Beijing: The Great Wall of China
เช้านี้ตื่นขึ้นมานึกว่าฝนตกซะแล้ว แย่จังขอรับถนนเปียกหมด แต่ที่ไหนได้ เดินลงไปดูที่จอดรถหิมะตกเป็นเกร็ดๆ น่าเอาน้ำหวานมาราดทานจริงๆ โอ้วนี่คงเป็นแม่คะนิ้ง เย้ยย หิมะโปรย เย็นหัวมากเค้าบอกต้องใส่หมวกไม่งั้นจะเวียนหัวและปวดหัวมากAudi ราดน้ำแข็ง หุหุ โชคดีจริงๆ ไกด์ก้อยบอกว่าวันนี้เป็นวันแรกของปีนี้ที่หิมะตกขอรับ อ่าาาาก่อนไปกำแพงเมืองจีน ก็แวะชมโรงงานผลิตหยกก่อนขอรับนี่คงเป็นดาบมังกรหยก อุอิเป็นที่ขึ้นชื่อของชาวจีนที่มีความเชื่อว่ามีหยกไว้เป็นสิ่งที่ให้ความคุ้มครองปี่เซี้ยะตัวใหญ่ของร้านหยกนี้ เอ้า ลูบกันซะ หุหุนี่ก็สาธิตการทำกันเห็นๆ โอ้ว เย่ปี่เซี้ยะสีชมพูขอรับ กำลังได้รับความนิยม คู่หนุ่มสาวซื้อกันใหญ่โชคดีเรื่องความรัก อ่าาาา ไอ้เรามันตัวคนเดียว ขอผ่านดีกว่า หุหุกบหยกยักษ์ขอรับ หน้าตานี่ใช้ได้เลยโคมไฟลูกโลกทำจากเศษหยกหลายๆ ชิ้น สวยงามสุดๆราคาแพงมากทีเดียว งานนี้ได้จี้หยกปีเกิดมาแขวนคอ เกรดดีหน่อยก็หลายพัน จ๊ากกกนี่ก็รูปวาดในลูกแก้ว อ่ะๆ ซื้อไปฝากบิดาสักนิด เขียนขื่อด้านในได้ด้วยที่นี่แพงมากขอรับ ราคาเท่าสนามบินเลย ไปตลาดรัสเซียนี่ถูกกว่าเป็นสิบเท่าแทบร้องไห้ เลยซื้อลายเสือมาอีกอันแต่โชคดีที่ลายม้าที่ขาวดำที่นั่นไม่มีขาย ก๊ากกก ปลอบใจตัวเองเสียเงินเสียทองไปตามๆ กัน ออกมาด้านนอกโรงงานก็หนาวเหน็บหิมะยังโปรยปรายขอรับ อ่าาา เดินระวังๆ หน่อย ลื่นสุดๆจากนั้นก็ไปพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง Beijing Waxworks Palace of Ming Dynastyก็เนียนดีนะขอรับอันนี้ชาวบ้านยากจนน่าสงสารมาก คนดูเลยโยนเงินให้เยอะเลยเห็นเหรียญสิบไทยด้วยอ่ะ หุหุชมหุ่นขี้ผึ้งจำลองจักรพรรดิ์ทั้ง 13 พระองค์ของราชวงศ์หมิงมีทั้งยุคที่เจริญรุ่งเรืองสุดๆ จนถึงยุคมืดฉากนี้ดูได้อารมณ์ดีขอรับ เป็นการร่วมรับประทานอาหารออกมาจากพิพิธภัณฑ์หิมะก็ยังคงตกอยู่ ดูที่ใบไม้ หิมะหนาเชียว อิอิต้นไม้ขาวโพลน ถ่ายมาเหมือนภาพขาวดำเลยขอรับว่าแล้วก็อยากได้กล้องดีๆ กะเค้าบ้างนะเนี่ย เฮ้ออากาศหนาวต้องทานอะไรอุ่นๆ สุกี้มองโกเลียขอรับได้ทานเนื้อแพะ เค้าว่าทานแล้วจะอุ่น อ้วนเลยแหะคนละหม้อ เสียวหม้อร่วงมาลวกเหมือนกันแหะและแล้วก็ได้เวลาไปกำแพงเมืองจีน เย้ๆๆๆๆ หิมะตกสุดยอดๆๆๆไกด์เล่าว่ากำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลกสมัยจักรพรรดิ์จิ๋นซีฮ่องเต้ สร้างด้วยแรงงาน เลือดเนื้อ และชีวิตของคนนับล้านคน มีความยาว 6350 กม. ก่อสร้างขึ้นครั้งแรกประมาณกว่า 2000 ปี แน่ะมีคนมาทำ Snowman ไว้ด้วยป้ายอะไรก็ไม่ทราบ พอดีแยกมาจากไกด์และ ใครรู้ช่วยบอกทีรู้แต่ว่ากำแพงเมืองจีนสร้างราว 700 ปีก่อนคริสตกาลถึงราชวงศ์หมิง ปีค.ศ. 1368-1644 ความยาว 14600 ลี้หรือราว 6700 กม. เรียกว่ากำแพงหมื่นลี้ ยาวสุดลูกหูลูกตาจังหิมะโปรยทางเดินขาวโพลนเลยขอรับกำแพงเมืองจีน 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์โลก ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญคือ 1. กำแพงเมือง มีทั้งเป็นกำแพงหิน ดิน ทราย และอื่นๆ มีความสูงราว 3-8 เมตร และยอดกำแพงกว้าง 4-6 เมตรเดินขึ้นไปได้สักพักมองลงไปด้านล่าง หิมะบนหลังคานี่สวยจังขอรับนึกถึงญี่ปุ่นเลย อยากไปหน้าหนาวสักครั้ง เย้ยย2. หอสังเกตการณ์ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นบนใช้สอดส่องและยิงธนูต่อสู้ข้าศึก ชั้นล่างถูกซอยออกเป็นห้องเล็กๆ ใช้เก็บสรรพาวุธและเป็นที่พักนอนของเหล่าทหารที่ขึ้นนี่ก็เป็นป้อมแรกที่พวกทัวร์นิยมมาปล่อยกัน อิอิเพื่อนที่เคยมาบอกเราขึ้นไปถึงป้อมที่สี่ อากาศเบาบางมากเลยคนทั่วไปเดินถึงป้อมที่สาม ไอ้เราก็นะ นี่แค่ป้อมแรกเองเดินขึ้นไปก็ลื่นลงมา กำและ3. ตัวด่านหรือป้อมปราการ สร้างตามจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ต้องเดินอย่างระวังขอรับ เห็นตกบันไดมาหลายคนแล้วลื่นมากๆ บันไดบิ่นสึกหรอตามกาลเวลา หุหุ4. หอส่งสัญญาณ ตั้งอยู่นอกเขตกำแพงตามยอดเขาหรือที่ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลๆ ตอนกลางคืนใช้จุดไฟแจ้งเหตุ กลางวันใช้ควันไฟส่งสัญญาณเอาล่ะ ขึ้นมาถึงป้อมแรกแล้ว ฮาาาามันเป็นทางลาดขึ้น คนเยอะทีเดียว โหยย หมอกลงหนามองไม่เห็นป้อมที่สามเลยตามกำแพงด้านขวาจะมีโซ่อยู่แล้วก็มีกุญแจคล้องอยู่มากมายเค้าว่าเป็นของคู่รักที่มาล็อคกันแถวนี้อ่ะ เย้ยย รักยืนยงมั้งขอรับไม่ไหวๆๆ เดินขึ้นไปสักพักก็ไถลลงมา ก๊ากกก ยืนอยู่กับที่ยังไม่ได้เลยต้องเกาะกำแพงไว้ เศร้าและ ไถลลงมากันใหญ่เป้าหมายที่ฝันไว้ป้อมที่สาม แง้ๆๆๆ เศร้า ไปไม่ถึงฝั่งฝาส่งตัวแทนไปขึ้นป้อมสอง สำเร็จขอรับแต่ขาลงล้มก้นกระแทกพื้น น่าสงสาร ต้องเกาะโซ่เดินลงมา เหอๆๆหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ท้อใจ เดินลงมาด้านล่างยังอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองป้อมนั้น ฝากไว้ก่อนไว้มาใหม่ ยามไม่มีหิมะ ฮึ่มๆๆๆๆปัจจุบันเหลือให้เห็นเป็นรูปกำแพงตามดินแดนตอนเหนือของจีน กรุงปักกิ่ง 18 ด่าน นครเทียนจิน 2 ด่าน มณฑลกันซู่ 20 ด่าน มณฑลเหอเป่ย 43 ด่าน มณฑลเหลียวหนิง 2 ด่าน มณฑลหนิงเซี่ย 15 ด่าน มณฑลซันซี 61 ด่าน มณฑลส่านซี 24 ด่าน เท่าน้านนนี่ก็ต้นเล็บมังกร แง่งๆๆๆ ไม่มีใบหลงเหลือขอรับ เกร็ดหิมะเกาะ สวยงามป้อม 1 ที่พิชิตมาได้ ก๊ากกกปีหน้าก็ 2008 แล้วขอรับ Beijing Olympic ไกด์บอกราคาโรงแรมแพงขึ้นสิบเท่า ก๊ากกกง้านมาใหม่ 2009 แล้วกันๆๆ ว่าแล้วก็แวะซื้อของที่ระลึกกันวันนี้ก็หนาวสั่นกันทั้งวัน ไปแวะชมการสาธิตการรักษาแผลจากไฟไหม้ของโรงงานเป่าฝู่ถัง ผลิตยาบัวหิมะที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองจีนเค้าว่าถูกกว่าเจ๊เล้ง ก๊ากก อ่ะ เสียเงินเสียทอง ลดแลกแจกแถมกันไปตามๆ กันน่าสงสารเจ้าหน้าที่คนนี้ต้องเอามือไปลูบโซ่ร้อนๆ ทุกครั้งไป อิอิเหนื่อยหนาวๆๆ นอนฝันดีพร้อมลุยต่อวันต่อไปขอรับเปิด Heater ให้หน่อยๆๆๆ
Beijing: The Forbidden Palace
ปีใหม่นี้ไปไหนดี ปักกิ่งๆๆๆ แต่ดูสภาพอากาศแล้วคงหนาวเกินจะทน อิอิเลยขอไปแต่เนิ่นๆ ขอรับWonderful Package ออกเดินทางกับสายการบิน Air China ถึงสนามบินนานาชาติปักกิ่ง ลงจากเครื่องต้องรีบวิ่งขึ้นรถเพราะอุณหภูมิอยู่ที่ -5 หนาวสั่นสะท้านจริงๆ ขอรับ ขนกระเป๋าขึ้นรถไปโรงแรมชานเมืองพักที่โรงแรม Bai Ming Xiang โรงแรมระดับ 2 ดาว เช้านี้อากาศสดใสอุณหภูมิ -5 ถึง 6 องศาเซลเซียส โอ้ว แม่เจ้า เช้าๆ อย่างนี้ก็ยังติดลบอยู่ ขึ้นรถโค้ชของเราดีก่า อิอิไกด์สาวท้องถิ่น ผู้ที่เคยไปเรียนที่ไทยเป็นปี ทักทายพร้อมสอนภาษาจีนเล็กน้อยหนีห่าว แปลว่าสวัสดี ท่องคำนี้ไว้ตลอดการเดินทาง หุหุ แต่ก็ไม่ยักกะเห็นไกด์ท้องถิ่นพูดคำนี้แหะ ได้ยินแต่ เจ่าซั่งห่าว ซึ่งแปลว่าสวัสดีตอนเช้าซะมากกว่า เหอๆๆ และก็เซี่ยเซี่ย ขอบคุณๆ อันนี้พูดบ่อย อุอิ เคยได้ยินว่าคนจีนชอบเลี้ยงนก โอ้ว กรงนกวางเรียงรายยังกับร้านขายนกเลยขอรับถึงแล้วขอรับ เช้านี้มีแดด ดีจัง อากาศเย็นจนน้ำเริ่มแข็งแล้วนึกถึงเบียร์เป็นวุ้นๆ เย้ยยยไกด์สาวพาเราเข้าด้านหลัง เย้ยย ไม่ได้ชอบแบบน้านนะเค้าว่าด้านหน้าคนเยอะ ด้านนี้ดีกว่า เข้าเขตพระราชฐานชั้นในก่อน เหอๆๆพระราชวังต้องห้าม กู้กง สถานที่ว่าราชการและที่ประทับของจักรพรรดิ 24 พระองค์ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง เค้าว่างั้นตัวอะไรนี่ เดินตามไกด์แทบไม่ทัน เพราะมัวแต่ถ่ายรูปขอรับ ฮาาาาาเค้าว่าให้เราเดินชมโบราณสถานและสิ่งก่อสร้างทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่ 720000 ตร.ม. โห กว้างสุดๆ เดินไหวมั้ยอ่ะไกด์บอกว่าจะพาชมอาคารเครื่องไม้ที่ประกอบด้วยห้องต่างๆ ถึง 9999 ห้องถ้าชมตั้งหมดคงต้องขอค่าไกด์เพิ่ม ฮาาาาาาาาาาาาาคนน้อยกว่าที่คิดขอรับ เคยเห็นในรูปคนเพียบ เหมือนงานกาชาด ก๊ากกกไกด์บอกให้เดินชมตำหนักว่าราชการ พระตำหนักชั้นใน ห้องบรรทมของจักรพรรดิ์ และห้องว่าราชการหลังมู่ลี่ไม้ไผ่ของพระนางซูสีไทเฮาอยู่ไหนกันบ้างนี่ เดินดุ่มๆ ถ่ายรูป เป็นลูกทัวร์ที่แย่จริงๆไกด์สาวก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไป ไม่เห็นมีใครสนใจฟังเท่าไหร่ น่าสงสารขอรับแต่ก็เป็นธรรมดา พวกเรามาถ่ายรูป เย้ๆๆๆๆเค้าว่าพระราชวังต้องห้าม สร้างในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง เป็นที่พักของจักรพรรดิ 24 พระองค์ มีประวัติยาวนานกว่า 500 ปี หุหุที่นี่เค้าอลังการงานสร้างจริงขอรับ กู้กง หมายถึงพระราชวังเดิม หรือ จื่อจิ้นเฉิง แปลว่าพระราชวังต้องห้าม มาจากชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็นที่ต้องห้าม คนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ แต่ในที่สุดเราก็เข้ามาได้ เย้ๆๆๆพื้นทางเดินนี่เป็นเอกลักษณ์จริงๆ ขอรับ สึกหรอนิดๆ อิอิเค้าว่าพระราชวังต้องห้ามสร้างโดยยึดหลักขนบธรรมเนียมของระบบศักดินาคือ อำนาจสูงสุดของประเทศอยู่ที่จักรพรรดิพระองค์เดียว ดังนั้นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการตกแต่งจึงเน้นความใหญ่โตโอ่อ่า เพื่อให้เกิดความรู้สึกน่าเกรงขามมากกว่าเน้นในด้านประโยชน์ใช้สอย อ่าาาาทางเข้าห้องน้ำขอรับ ก๊ากก เดี๋ยวนี้ห้องน้ำพัฒนาขึ้นมาก คงเพื่อต้อนรับโอลิมปิคปีหน้า กำแพงเค้าสูงแดงจริงๆ แหะอ่ะๆ ฟังไกด์พูดต่อตามหลักสถาปัตยกรรมสมัยโบราณได้กำหนดให้ด้านหน้าเป็นที่ว่าราชการ ด้านหลังเป็นที่อยู่อาศัยดูจีนมากๆ ไกด์บอกว่าด้านหลังเป็นตำหนักที่ประทับของจักรพรรดิและมเหสีอีก 3 หลัง ได้แก่ ตำหนักเฉียนชิง ตำหนักเจียวไท่ และตำหนักคุนหนิงเดี๋ยวเราคงจะได้ไปตำหนักด้านหน้าบ้าง ไกลจริงๆๆโอ้ว ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกเหรอเนี่ย ดีนะที่อากาศเย็นสบายถ้าร้อนแบบบ้านเราคงเหงื่อตกขอรับตำหนักหน้า 3 หลัง ได้แก่ ตำหนักไท่เหอ ตำหนักจงเหอ และตำหนักเป่าเหอ เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ตั้งตระหง่านเรียงกันตามลำดับ ณ กึ่งกลางอาณาบริเวณส่วนหน้าของพระราชวัง ยังๆ ยังไม่ถึงขอรับ จ๊ากกกกโอ้ว ดูภายในกันบ้าง ที่ประทับของจักรพรรดิ์ เจ๋งจริงๆ เหมือนในหนัง อิอิลายมังกรของแท้ขอรับ เหมือนโอ่งมังกรบ้านเราไหมนะ ก๊ากกกอ่าาา ถึงจนได้ ตำหนัก 3 หลังในเขตพระราชฐานชั้นนอกเป็นที่ว่าราชการแผ่นดินและที่ทรงงานของจักรพรรดิ เค้ายังคงปรับปรุงซ่อมแซมต้อนรับปีหน้าอย่างต่อเนื่องขอรับตำหนักไท่เหอเป็นตำหนักเอกที่มีความพิเศษที่สุด ดังนั้นจึงมีรูปแบบการก่อสร้างและการตกแต่งเป็นสุดยอดของพระราชวังต้องห้ามรวมถึงตำแหน่งที่ตั้งซึ่งอยู่จุดกึ่งกลางของนครปักกิ่งพอดี หาวิวคนโล่งๆ ได้ซะที อิอิตำหนักที่สูงตระหง่านที่สุดในพระราชวังแห่งนี้โดดเด่นบนฐานหินอ่อนสีขาว 3 ชั้นด้านหน้าตำหนักมีการจัดวางนาฬิกาแดดและเจียเลี่ยง ซึ่งเป็นเครื่องมือชั่งตวงวัดชนิดหนึ่งซึ่งจักรพรรดิเฉียนหลงทรงให้ทำเลียนแบบเจียเลี่ยงในสมัยถังไม่เห็นอ่ะๆๆๆ ว้าๆๆๆๆตำหนักแห่งนี้ใช้เป็นที่จัดพิธีสำคัญของราชสำนักตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง เช่น พิธีครบรอบพระชันษา พิธีฉลองขึ้นปีใหม่เห็นในหนังจีนหลายเรื่องขอรับ ดีจัง กลับไปดูหนังอาหลิวดีกว่า ก๊ากกอ่าาาา ธงไทยปลิวไสวในต่างแดน เย้ๆๆๆกว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ ซะด้วย ขอหน้าตรงหน่อยๆๆถึงทางออกด้านหน้าแล้วขอรับ คนเดินเข้าเยอะมากจริงๆดีที่มาทางประตูหลัง เย้ยยย วิวสุดฮิต อิอิและนี่ก็คือด้านหน้าทางเข้าของพระราชวังต้องห้ามนี่เองคนจีนมาเที่ยวเพียบเลยแหะ กากี่นั้งๆๆโอ้วว รูปท่านประธานเหมาขนาดใหญ่มากกกกกอ่ะ เดินๆๆๆ เดินทางสู่ จตุรัสเทียนอันเหมิน จตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัญลักษณ์ของประเทศจีนใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีฉลองเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ อิอิมีอนุสาวรีย์วีรชนศาลาประชาคมหอระลึกประธานเหมา เจ๋อตุง ด้วยขอรับหิวๆๆๆ รีบไปทานอาหารกลางวันกันขอรับ หลังจากเดินเป็นกิโลจากนั้นเค้าก็พาไปหอบวงสรวงเทวดา เทียนถัน เป็นสถานที่ประกอบพิธีบวงทรวงเทพยาดาแบบป้ายบรรพบุรุษของจักรพรรดิ์ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง อ้าว ไหนล่ะ เห็นคนสูงอายุมาวิ่งเล่นกันมากมายที่แท้ด้านหน้าก็เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้สูงวัยกันขอรับเหมือนสวนลุมบ้านเราเลย มีรำไท้เก็ก ตามระเบียงยาวนี่ก็หลากกิจกรรมถักไหมพรม หมากรุกจีน ร้องเพลงปลุกใจ เล่นไพ่ สุดจะบรรยายนี่ก็วงดนตรี Live concert เล่นกันตามทาง ตั้งวงกันเอง น่าสนุกมากๆ ขอรับและแล้วก็มาถึงเสียที หอเทียนถัน หอสักการะฟ้า เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิเสด็จมาประกอบพิธีสักการะเจ้าฟ้าและดินในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง เพื่อขอความสิริมงคลแก่ตน ขอฟ้าขอฝนให้พืชผลในไร่นาอุดมสมบูรณ์ พสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุข เท่ห์จังนี่ก็เป็นปุ่มทองๆๆ ที่ประตูขอรับ ทำไมต้องเป็นปุ่มๆ ด้วยนะ ไกด์บอกว่าที่นี่น่ะมีพื้นที่กว่า 2 ล้านตารางเมตร ใหญ่กว่า กู้กง 4 เท่า มีกำแพงโอบล้อม 2 ชั้น แบ่งเป็นเขตชั้นนอกกับเขตชั้นในออกแบบก่อสร้างเทียนถันอิงหลักฟ้าดินของชาวจีน ฟ้าโค้ง ผืนดินเหลี่ยม และฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทิศเหนือจึงสูงกว่าตอนใต้และมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมตอนใต้จะเตี้ยกว่าและเป็นมุมฉาก กว้างใหญ่จังแหะ เอ้า เดินๆนี่คือหอเทพสถิต สถานที่ประดิษฐานแผ่นป้ายองค์เทพเทวาทั้งหลายจะเป็นอาคารสูง 19.5 เมตร สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เดินวนกะเค้าซะหน่อยๆ อิอิที่ตรงนี้มีกำแพงสะท้อนเสียงด้วยขอรับ เป็นกำแพงทรงกลมรอบนอกของหอเทพสถิต ยาว 193.2 เมตร สูง 3.7 เมตร สามารถส่งผ่านเสียงไปถึงผู้ที่ยืนอยู่กำแพงฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน แม้เสียงจะเบาก็ตาม แต่ไกด์บอกตอนนี้ไม่ค่อยได้ยินแล้ว กำแพงมันไม่เรียบแล้วเดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นจุดที่ใกล้สวรรค์มากที่สุด อ่าาาขึ้นไปยึนบนจุดแล้วอธิษฐานขอพร จะสมหวัง อิอิจุดที่ว่า ต้องเข้าคิวขึ้นไปยืนขอรับแต่เอ๊ะ ลูกโป่งคนสวยไหงไม่ยอมขึ้นไปนะ คนก็ไม่เยอะ ก๊ากกกยืมภาพมาลงหน่อยขอรับ ขอบคุณ LPFCจากนั้นก็ไปชมกายกรรมปักกิ่งสุดยอดกายกรรมชื่อก้องโลกออกแนว Fusion มากๆ ไม่เหมือนที่ดูกันแถวบ้านเราแสง สี เสียง สวยงามมาก รับบัตรจากไกด์ เข้าไปก่อนเลือกที่นั่งได้ก่อน เย้ๆๆทานข้าวแล้วก็กลับเข้าที่พัก หมดไปหนึ่งวันขอรับ แว่บ
HK Shopping รอบสอง
มีโอกาสได้ไปฮ่องกงเป็นครั้งที่สองขอรับหลังจากไปเที่ยวเมื่อสองเดือนที่แล้ว จ๊ากกกคราวนี้ไปช้อปปิ้งอย่างเดียวเลย หุหุพักแถว Tsim Sha Tsui สบายสุดๆ ออกเดินทางแต่เช้าไปฝั่ง HK กันไปสถานี Courseway Bayเดินช้อปไปเรื่อยๆ และก็ Sasaเดินแถว Time Square เช่นเคยคราวที่แล้วไม่มีเวลาเดินดูละเอียด คราวนี้เอาซะให้หนำ เดินมันทุกชั้นเดินมันทุกซอก ทุกมุม เหอๆแวะทาน Krispy Kream ที่นี่เช่นเคยคราวนี้เป็น Fruit Festival ต้องลองๆๆเป็นพีชชุ่มฉ่ำ กับน้ำมะนาว เข้ากันเจงๆ ขอรับอิ่มท้องพอควร ก็เดินช้อปกันแหลกขอรับ Outlet ย่านนี้G2000 Giordano Bossini ไม่พอๆๆๆ กลับไปแถวที่พักEsprit Outlet เดินหอบของ เจอคนไทยทุกที่ ไม่น่าเชื่อจนดึกดื่นก็กลับที่พัก เหนื่อยสุดๆเช้าวันต่อมาไปที่สถานี Central ขอรับ เจอตึกที่คุ้นเคยเช่นเดิมวันนี้ฟ้าสดใส แม้ว่ายังง่วงนอนอยู่ก็ตามแต่ หุหุเดินไปทางด้านซ้ายก็เจอร้านอาหารเดิม Yoshinoya แม้มันจะไม่ค่อยอร่อยเหมือนที่ญี่ปุ่น แต่ก็นะ กองทัพเดินด้วยท้อง กินซะๆๆเดินเลี้ยวซ้ายไปอีกทีก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นนึงเพื่อไปยังบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในโลกกกก เย้ๆๆทางเข้าเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง วนหาอยู่ตั้งนานมันก็เป็นบันไดเลื่อนขึ้นไปบนเขาอ่ะขอรับข้างบนเป็นย่านที่อยู่อาศัย พอตอนเช้าเค้าก็เปิดให้คนบนนั้นเดินลงมาทำงานกัน เราก็เลยต้องยืนรอจนกว่าจะ 10 โมงเช้าแล้วเค้าถึงเปิดบันไดให้เราขึ้นไปแปลกดีขอรับ รอขึ้นบันไดเลื่อน ฮาาาาาแวะซื้อชวนป๋วยปี่แป่กอแบบเป็นเม็ดมาอมให้ชุ่มคอก่อน หุหุมองลงไปข้างล่างเห็น Taxi เพิ่งออกไปทำงานกัน โหยยย ติดกันยาวแหะมีรถรางด้วย ดีจังมาวันธรรมดา นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมี เอ๊ะ หรือเค้าไม่ค่อยมาที่นี่กัน เย้ยยยเดินไปสักพักเค้าก็จะมีที่ให้แต็ปบัตร Octopus เพื่อจะได้ส่วนลดค่าเดินทางไป2 เหรียญ โอ้ว รีบไปๆๆเดินไปจนสุดทาง เย้ยยย จะลงกันยังไงเนี่ย ต้องลงบันได เดินอ๊วกเลยขอรับระหว่างทางเจอร้านอาหารไทยด้วย หุหุเย้ยย มี Fitness บนนี้ด้วย เห็นแต่พวกฝรั่งมาออกกำลังกายกันขอรับเฮ้อ เห็นหนทางเดินลงยังอีกยาวไกล เริ่มท้อแหะ หมดแรงข้าวต้มดีที่มาเจอร้านขายทาร์ตไข่ชื่อดัง ขอพักเหนื่อยหน่อยๆๆอย่างร้อนเลยขอรับ หอม หวาน มัน อร่อยสุดๆๆๆเย้ยยย มีร้าน Krispy Kreme ที่นี่ด้วย โฮะๆๆ แต่ไม่ไหวแล้วขอรับ อิ่มแล้วก็ไปตลุยช้อปกันแถว Ocean Terminal จนดึกดื่น หมดเนื้อหมดตัวกันไปเช้าวันต่อมาก็ต้องตื่นแต่เช้าอีก เหอๆๆ ท้องร้องแต่เช้าไปกินติ่มซำขึ้นชื่อกันๆๆ เย้ มีเมนูภาษาอังกฤษด้วย ขอบคุณพระเจ้า หุหุถ้วยชาไก่กาเหมือนบ้านเราเลยซาลาเปาที่นี่อร่อย แป้งนุ่มมากขอรับโดยเฉพาะไส้หมูแดง อ่ะ หุหุอิ่มแล้วก็ไปกันต่อเลยขอรับนั่งไปสถานี East Tsim Sha Tsui แล้วไปนั่ง KCR ต่อไปยัง Lo Wuและแล้วเราก็จะข้ามด่านไปเซิ่นเจิ้นกัน เย้ๆๆๆๆ
Japan: Kyoto
ออกจากเมืองนารา ก็นั่งรถไฟไปเกียวโตแวะห้างซะหน่อย ไปซื้อเค้กฉลองวันเกิดเจ้าค่ะปีนี้มาฉลองวันเกิดไกล ถึงญี่ปุ่น หุหุ มีให้เลือกมากมายหลายแบบจริงๆ เดินวนไปมาอยู่นานเลย แบบว่ารักพี่เสียดายน้อง น่ารักๆ น่ากินทุกแบบเลยอ่ะ แล้วก็มาหยุดที่ตู้นี้ เพราะมีสตอเบอร์รี่เป็นลูกๆน่าทานมากๆ เจ้าค่ะ ได้เค้ก แล้วก็ไปหาอาหารเย็นกินกันโอ้ว.....ข้าวห่อไข่ ชีสสสสส ตัดเค้กวันเกิดกันค่ะ นั่งรถต่อไปที่พัก วันนี้พักแบบเรียวกังค่ะชื่อว่า Ryokan Yamazaki มีผ้าขนหนูกับชุดยูกะตะ ให้ใช้ด้วย ที่พักค่ะ เงียบ สงบ ดีจัง ห้องพักอยู่ชั้น 2 ด้านล่างจัดเป็นสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนด้านในเป็นร้านอาหารเจ้าค่ะ ร้านอาหารไว้บริการแขกที่เข้าพักและลูกค้าอื่นๆ ทานไป ชมสวนไป เพลินๆ ก๊ากกก Ryokan Yamazaki 13, Takahana-cho, Umegahata, Ukyo-ku, Kyoto Phone: 81-75-864-1308 ที่นี่มีทานุกิตัวโตมากกก หุหุ รอรถที่ป้ายรถเมล์จะเข้าเมือง เจอน้องๆ กำลังไปโรงเรียนกันค่ะ น่ารักเชียวอิอิ ชอบเด็กๆ มาถึงสถานี JR เกียวโต ก็เห็นนี่เลยค่ะเกียวโต ทาวเวอร์ นั่งรถซิตี้บัสไปวัดคิโยมิซึค่ะ มีป้ายให้ร่วมกันโหวต 7 Wonder ด้วยค่ะตอนนี้ก็คงทราบผลกันแล้วนะคะอุอุ วัดน้ำใส “มรดกโลก” เป็นวัดเก่าอยู่บนเชิงเขา มีเฉลียงไม้รองรับด้วยต้นเสาขนาดใหญ่สูง 15 เมตรจำนวน 139 ต้น เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์สวยงามของเมืองเกียวโต เจ้าค่ะ ภายในมีน้ำตกศักดิ์สิทธิ์สามสาย ให้ไปดื่มน้ำสายที่หนึ่งขอพรด้านสุขภาพอนามัย สายที่สองขอพรเรื่องการเรียน การทำงาน สายที่สามขอพรเรื่องอายุวัฒนะ เป็นวัดที่สวยงามมากค่ะ อยากมาที่นี่ให้ครบ 4 ฤดูเลยเจ้าค่ะ ของที่ระลึกค่ะอุอุ กระเป๋าแฟบอีกแล้วเรา หมูป่าเพียบเลยยยที่พักแบบเรียวกัง เมล์ไปจองก่อนค่ะ//www.ryokan-yamazaki.co.jp/english_2.htmlเดินไปด้านซ้ายจะเจอศาลเจ้าแห่งความรัก เทพเจ้าด้านบนเป็นเทพเจ้าความรักกระต่ายเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้าค่ะ กระต่ายๆ Love Stone ค่ะเห็นสาวๆญี่ปุ่นเดินหลับตาเดินไปให้ชนหินอยู่ค่ะ หุหุอ่า...ต้องลองเดินดูบ้าง ซื้อเครื่องรางของขลังเป็นที่ระลึกค่ะ เดินชมวัดกันต่อไป อิอิ เจดีย์ท่ามกลางซากุระ น้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สายเจ้าค่ะ อยากอยู่วัดนี้นานๆเจ้าค่ะถ่ายรูปกัน ไม่มีเบื่อเลย ออกจากวัดเดินถนนละลายทรัพย์ด้วยใจเต้นตึ๊กตั๊ก วันนี้จะซื้อไม่อั้น อิอิอ่า...ร้านขนมที่นี่ไฮเทค มีเครื่องทำขนมแบบนี้ค่ะ ที่ห้อยโทรศัพท์ค่ะ เครื่องทำขนมอีกแบบค่ะ หิวแล้ว ชิมมันจู เจ้าค่ะ ขายพัดกันทั้งร้านเลย 1000 เยนเท่านั้น เอิ๊ก ชูครีม ชิ้นละ 300 เยนเจ้าค่ะ หอมหวาน มากเลยยยยยเหอๆ แวะร้านนี้เลยค่ะ ทุกอย่าง 1050 เยน เท่านั้น อ่า...พวงกุญแจกระต่าย น่ารักจังห้ามใจไม่ไหวจริงๆอยากซื้อทุกอย่างเลย แย่แน่เรา ระหว่างทางเดินลงจากวัดเจอไมโกะด้วยเจ้าค่ะ เหมือนตุ๊กตาที่ซื้อมาเลย นั่งรถต่อไปเที่ยววัดทองค่ะ วัดทอง หรือ Golden Pavilion ปราสาทคินคาคูจิ นั่นเองค่ะวิหารมี 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นพระราชวัง ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน โอะ ..โอ.. คุณลุงท่าทางเป็นมืออาชีพ เครื่องรางอีกแล้วเจ้าค่ะเป็นรูปเณรน้อยซะด้วย แต่แปลไม่ออกอ่ะค่ะ กำ อยากแต่งกิโมโนบ้างจัง อุอิ วัดสุดท้ายก่อนอำลาเมืองเกียวโตไปเที่ยววัดสวนเซนค่ะ วัดเรียวอันจิ มีสวนหินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนต่างเพ่งไปยังสวนหินอย่างตรึกตรองเพื่อค้นหาปริศนาแห่งปรัชญาที่ซ่อนอยู่ส่วนเรา มองแล้วไม่บรรลุ ค่อยๆ ย่องๆ เดินออกไปเบาๆก๊ากกกกก บ่อน้ำรูปเหรียญ 5 เยนค่ะ เดินออกมาด้านนอก ต้นไม้ที่นี่สวยจังค่ะ อ่า....ฉีดยาให้ต้นไม้ สงสัยจะเป็นสารเร่งดอกเที่ยวเมืองเกียวโตแต่เพียงเท่านี้เจ้าค่ะ
Hong Kong #3
นั่งรถไฟไปลงสถานี TungChung จะไปวัดโปลินกันค่ะโชคดีที่ไปก่อนกระเช้าจะหล่น หุหุเพราะขอขึ้นครั้งเดียวพอแล้ว มาเร็วไป กระเช้ายังไม่เปิดอ่ะค่ะไปเดินเล่นที่ห้างแถวๆนั้นก่อนละกัน City gate outlet หุหุ เข้ามาด้านใน ร้านก็ดันยังไม่เปิดซะอีกเนี่ยเลยได้แต่ Window Shopping อุอิ แงๆ มี Esprit Outlet ด้วย แต่เค้ายังไม่เปิดอีกเช่นกัน ได้เวลากลับไปขึ้นกระเช้าดีกว่ากระเช้า ngong ping ราคาไป-กลับ 88 เหรียญ ระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามภูเขาโอ้ว... คนกลัวความสูงท่าจะแย่ อิอิ มองลงไปข้างล่าง มีทางให้เดินด้วยแล้วดันมีคนเดินด้วยอ่ะซิเฮ้อ...กี่วันจะไปถึงกันล่ะเนี่ย อ่า...มาถึงโดยสวัสดิภาพ หุหุหมู่บ้าน Ngong Ping เป็นหมู่บ้านจำลองแบบจีนสมัยก่อนระหว่างทางเดินในหมู่บ้านมีร้านค้ามากมายค่ะ โอ้ว อลังการงานสร้างจริงๆขนาดกระถางธูปยังต้องทำใหญ่ๆเลยเจ้าค่ะ ไปนมัสการ "Tian Tan Buddha Statue"หรือพระใหญ่กันค่ะ ขากลับได้เสียวกันอีกรอบ หุหุต้องนั่งกระเช้ากลับค่ะ นั่งรถไฟไปไป ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ต่อรถไฟของ Disneyland หน้าต่างกิ๊บเก๋มากๆ มาเที่ยววันธรรมดาก็ดีแบบนี้นี่เองคนไม่เยอะ ชอบๆ โอ้ว...มุมนี้ยอดอิตเข้าไปถ่ายรูปกันดีกว่า อิอิ ได้บัตรผ่านประตูเป็นรูปมิคกี้เก็บเป็นที่ระลึก อุอิ อ่า...เจอ Stitch ของโปรดใครบางคนหุหุ ด้วยแหละ เค้ายืนร้องเพลงกันอยู่เจ้าค่ะฟังได้แปปเดียว ต้องไปต่อซะแล้ว ปราสาทเจ้าหญิงองค์ไหนกันหนอใช่เจ้าหญิงนิทราป่าวน้า เข้าบ้านหมีพูห์ กันก่อนเลยนั่งรถเข้าไปในดินแดนแห่งหมีพูห์ ภายในจะพบเรื่องราวต่างๆ ของหมีพูห์มากมายน่ารักดีค่ะ ได้เวลาพาเรดมาแล้ว 15.30 ค่ะ มิคกี้ๆๆ ยักษ์ น้องเดลที่ร๊ากกก อิอิ อันนี้ชุดอะไรเนี่ยเห็นแล้วคิดถึง เมเจอร์....เมืองแห่งหนัง ใช่ว่าจะมีแต่คนจีน เค้าก็มีพนักงานเป็นฝรั่งเหมือนกันนะเจ้าค่ะ โอ้ว...อันนี้เจ๋งๆ ชอบมากเลย The Golden Mickeys โชว์ที่ไม่ควรพลาด การแสดงจากเหล่าตัวละครชื่อดัง ประกอบดนตรีค่ะ อันนี้ไม่รู้ว่าของชนเผ่าไหนแต่มีทั้งน้ำทั้งควันพุ่งออกมาของเค้าไฮเทคจริงๆ ค่ะ หุหุ รอคิวก็ไม่นานค่ะคนน้อยๆ ไลอ้อนคิง เป็นโชว์ที่ดีที่สุดของดิสนี่ย์แลนด์ ค่ะ(รอบการแสดง 12.45 14.00 16.30 18.00) Jungle River Cruise นั่งเรือเลาะแม่น้ำ เพื่อเที่ยวชมป่าเขา แม่น้ำกัน ระหว่างทางเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญ อุอุ บ้านทาร์ซาน จะนั่งแพ เพื่อจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ เพื่อไปเที่ยวชมบ้านทาร์ซานกันเจ้าค่ะ อ้าว...ทาร์ซานกับเจน อยู่นี่เอง และแล้วก็ได้เวลาจุดพลุตื่นตาตื่นใจ อลังการมากๆค่ะ วันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพแวะช็อปปิ้งกันอีกรอบที่ Causeway Bayอ่า...ได้รับ order มาให้ซื้อ Krispy Kreme พี่ๆ ขอกล่องละ 6 ชิ้น 2 กล่องค่ะ อันนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ซื้อยกแพคเลย Collon รสทาร์ตไข่มีที่นี่เท่านั้น ฮ่องกง หุหุ ชานมไข่มุกสูตรฮ่องกงรสชาติเหมือนเมืองไทย แก้วละ 10 เหรียญเห็นราคาแล้วกินของบ้านเราดีกว่า เจ้าค่ะ ปิดท้ายกันด้วยร้านโปรดอยากจะไปเหมาชุดทำงานอีก อิอิขอบคุณที่ติดตามชมเจ้าค่ะ ได้ข่าวว่าเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากระเช้าตกเจ้าค่ะตอนนี้เลยปิดทำการชั่วคราว ตอนนี้จะเปิดให้บริการตามปกติรึยัง รบกวนผู้รู้แจ้งด้วยค่ะ