับขับของเสียออกจากร่างกาย สารอาหารที่ย่อยแล้วถ้ามีปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ตับจะถือว่าเป็นสารพิษที่ต้องขับทิ้งออกจากร่างกาย แต่ถ้าอาหารเหล่านั้นมีปริมาณมากเกินกว่าที่ตับจะสามารถขับทิ้งได้หมดตับก็จะเฉื่อยชาและเริ่มเสื่อมสภาพ สารพิษหรืออาหารเหล่านั้นก็จะแทรกตัวเข้ากระแสเลือดเข้าสู่ร่างกาย นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพ และนำมาซึ่งโรคภัยร้ายแรงในที่สุด เช่น เริ่มจากมีน้ำหนักตัวเกิน ไขมันในเลือดเริ่มสูง มีความดันโลหิตสูงตามมา เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ สมองขาดเลือด ต้อกระจก และโรคไตวาย ตามลำดับ และอาจมีกลุ่มอาการของโรคอื่นแทรกขึ้นมาอีกก็ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคตับ หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือโรคภูมิแพ้ เป็นต้น

ตับจึงเป็นอวัยวะที่ต้องเอาใจใส่เพราะการมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุขภาพแข็งแรงนั้นต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพของตับเป็นสำคัญ หลายคนเข้าใจผิดไปให้ความสำคัญกับสมองและหัวใจมากกว่า พยายามหาอาหารเสริมราคาแพงมาบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วตับเป็นอวัยวะที่หล่อเลี้ยงสมองและหัวใจ การดูแลตับให้แข็งแรงมีวิธีเดียวคือการมีโภชนาการที่สมดุลและเพียงพอ กินอาหารที่ปรุงแต่งน้อยและเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ตับต้องการพลังงานจากอาหารไม่มากเพราะตับสามารถสร้างพลังงานได้เอง แต่ตับต้องการเกลือแร่ วิตามิน สารจากธรรมชาติ ( Phyto-nutrients ) และโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้การทำงานของตับดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด

เราทราบว่าโดยธรรมชาติแล้วตับเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงมาก เพราะกว่าจะทราบว่าตับมีปัญหาก็ต่อเมื่อร่างกายมีอาการของโรคปรากฎขึ้นแล้วทั้งนั้น เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด โรคหัวใจ สมองขาดเลือด โรคมะเร็งตับ เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องดูแลสุขภาพตับให้มั่นใจว่าแข็งแรงจริง ๆ

อวัยยะภายในร่างกายของมนุษย์



ไต ได้ชื่อว่าเป็นอวัยวะที่รักษาความสมดุลของร่างกายที่ดีที่สุด คือขับของเสียออกจากร่างกาย ควบคุมระดับน้ำ เกลือแร่ และสารอื่น ๆ ที่มีมากเกินไปในร่างกาย ควบคุมโลหิต สร้างเม็ดโลหิตและควบคุมระดับของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในเลือด ซึ่งมีผลต่อกระดูก ถ้าไตไม่ทำงานมีผลทำให้ร่างกายมีของเสียคั่งค้างอยู่มาก เซลล์ทำงานได้ไม่ปกติ มีน้ำ เกลือแร่ คั่งอยู่ในร่างกาย มีความดันโลหิตสูง โลหิตจาง กระดูกเปราะง่าย เป็นต้น และ

บางครั้งอาการเหล่านี้อาจทำให้เสียชีวิตได้ การเสียหน้าที่ของไต จากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง เมื่อถึงระดับที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการประคับประคอง (Conservative treatment) เช่นการรับประทานยา การควบคุมเรื่องอาหาร ผู้ป่วยจะต้องได้รับการักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หากอยู่ในขั้นระยะสุดท้าย เช่นเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะต้องรักษาโดยการใช้การบำบัดรักษาทดแทนไต เช่น การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

การดูแลรักษาทั้งตับและไตใช้วิธีเดียวกันคือ

1. กินอาหารที่มีสารอาหารสมดุล พิสูจน์มาเกือบ 10 ปีแล้วว่าผลิตภัณฑ์อาหารธัญพืชของซีเกรนทุกผลิตภัณฑ์มีส่วนทำให้ทั้งตับและไตทำงานดีขึ้นถ้ากินอย่างสม่ำเสมอ

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีแล้วพักผ่อนเพียงพอโดยเฉพาะการนอนหลับต้องให้หลับสนิทระหว่างสองยามถึงตีสี่เป็นอย่างน้อยเพราะเป็นเวลาทองที่ระบบในร่างกายกำลังซ่อมตับและไตให้แข็งแรง

3. อย่าเครียด เมื่อใดที่รู้สึกเครียดอารมณ์ไม่ปกติ พยายามแก้เครียดด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วแต่จะทำได้ซึ่งมีหลายวิธี เช่น ออกจากเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดไปเลย หรือเปลี่ยนบรรยากาศ ดูหนังสนุกๆ ฟังเพลง อ่านหนังสือที่ทำให้สบายใจ ทำสมาธิ ออกกำลังกาย หรือเอารูปหน้าคนที่ทำให้เครียดแปะไว้ที่ต้นกล้วยแล้วเตะเช้าเตะเย็น ก็ช่วยได้เยอะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก //www.zegrain.com/view-topic.asp?ID=1396

อาหารบำรุงตับ


เมนู 5 ชนิด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้เลือกรับประทาน แล้วทำให้ตับมีสุขภาพดีขึ้น

1. ซุปรวมเห็ดล้างไขมันในตับ เห็ดช่วยล้างสารพิษ แต่คุณควรกินเห็ดสามชนิดขึ้นไป โดยให้นำเห็ดมาแช่ให้นิ่ม หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วต้มกับมะตูมแห้ง ใบเตย หรืออาจนำไปต้มกับสาหร่ายทะเล ทานแทนซุปร่วมกับอาหารในแต่ละมื้อ ทั้งนี้ยังช่วยลดไขมันที่สะสมอยู่ในตับและกระแสเลือด ต่อต้านการก่อตัวของมะเร็ง ลดอนุมูลอิสระ การเกิดซีสต์ ถุงน้ำ เนื้องอก ช่วยสลายเยื่อพังผืดในช่องท้อง อุ้งเชิงกราน มดลูก ทั้งยังช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว

2. ขมิ้นชันขับพิษสะสมในตับ ขมิ้นชันจะช่วยบำรุง ฟื้นฟู และล้างสารพิษออกจากตับได้ วิธีที่แนะนำคือ ให้ทานในลักษณะแคปซูล ทำให้ทานง่ายขึ้น

3. เก๋ากี้ปกป้องตับยกระดับความแข็งแรง เก๋ากี้ มีเบต้าแคโรทีน กรดกำมะถัน เอมีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินอี และวิตามินบี 2 ซึ่งมีส่วนในการเสริมภูมิต้านทานโรค เพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ ช่วยให้ตับทำงานดีขึ้น วิธีการนำมารับประทาน เพียงแค่ต้มดื่มร้อนๆก็ได้

4. กะหล่ำปลีต่อต้านมะเร็งในตับ กะหล่ำปลีช่วยเพิ่มสารกลูตาไทโอน ที่ล้างพิษจากควันไอเสียและยา ซึ่งทำให้ตับพิการได้ และยังมีสารอินโดลฟลาโวนอยด์ คาร์บินอล ซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก ช่วยต้านการก่อตัวของมะเร็ง บำรุงไต ชะล้างสารพิษ ซึ่งอันนี้เราอาจจะนำมาผัดเป็นอาหาร หรือนำมาผสมกับผลไม้อื่น เป็นคอกเทลก็ได้

5. มะขามป้อมแอนตี้ไวรัสตับ มะขามป้อมอุดมไปด้วยวิตามินซีมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 160 เท่า และแม้จะถูกทำให้แห้งหรือแช่เย็นเป็นเวลานาน ๆ เท่าใด วิตามินซีก็จะยังคงอยู่ เพราะมะขามป้อมมีสารแทนนิน และโพลีฟีนอลที่ช่วยป้องกันการออกซิไดซ์ของวิตามินซี ซึ่งมะขามป้อมจะช่วยรักษาอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันการเกิดพิษโลหะหนัก ต่อตับ และยับยั้งการเกิดมะเร็งตับได้ การทานมะขามป้อมนั้นก็ง่ายเช่นกัน โดยนำมาคั้นดื่มเหมือนน้ำผลไม้ทั่วไป

ซึ่งอาหารที่กล่าวมาข้างต้น นั้นคุณอาจเลือกนำไปประกอบอย่างอื่นก็ได้ เพื่อความสะดวกในการรับประทานของตัวท่านเอง เพื่อตับที่แข็งแรง มีอายุยืนยาว

ข้อมูลและรูปภาพจาก : //todayhealth.org/

ขอบคุณที่มา //guru.sanook.com/26758/

สิ่งที่ทำลายตับ หรือทำให้ตับทำงานหนักมากขึ้น


ขอบคุณภาพและทบความจาก วินนิวส์




 

Create Date : 03 กันยายน 2559    
Last Update : 3 กันยายน 2559 6:39:13 น.
Counter : 2245 Pageviews.  

ณ,รอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด วัดป่าภูก้อน ต.บ้านก้อง อ.นายูง จ.อุดรธานี




ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม ท้องที่บ้านนาคำ ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี อันเป็นรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย 


เกิดขึ้นจากพุทธบริษัท ที่ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของธรรมชาติและป่าต้นน้ำลำธาร ซึ่งกำลังถูกทำลาย และเพื่อตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการรักษาความสมบูรณ์ของป่าไม้ต้นน้ำลำธาร สัตว์ป่า และพรรณไม้นานาพันธุ์ ให้เป็นมรดกของลูกหลานไทยคู่กับแผ่นดินไทย วัดป่าภูก้อน จะเป็นสถานที่ที่สงบเหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาของพระสายกรรมฐาน



พระวิหารที่สวยงามสะดุดตาของวัดป่าภูก้อน ได้รับออกแบบวิศวกรรมโครงสร้าง องค์พระพุทธรูปหินอ่อน พระวิหาร ศาลาราย และอาคารรอบลานเขา โดยพระวิหารมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ มีประตูทางเข้าออกวิหาร 3 ด้าน ภายในถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา แฝงไปด้วยเรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า 


รอบผนังภายในวิหารตกแต่งอย่างสวยงามด้วย ภาพพุทธประวัติและภาพทศชาติ ตกแต่งเป็นภาพปั้นนูนต่ำหล่อด้วยทองแดงจำนวน 22 ช่อง ซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้าในองค์ชาติต่างๆ 10 ชาติ เป็นการสื่อความหมายถึงการสั่งสมบารมีด้วยความพรากเพียร และความเสียสละของพระองค์ในทุกๆชาติ โดยด้านบนของทุกภาพ แกะสลักบทสวดอิติปิโสช่องละท่อนด้วยสีเขียวเข้มบนหินอ่อนขาวถือเป็นผนังพระวิหารที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร


ภายในวัดมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ ในพระเกศพระร่วงโรจน์ศรีบูรพา ซึ่งเป็นประธานประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ มีพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี พระพุทธไสยาสน์หินอ่อนสีขาว ความยาว 20 เมตร สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ที่นำมาเรียงซ้อนกันถึง 42 ก้อน ซึ่งเป็นหินขาวอ่อนที่มีความสวยงามและทนทานมากที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสร้างถึง 6 ปี สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในปี 2554 คณะพุทธบริษัทวัดป่าภูก้อนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน จึงมีการจัดสร้างพระพุทธไสยาสน์องค์นี้ขึ้น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ทางพุทธศิลป์แห่งรัชกาลที่ 9



นอกจากพระวิหารและพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนีที่เป็นจุดเด่นของวัดป่าภูก้อนแล้ว ยังมี พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ ที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันถัดมาทางด้านล่างก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และรูปปั้นหินอ่อนของเหล่าเกจิอาจารย์ชื่อดังของประเทศไทย ซึ่งมีศิษยานุศิษย์อยู่มากมาย โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางขึ้นบันไดยาวเพื่อเข้ามายังเจดีย์เพื่อเข้าไปสักการะบูชา แม้จะสร้างขึ้นได้ไม่นานแต่ที่นี่ถูกยกให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวอีสานอีกหนึ่งแห่ง

~~~~~~~~~~~~~~~~~~




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2559    
Last Update : 31 สิงหาคม 2559 11:41:58 น.
Counter : 1816 Pageviews.  

พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา



ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันบุรพกษัตริย์ไทยทุกพะองค์ล้วนให้ความเคารพและให้ความสำคัญสูงสุดกับพระพุทธศาสนาเหนือสิ่งใดเลยก็ว่าได้  //winne.ws/n7048



พระพุทธศาสนา แปลว่า คำสั่งสอนของผู้รู้ ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งสันติและเมตตาธรรม พระพุทธศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยในทุก ๆ ด้าน และพระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะคนส่วนใหญ่ ร้อยละ 95 นับถือพระพุทธศาสนา และอยู่เคียงคู่กับชาติไทยมาโดยตลอด บัณฑิตผู้มีปัญญาจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างประเทศก็ตาม ผู้ได้ศึกษาปฏิบัติธรรม และเห็นแจ้งตามพระสัทธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ก็จะไม่ละพระพุทธศาสนาไปอื่นเลย   มีแต่จะยิ่งศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยไม่มีคลอนแคลนไปได้

พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา

พระมหากษัตริย์ทุกยุคทุกสมัย ทรงทำหน้าที่ 2 ประการ ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจหลักคือ ด้านหนึ่ง ทรงทำหน้าที่ปกครองประเทศ โดยนำเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาที่เอื้อต่อการปกครองเพื่อความสงบสุขของประชาชน เช่น ทศพิธราชธรรม เป็นต้น อีกด้านหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่อุปถัมภ์คุ้มครองพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติ

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชพระองค์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาปกครองบ้านเมือง



พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย  สถาปนาพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่สืบทอดมาจากศรีลังกา เป็นศาสนาประจำประเทศไทย จากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช “คนไทยในสมัยสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน เจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐินเดือนหนึ่งจึงแล้ว....” (กรมศิลปากร. ศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ 1 ด้าน 2. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2519: 14 - 19)

สมัยก่อนวัดคือศูนย์กลางการศึกษาและเรียนรู้





 

Create Date : 30 สิงหาคม 2559    
Last Update : 30 สิงหาคม 2559 10:54:44 น.
Counter : 1207 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.