All Blog
ไม่มีเวลาก็ลดน้ำหนักได้! บุ๋ม ปนัดดา จาก 77 สู่เป้าหมาย 67 กิโลกรัม




ไม่มีเวลาก็ลดน้ำหนักได้! บุ๋ม ปนัดดา จาก 77 สู่เป้าหมาย 67 กิโลกรัม

ไม่มีเวลาก็ลดน้ำหนักได้! บุ๋ม ปนัดดา จาก 77 สู่เป้าหมาย 67 กิโลกรัม

         หลายคนอาจจะเคยได้ยินภารกิจ #60daychallenge ที่วู้ดดี้เป็นเสมือนตัวกลางในส่งเสริมสุขภาพให้กับคนที่เข้าร่วมภารกิจสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีแข็งแรงได้ภายใน 60 วัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ประสบความสำเร็จไปแล้ว ทั้งตัวของวู้ดดี้เอง / แจ็ค แฟนฉัน / บอย พิษณุ และล่าสุดกับคู่รักสุดน่ารักอย่าง หนูแหม่ม สุริวิภา กับสามีคุณบ๊อบบี้ โรเบิร์ต

         และตอนนี้ก็มาถึงคิวของดาราสาวคนเก่งอย่าง บุ๋ม ปนัดดา กันแล้วล่ะค่ะ โดยที่เธอบอกว่า เธอได้เห็นรอยยิ้มของแจ็ค เห็นรอยยิ้มจากพี่หนูแหม่ม ตัวเธอก็อยากที่จะมีรอยยิ้มแบบนั้นบ้าง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการลดน้ำหนักในครั้งนี้ค่ะ

         จุดเป้าหมายของเธอคือการลดน้ำหนักจากเดิม ชั่งตั้งแต่วันแรกที่เริ่มภารกิจคือ 77 กิโลกรัม เธอจะทำการลดให้เหลือ 67 กิโลกรัม ภายในเวลา 60 วัน
         โดยวิธีการที่เธอจะทำคือ 1. ควบคุมอาหาร และ 2. เดินวันละ 45 นาที โดยมีโค้ชคอยให้คำแนะนำ

         จากวันที่เริ่มภารกิจ ตอนนี้ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้วล่ะค่ะ เธอจะเปลี่ยนไปยังไงบ้างนั้นไปดูกันเลย สำหรับใครที่กำลังมีความตั้งใจจะลดน้ำหนัก อย่าท้อนะคะ สู้ๆ รับรองว่านอกจากจะหุ่นดีแล้ว สุขภาพก็จะดีตามไปด้วยเช่นกันค่ะ Sanook! Women เป็นกำลังใจให้นะคะ







Create Date : 19 มีนาคม 2559
Last Update : 3 เมษายน 2559 19:25:03 น.
Counter : 606 Pageviews.

0 comment
สวย เก่ง แถมเป็นอมตะ (กินเด็ก) วีเจจ๋า ดอกเตอร์สาวพราวเสน่ห์

สวย เก่ง แถมเป็นอมตะ (กินเด็ก) วีเจจ๋า ดอกเตอร์สาวพราวเสน่ห์

สวย เก่ง แถมเป็นอมตะ (กินเด็ก) วีเจจ๋า ดอกเตอร์สาวพราวเสน่ห์

สวย เก่ง แถมเป็นอมตะ (กินเด็ก) วีเจจ๋า ดอกเตอร์สาวพราวเสน่ห์

เป็นเรื่องให้อิจฉาตาร้อนเมื่อหนุ่มน้อยหน้าใส เมฆ จิรกิตติ์ พระเอกหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นประกาศจีบ ดาราสาวที่อายุห่างกัน 15 ปี ทำเอาสาวน้อย สาวใหญ่ พากรีดร้องรอลุ้นกับความรักครั้งนี้ว่าจะลงเอ่ยอย่างไร

จ๋า ณัฐฐาวีรนุช ทองมี หรือ วีเจจ๋า สาวสวยสุดเซ็กซี่ที่มีผลงานโด่งดังสร้างชื่อมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง เธอก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นวีเจทางแชนแนลวีไทยแลนด์ จนทำให้ชื่อ วีเจจ๋า เป็นที่รู้จักมีผลงานเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งงานโฆษณา ถ่ายแบบ พิธีกร รวมไปถึงการแสดงละครและบทนางเอกในภาพยนตร์เรื่องแรก คู่แท้ปาฏิหาริย์ ประกบคู่กับพระเอกตลอดกาล ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ต่อด้วยผลงานภาพยนตร์เรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ สร้างรายได้มากถึง 120 ล้านบาท ถือว่าเป็นภาพยนตร์ไทยที่กระแสดีและทำรายได้เป็นประวัติกาล

เรื่องงานบันเทิงที่ว่าเด่นแล้วเรื่องความเก่งของ วีเจจ๋า ไม่ธรรมดา เรียนจบปริญญาตรีจาก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และศึกษาระดับปริญญาโท ยุโรปศึกษา (European Studies) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โปรไฟล์เริ่ดทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้ปรบมือให้เลยค่ะ

ส่วนเรื่องความรักของเธอคนนี้ก็เป็นที่สนใจอยู่ตลอดๆ นับตั้งแต่มีภาพหวานกับ กึ้ง เฉลิมชัย หนุ่มนักธุรกิจ ทายาทเนสกาแฟ ออกมาให้ได้เห็นผ่านหน้าข่าวกันบ่อยๆ แต่แล้วสาวจ๋าก็ออกมาพูดเองว่า รักไม่ได้จบเพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ งานนี้ทำเอาหลายคนถึงกับงงกับความสัมพันธ์ทั้งคู่

แต่ล่าสุดกับข่าวที่ทำเอาหลายคนรู้แล้วถึงกับตาโต เมื่อ เมฆ จิรกิตติ์ พระเอกหนุ่มรุ่นน้องเดินหน้าจีบ วีเจจ๋า มีการคอมเม้นท์กันในอินสตาแกรม และยังมีคนตาดีสังเกตว่าภาพที่ทั้งคู่โพสต์ลงในอินสตาแกรม ถึงจะลงคนละวัน แต่เป็นรูปจากสถานที่เดียวกัน งานนี้มีลุ้นว่า วีเจจ๋า จะเป็นอมตะได้กินเด็กเป็นคู่รักต่างวัยอีกคู่ของวงการมั๊ยนะ 

สวยครบสูตรแบบนี้ Sanook! Women ต้องขอพาสาวๆ ไปอัพเดทความสวยเป๊ะ เพราะตั้งแต่เข้าวงการมาถึงปัจจุบันเธอยังคงความสวยได้ไม่เปลี่ยน แถมรูปร่างยังเปรี๊ยะซิกแพคแน่นจนสาวๆ ด้วยกันยังต้องเหลียวหลังมอง จะสวยแซ่บหุ่นเฟิร์มขนาดไหน ตามมาดูกันเลย

 

อัพเดทเรื่องราวมากมายที่ผู้หญิงห้ามพลาดได้ที่ อินสตาแกรม :  sanookwomen




Create Date : 19 มีนาคม 2559
Last Update : 19 มีนาคม 2559 16:11:14 น.
Counter : 817 Pageviews.

0 comment
ชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้ของ ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด
ชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้ของ ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด

ชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้ของ ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด

นิตยสาร Secret

สนับสนุนเนื้อหา

ชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้ของ ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด

คงมีหลายฉากหลายตอนที่เราคาดไม่ถึง แม้ว่าภาพลักษณ์ของเธอดูแรง แต่แท้จริงแล้วเธอคือผู้หญิงแกร่งที่ไม่เคยยอมแพ้แก่โชคชะตาและรักครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใดเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเธอไม่ใช่เงินทองแต่คือการช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยากเหมือนเธอครั้งในอดีตชีวิตของเธอยากลำบากมากแค่ไหนทำไมความตั้งใจสูงสุดคือการแบ่งปันสู่สังคมเรื่องราวชีวิตที่ไม่เคยคิดจะปิดบังของเธอคือคำตอบที่ดีที่สุด

วิมานสังกะสี
ครอบครัวของตุ๊กตามีกันอยู่ 3 คน คือพ่อ แม่ และตุ๊กตา จริงๆ แล้วมีพี่ชายหนึ่งคน แต่พี่ชายหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่ตุ๊กตายังเด็กมาก แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย พ่อแม่ของตุ๊กตาเป็นกรรมกร อยู่ในไซต์งานก่อสร้าง เราสามคนกินอยู่ในบ้านสังกะสีของคนงาน ไม่เคยอยู่ที่ไหนเป็นหลักเป็นแหล่งงานที่ไหนเสร็จก็ย้ายไปที่อื่น ไปสร้าง “วิมานสังกะสี” กันใหม่

ชีวิตความเป็นอยู่เป็นไปอย่างลำบากอดมื้อกินมื้อ อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์หรือก๋วยเตี๋ยวไม่ต้องนึกถึงเลย เพราะถือว่าแพงมาก อาหารที่กินเป็นประจำคือข้าวคลุกน้ำมันเจียวกากหมู เหยาะซอส ใส่น้ำตาล และถั่วลิสงคั่วเกลือ หลายครั้งที่ไม่มีเงินแม่ต้องไปเอาข้าวบูดที่เขาทิ้งแล้วไปตากให้แห้งเพื่อให้กลิ่นบูดหายไป แล้วเอามาต้มน้ำเป็นข้าวต้มกินกัน

ครั้งหนึ่งตุ๊กตาเห็นคนซื้อไก่ย่างให้หมาพอเขาเดินคล้อยหลังไป เราก็รีบไล่หมาไปแล้วหยิบไก่ขึ้นมาปัดดินออก จากนั้นรีบเอากลับบ้านไปให้พ่อกับแม่กิน ท่านถามว่าไปเอามาจากไหน เราก็ตอบไปตามประสาเด็กว่า

“หนูเห็นหมามันกิน แล้วอยากกินจังแต่หนูรู้ว่ามันแพง ไม่มีตังค์ซื้อ เลยแย่งมันมา หนูไม่บาปเนอะแม่เนอะ”

ตั้งแต่วันนั้น ตกกลางคืนพ่อแม่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน จนตุ๊กตาสงสัยจึงพยายามถามจนได้รู้ว่าพ่อกับแม่ไปรับจ้างทำงานหารายได้พิเศษตอนกลางคืน เพื่อจะได้มีเงินซื้ออาหารให้เรากิน ตุ๊กตาจึงขอตามไปทำงานด้วย งานที่พ่อแม่ไปทำคืองานเชือดไก่ ซึ่งเป็นงานที่สร้างความทุกข์ใจอย่างมาก แต่จำยอมทำเพื่อแลกเงิน เราสามคนทำไปร้องไห้ไปเสมอ เพราะรู้ว่าเป็นงานบาปที่ทำให้หลายชีวิตต้องตายไปต่อหน้าต่อตา ภาพเหล่านั้นยังคงติดตาเสมอมา จนโตขึ้นมาตุ๊กตาไม่กินเนื้อไก่อีกเลย

อีกหนึ่งงานที่ถ้ามีมาแล้วเราสามคนจะดีใจกันมากคืองานตักส้วม สมัยก่อนตามชนบทที่รถดูดส้วมเข้าไม่ถึง เมื่อถังส้วมเต็มต้องหาคนตักออก ตอนแรกพ่อกับแม่ไม่ให้ตุ๊กตาตามไปด้วยเพราะไม่อยากให้เห็นภาพการทำงานแบบนี้ แต่ตุ๊กตารู้สึกว่านี่คืองานสุจริตที่ทำให้เรามีเงินไปซื้ออาหารดีๆ ทำให้เราได้กินไข่ กินเนื้อหมู กินปลาทูกันตุ๊กตาไม่เคยเห็นว่างานพวกนี้ต้อยต่ำ ภูมิใจด้วยซ้ำที่พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อเลี้ยงเราให้ดีที่สุด และคิดเสมอว่า ถ้าวันหนึ่งทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเอง จะไม่ให้พ่อแม่ทำงานใดๆ ทั้งสิ้น จะดูแลให้ท่านอยู่อย่างสบายที่สุด

ปากกัดตีนถีบ
สิ่งที่เห็นตั้งแต่เด็กคือ พ่อกับแม่ทำงานหนักมาก ตุ๊กตาจึงช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ตอนหกขวบเริ่มช่วยแม่พับถุงปูน เก็บตะปูไปชั่งกิโลขาย โตขึ้นมาหน่อยก็เก็บผักบุ้ง ตำลึง ดอกโสน ดอกกระถินไปขายที่ตลาด และรับจ้างทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน

ตุ๊กตาไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แล้วก็ต้องย้ายโรงเรียนบ่อยมาก เพราะต้องย้ายไปตามไซต์งานก่อสร้างของพ่อแม่ จึงทำให้เรียนไม่ต่อเนื่อง ผ่านแต่ละชั้นมาด้วยความรู้งูๆ ปลาๆ แต่ถ้ามองในแง่ดีคือ ทำให้เราพยายามมากขึ้นเพื่อตามเพื่อนให้ทัน ถึงคะแนนด้านทฤษฎีไม่ดีนัก แต่คะแนนด้านปฏิบัติเต็มตลอด ไม่ว่าจะเป็นกีฬา งานฝีมือกิจกรรมทุกอย่าง เราพยายามทำหมดทุกอย่างเพื่อให้การเรียนผ่านไปได้ด้วยดี

ไม่ว่าไปเรียนที่ไหน ตุ๊กตาต้องมีของติดไม้ติดมือไปขายเพื่อนตลอด ต้องตื่นแต่เช้าตรู่มานั่งล้างมะม่วง มะยม ลูกหว้าแล้วแต่จะหามาได้ เอามาจัดใส่ถุง คู่กับพริกเกลือที่ทำเอง แล้วเอาไปขายที่โรงเรียนเพื่อนกินเสร็จมักชอบถุยเมล็ดทิ้งตามพื้นก็ต้องตามไปเก็บทำความสะอาด กลัวว่าถ้าทำให้โรงเรียนสกปรกแล้วครูจะไม่ให้มาขายของอีก

ตุ๊กตามักถูกล้อว่าเป็นพวกลูกก่อสร้างเสมอ แต่ก็ไม่โกรธนะ เพราะเราเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนี้จริงๆ แต่ถ้ามีใครมารังแกก่อน มักโต้ตอบแบบไม่กลัวว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง และอีกเรื่องที่ไม่มีวันยอมแน่ๆ คือ การพูดจาพาดพิงพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ใคร ใครก็รัก ทำให้มีเรื่องชกต่อยอยู่บ่อยๆ เรียกว่าเป็นสายโหดเลยแหละ ทุกครั้งที่มีเรื่อง แม่จะถูกเชิญไปพบครูที่โรงเรียนพอแม่มาถึง แม่ก็จะฟาดตุ๊กตาแบบไม่ยั้งโดยไม่ถามว่าใครถูกหรือผิด ซึ่งแม่บอกว่า
“แม่ขอตีลูกเองดีกว่า เพราะแม่ทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นมาตีลูก แล้วก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าลูกจะผิดหรือถูก แม่ก็ได้ทำโทษลูกไปแล้ว”


ท้อแท้ที่สุดในชีวิต
พอตุ๊กตาเริ่มโตเป็นสาว อายุประมาณ12 - 13 ปี พ่อก็เริ่มเป็นห่วง ไม่อยากให้เติบโตในไซต์งานก่อสร้าง จึงไปกู้เงินมาซื้อที่ดินตาบอด น้ำไฟเข้าไม่ถึง ปลูกบ้านหลังเล็กๆ อยู่กันสามคน เมื่อเป็นหนี้พ่อจึงต้องทำงานพิเศษ รับเหมาต่อเติมบ้านกับหัวหน้าคนงานแต่หัวหน้าคนงานกลับโกงเจ้าของบ้านแล้วหนีไป เจ้าของบ้านแจ้งความจับและมาตามพ่อที่บ้าน พอเห็นอิฐหินปูนทรายที่กองอยู่ที่บ้านพ่อจึงติดคุกเพราะจำนนด้วยของกลางที่อยู่กับเรา

ตอนนั้นตุ๊กตากับแม่ตกใจมาก แม่เครียดจนช็อกแล้วล้มลงไป พอฟื้นก็เป็นอัมพฤกษ์ ขยับร่างกายไม่ได้ เรายังเด็ก ไม่รู้จะทำอย่างไร และก็ไม่มีเงินพาแม่ไปหาหมออาศัยเพียงยาหม้อที่มีคนหามาให้ และดูแลแม่ไปตามอาการ กลางวันก็ต้องแว็บออกจากโรงเรียนมาป้อนข้าวป้อนน้ำแม่ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแม่จะอาการดีขึ้น

เมื่อขาดเสาหลักของครอบครัวไปตุ๊กตาต้องพยายามหาเงินมาใช้จ่าย เก็บผักไปนั่งขายที่ตลาด ขายไปร้องไห้ไป ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงไปที่วัด ตั้งใจไปขอพระท่านเป็นเด็กวัด เพราะอยากได้ข้าวมาให้แม่กิน แต่พระท่านบอกว่าเด็กผู้หญิงเป็นเด็กวัดไม่ได้ จึงนั่งร้องไห้ไม่หยุด ท่านถามไถ่จนตุ๊กตาเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง พระท่านก็เมตตานำข้าวและกับข้าวที่ได้จากการบิณฑบาตมาแขวนไว้ที่หน้าบ้านทุกวัน

แม้มีอาหารประทังชีวิตแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเงินพอใช้หนี้ เจ้าหนี้ก็มาตะโกนด่าหน้าบ้าน ขู่จะยึดบ้านบ้าง ตุ๊กตาก็หลบอยู่ในบ้าน ไม่กล้าออกไปรับหน้า เมื่อเจอปัญหาหลายด้านถาโถมเข้ามา บางครั้งก็รู้สึกท้อแท้ จนไม่อยากมีชีวิตอยู่

วันหนึ่งขณะขายผักอยู่ที่ตลาด ตุ๊กตาก็นั่งร้องไห้ไม่หยุด จู่ๆ ได้ยินคนถามว่า“หนูเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” พอหันไป เห็นลุงขอทานขาขาดทั้งสองข้างและมีแขนอยู่ข้างเดียว นั่งอยู่บนไม้กระดานที่มีล้อเข็น แกไสกระดานมาอยู่ข้างๆ ตุ๊กตาจึงเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้ฟัง พลางร้องไห้ไม่หยุด

“หนูไม่รู้จะทำยังไง หนูอยากตายแล้วทำไมหนูอายุเท่านี้ต้องมาเจออะไรอย่างนี้ด้วยลุง”

“ใจเย็นๆ นะหนู หนูดูลุงนะ ลุงไม่ได้พิการมาตั้งแต่กำเนิด แต่ลุงโดนรถชน ชนแล้วหนีด้วย ลุงมีเมียและลูกอีกสองคนที่ต้องดูแล แต่ดูสิ วันนี้หนูมีอะไรที่แย่กว่าลุงไหม ลุงมีมือข้างเดียว ขาก็ไม่มี อายุก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่งแล้ว แต่ลุงยังสู้ เพราะถ้าลุงไม่อยู่ ลูกเมียจะอยู่ยังไง หนูมีมือเท้าครบ ทำไมไม่ลุกขึ้นสู้ล่ะลูก”

ได้ยินอย่างนี้ตุ๊กตาเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ คำพูดของลุงเรียกสติกลับมาตั้งแต่วันนั้นตุ๊กตาเลิกร้องไห้ ลุกขึ้นมาสู้กับทุกอย่าง พอเจ้าหนี้มาก็ออกไปยกมือไหว้เขาพูดกับเขาอย่างจริงใจว่าเราไม่ได้คิดจะโกงและสัญญาว่าถ้าหาเงินได้เท่าไหร่จะแบ่งไปใช้หนี้ให้เขาทุกวัน บางวันขายผักได้ 20 บาท ก็กำเงินไปให้เขา กลายเป็นว่าเจ้าหนี้สงสารไม่กล้ารับเงิน ตุ๊กตาจึงขอไปทำงานบ้านให้เขาแทน ซึ่งเขาก็สงสารให้มาทำงาน และให้เงินค่าจ้างเรากลับมาอีก

เหตุการณ์นี้สอนให้ได้คิดว่า คนเราไม่ควรหนีปัญหา แต่ต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับมัน เอาความจริงเข้าสู้ เพราะทุกปัญหาต้องมีทางออก ไม่ว่าจะเป็นทางลัดหรือทางอ้อมถ้ามีสติจะหาทางออกเจอ เพราะโลกนี้ไม่ได้โหดร้ายไปเสียทุกอย่าง

แม้ชีวิตจะพบแต่เรื่องที่โหดร้าย แต่ตุ๊กตาไม่เคยยอมแพ้ และเชื่อว่าต้องมีวันที่เป็นของเรา

Secret BOX
เราไม่มีหน้าที่ทุกข์
แต่เรามีหน้าที่รู้จักทุกข์
ป.อ. ปยุตฺโต

 

อัพเดทเรื่องราวมากมายที่ผู้หญิงห้ามพลาดได้ที่ อินสตาแกรม :  sanookwomen

นิตยสาร Secret

เนื้อหาโดย : นิตยสาร Secret




Create Date : 19 มีนาคม 2559
Last Update : 19 มีนาคม 2559 15:54:12 น.
Counter : 1281 Pageviews.

1 comment
รู้ไหม คนชอบโพสต์ข้อมูลส่วนตัวลงโซเชียลรัว ๆ สมองทำงานต่างจากคนปกติ
20,719อ่าน
พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต

พฤติกรรมติดโซเชียลเน็ตเวิร์กขนาดหนัก โดยเฉพาะคนชอบโพสต์ข้อมูลส่วนตั๊วส่วนตัวลงโซเชียลรัว ๆ วิจัยชี้ชัด อาจมีการทำงานของสมองแตกต่างจากคนทั่วไป

ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคของโซเชียลเน็ตเวิร์กก็จริง แต่ก็ใช่ว่าเราจำเป็นต้องโพสต์ข้อมูลส่วนตัว ทุกความรู้สึก เช็กอินทุกที่ที่ไป และสิ่งอื่น ๆ รอบ ๆ ตัวเราลงโซเชียลซะเมื่อไร และรู้ไหมว่าคนที่ชอบโพสต์อะไรแบบนั้นผ่านโซเชียลบ่อย ๆ วิจัยก็ฟันธงดังฉับ ! เขาอาจมีการทำงานของสมองที่ไม่เหมือนเรา ๆ ผู้ที่เล่นโซเชียลก็บ่อยแต่ไม่ค่อยโพสต์ก็เป็นได้

พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต

          นักวิทยาศาสตร์จาก Freie Universität กรุงเบอร์ลิน ค้นพบว่า ผู้ที่ชอบโพสต์ข้อมูลส่วนตัวลงโซเชียลบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นสเตตัสบ่นเพ้อ รูปเซลฟี่ของตัวเอง หรือแม้กระทั่งคลิปวิดีโอส่วนตัว อาจมีกลไกการทำงานของสมองต่างจากคนอื่น โดยมีปัจจัยบางอย่างที่กระตุ้นให้สมองในส่วนที่เชื่อมโยงกับการรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง (self-cognition) จดจำกับพฤติกรรมชอบแชร์ และมีการเน้นย้ำความทรงจำนั้นบ่อย ๆ จนสมองสั่งการให้เขาแชร์เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองลงโซเชียลรัว ๆ โดยที่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเองแต่อย่างใด

โดย ดร.Dar Meshi ผู้นำทีมวิจัยก็เผยว่า การศึกษาในครั้งนี้มีอาสาสมัครทั้งหมด 35 คน โดยทีมได้โฟกัสการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเล่นโซเชียลไว้ 2 ส่วน ได้แก่ คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า ซึ่งทำหน้าที่แสดงบุคลิกภาพส่วนตัว รับผิดชอบการตัดสินใจ และจัดการพฤติกรรมทางสังคมของตัวเรา อีกส่วนคือสมองส่วน precuneus ทำหน้าที่สะท้อนความเป็นตัวตน และตระหนักรู้เกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง

          ทั้งนี้งานวิจัยได้เจาะจงกับโซเชียลมีเดียชนิดเดียวคือเฟซบุ๊ก ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานมาก และครอบคลุมทั้งการโพสต์สเตตัส รูป และคลิปวิดีโอ จากนั้นก็คัดกลุ่มอาสาสมัครตัวจี๊ดที่ชอบโพสต์เฟซบุ๊กบ่อย ๆ มาทำการศึกษาด้วยกระบวนการ Neuroimaging Technology สแกนสมองในส่วนที่โฟกัส และมาวัดความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของสมองส่วนเน็ตเวิร์ก กับสถิติการโพสต์ของอาสาสมัครแต่ละคน

พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต

โดยการศึกษาพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ชอบโพสต์เฟซบุ๊กบ่อย ๆ จะมีร่องรอยการทำงานของสมองทั้งส่วนคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า และส่วน precuneus หนักมาก อีกทั้งยังลามมาทิ้งรอยหยักที่สมองส่วนข้างและด้านหลัง (lateral orbitofrontal cortex) อีกต่างหาก ต่างจากผลสแกนสมองของอาสาสมัครที่ไม่ค่อยมีประวัติโพสต์เฟซบุ๊กบ่อยเท่าไร

          นอกจากนี้ผลการศึกษาจาก Gwendolyn Seidman of Albright College ยังเผยข้อมูลมาว่า สำหรับคนชอบโพสต์สเตตัสแสดงความรู้สึก และเรื่องดราม่าบ่อย ๆ อาจเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง มีความเก็บกด และมักจะใช้โลกออนไลน์แสดงความรู้สึก และบางคนมีแนวโน้มจะใช้โลกออนไลน์เพื่อหลีกหนีความจริงบางอย่าง หรือใช้มันเป็นหน้ากากปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอีกด้วย

แม้ยุคโซเชียลจะช่วยให้เราเข้าถึงเพื่อน ๆ และข้อมูลข่าวสารมากขึ้น แต่ก็อย่าลืมเงยหน้ามาพูดคุยกับคนรอบข้างกันบ้างนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Dailymail
The Atlantic



Create Date : 18 มีนาคม 2559
Last Update : 18 มีนาคม 2559 20:26:49 น.
Counter : 350 Pageviews.

0 comment
59 สิ่งดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559 เริ่มกันเลยไหมจ๊ะ
59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

ปีใหม่แล้ว ได้เวลาเลเวลอัพให้ชีวิตก้าวหน้าขึ้นในทุก ๆ ด้าน สุขภาพ ร่างกาย จิตใจ มาตั้งปณิธานกันว่าเราจะทำตาม 59 สิ่งนี้เพื่อให้ชีวิตแฮปปี้ขั้นสุด

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

1. ลดน้ำหนักสักที เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา
2. เลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร
3. พลาดแล้วให้มันผ่านไป ยิ้มรับมันให้ได้ (เก็บไว้เป็นบทเรียนชีวิต)

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

4. เลิกเหอะ ! นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง
5. ฝันอะไรไว้ ลงมือทำได้แล้ว

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

6. เบื่องานเก่าอยู่ไหม ? ลองหางานใหม่ดูสิ
7. ลองเป็นอาสาสมัครโดยไม่หวังผลตอบแทน (เป็นผู้ให้ สุขใจดีนะ)

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

8. เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ สักทีนะ
9. ตำหนิคนอื่นให้น้อยลง ชมเชยให้มากขึ้น
10. เล่นโทรศัพท์มือถือให้น้อยลง เมื่ออยู่กับคนอื่น ใส่ใจคนรอบข้างบ้าง

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

11. ลองตามเทรนด์สโลว์ไลฟ์บ้าง (ดื่มด่ำกับคุณค่าการมีชีวิต)

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

12. ฝึกนั่งสมาธิ & เล่นโยคะ (ฝึกจิตใจ แถมได้สุขภาพ)
13. ทำความสะอาดและจัดบ้านใหม่ไม่ให้รก

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

14. ออกกำลังกายวันละนิด พิชิตโรค
15. ลดอัตตาและทิฐิ ความเอาแต่ใจ

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

16. หาเวลาอยู่กับธรรมชาติ ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

17. กินอาหารดี ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีด้วย (You are What You Eat)

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

18. อ่านหนังสือ เปิดโลกทัศน์ใหม่
19. จัดลำดับความสำคัญในชีวิต

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

20. ตั้งเป้าหมาย แล้วพยายามไปให้ถึง
21. อย่าลืมให้กำลังใจตัวเองและคนรอบข้างบ้าง

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

22. เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
23. อย่าหยุดแสวงหาความรู้ (ลงเรียนเพิ่มเติมสิ่งที่สนใจ)

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

24. ฝึกใจให้คิดบวก มองโลกให้รอบด้าน
25. ปลดหนี้ ทั้งหนี้เงิน และหนี้ใจ

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

26. เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้พ้นจากความจำเจ

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

27. ใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

28. ปรับตัวให้แอ็คทีฟ ปลุกตัวเองจากความเฉื่อยชา

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

29. ตะลุยโลกกว้าง เปิดทางสู่ประสบการณ์ใหม่

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

30. ให้รางวัลชีวิตบ้าง
31. หยุดทำเรื่องไร้สาระ (ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็หยุดซะ)

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

32. เติมความมั่นใจ เพิ่มโอกาสให้ประสบความสำเร็จ

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

33. มองหารายได้เสริม เพิ่มช่องทางการลงทุน

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

34. เริ่มเก็บออมอย่างจริงจัง
35. ขจัดทุกอารมณ์ร้าย ๆ ใจเย็น ๆ
36. รู้จักปล่อยวาง

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

37. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
38. ตรงต่อเวลา
39. ให้อภัยกับทุกความโกรธเกลียด

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

40. ตื่นให้เช้าขึ้น และห้ามลืมทานอาหารเช้าเด็ดขาด
41. จดบันทึก
42. เพิ่มความรับผิดชอบ

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

43. ลองทำความรู้จักเพื่อนใหม่ และอย่าลืมโทรไปทักทายเพื่อนเก่า
44. ทำความเข้าใจชีวิต มองชีวิตให้ครบทุกด้าน

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

45. เลิกยึดติดกับอดีต ทำวันนี้ให้ดีสุด ๆ
46. เพิ่มเมตตาในใจ ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

47. ดูแลคนอื่นมาทั้งปี ดูแลผู้มีพระคุณบ้าง
48. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ฝึกวินัยการเงิน
49. รักตัวเองให้มากกว่าเก่า

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

50. ลดใช้ถุงพลาสติก ลดโลกร้อน
51. ทำบุญ ไหว้พระ ขอพร เสริมสิริมงคล

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

52. แจกจ่ายรอยยิ้มให้แก่กัน อย่าลืมยิ้มให้ตัวเองด้วย
53. อย่าอายที่จะบอกว่า "ฉันไม่รู้"

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

54. ทำให้ตัวเองมีความสุข และเผื่อแผ่ความสุขให้คนรอบข้าง
55. มีสติและตั้งรับกับเรื่องที่จะผ่านเข้ามา

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

56. หาเวลาอยู่กับตัวเองบ้างเพื่อคิดทบทวน
57. จัดสรรเวลาให้ลงตัว

59 ข้อดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559

58. พูด "ขอโทษ" และ "ขอบคุณ" ให้ติดเป็นนิสัย
59. วางแผนชีวิตในอีก 5 ปี เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต


59 สิ่งดี ๆ ที่น่าทำในปี 2559 เริ่มกันเลยไหมจ๊ะ




อ่านเรื่องนี้แล้ว คุณรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ?



Create Date : 18 มีนาคม 2559
Last Update : 18 มีนาคม 2559 20:24:09 น.
Counter : 638 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

สมาชิกหมายเลข 3057794
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Alise ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องความงาม
https://www.facebook.com/aliseshopping/