ประเภทของกระจก
ประเภทของกระจก 1.กระจกธรรมดา(Float Glass)2.กระจกอบความร้อน(Heat Treated Glass)3.กระจกเครือบผิวหรือกระจกสะท้อนแสง(Surface Coated Glass)4.กระจกดัดแปลง(Processed Glass)5.กระจกอื่นๆ กระจกธรรมดา(Float Glass)กระจกธรรมดาเป็นกระจกพื้นฐานที่เกกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตโดยตรง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ซึ่งมีรายละเอียด และข้อพิจารณาในการนำไปใช้งาน ดังนี้ 1.กระจกใส(Clear Glass)กระจกใสคือกระจกโปร่งแสงที่สามารถมองผ่านได้อย่างชัดเจนและให้ภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ ไม่บิดเบี้ยวคุณสมบัติ1)สามารถมองเห็นจากภายนอกเข้ามาภายในได้อย่างชัดเจน2)มีค่าการตัดแสงประมาณ 8% สำหรับกระจกใสหนา 12 มิลลิเมตร และตัดแสงได้มากขึ้นตามความหนาของกระจก3)มีค่าการสะท้อนแสงประมาณ 7%4)ผิวกระจกไม่ร้อน เพราะกระจกดูดกลืนความร้อนได้น้อยมากข้อควรพิจณาในการใช้งาน1)ยอมให้แสงผ่านเข้ามาได้มาก ทำให้ความร้อนเข้ามามากด้วย เมื่อคลื่นสั้น(0.3ไมโครเมตร)ผ่านกระจกใสเข้ามาภายในกระทบวัตถุหรือวัสดุภายในอาคารจะเปลี่ยนเป็นคลื่นยาว(3.3-50ไมโครเมตร)ซึ่งไม่สามารถผ่านออกไปภายนอกได้อีก ดังนั้นความร้อนจะถูกกักเก็บไว้ ทำให้อากาศข้างในร้อนแล้วไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ จนเมื่ออุณหภูมิภายในสูงกว่าภายนอกจึงจะมีการถ่ายเทความร้อนด้วยการนำ(Conduction)ออกสู่ภายนอก2)สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ซึ่งเหมาะกับการใช้งานประเภทแสดงสินค้า แต่อาจไม่เหมาะกับส่วนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เพราะคนภายนอกสามารถมองเห็นเข้ามาภายในได้อย่างชัดเจน3)กระจกใสมีค่าการสะท้อนแสงน้อยจึงเหมาะสำหรับห้องที่ต้องการมองออกไปภายนอก เพราะสามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์ได้อย่างชัดเจนการใช้กระจกใสเพื่อแสดงสินค้าภายในอาคารให้ผู้ที่เดินผ่านสามารถมองเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจน *********************************************************************************************************************** 2.กระจกสี(Tinted Glass)ผลิตขึ้นโดยการผสมโลหะออกไซด์เข้าไปในส่วนผสม ในขั้นตอนการผลิตกระจก ทำให้กระจกมีสีสันคุณสมบัติ1)ผิวกระจกร้อน เนื่องจากสีของเนื้อกระจกที่เกิดจากการเติมโลหะออกไซด์ต่างๆ เป็นตัวดูดความร้อน ทำให้ความร้อนจากกระจกแผ่เข้ามาภายในอาคาร2)ตัดแสงไม่ให้เข้ามาภายในอาคารมาก กระจกสีมีค่าสัมประสิทธิ์เปรียบเทียบการบังแดดต่ำกว่ากระจกใสมาก เมื่อค่าสัมประสิทธิ์การบังแดดต่ำมากๆ แสงเข้าน้อยทำให้ความร้อนเข้ามาได้น้อยด้วย3)สามารถ สกัดกั้นความร้อนจากแสงอาทิตย์ ที่ตกกระทบกระจกสีได้มากกว่ากระจกใส ปริมาณการดูดกลืนความร้อนขึ้นอยู่กับส่วนผสมของเนื้อกระจก ซึ่งสามาถผลิตให้มีการสกัดกั้นรังสีอาทิตย์ได้หลายระดับ แต่ผิวกระจกจะร้อนขึ้นเมื่อมีการสกัดกั้นรังสีมาก4)ช่วยลดความจ้าของแสงที่ส่งผ่านกระจกสีทำให้ได้แสงที่นุ่มนวลและเกิดความสบายตาในการมองข้อควรพิจณาในการใช้งาน1)ไม่ควรให้ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศเป่ากระทบผิวหน้าของกระจกโดยตรง เพราะจะทำให้กระจกสูญเสียพลังงานมาก2)ไม่ควรติดผ้าม่านที่มีความหนาทึบ หรือวางตู้เหล็ก หรือสิ่งของอื่นๆ ชิดกับกระจก หรือติดตั้งปิดบังกระจกโดยไม่มีการถ่ายเทความร้อน เพราะอาจทำให้กระจกสะสมความร้อนเพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุให้กระจกสีแตกร้าวได้ง่าย3)ไม่ควรทาสีหรือติดแผ่นกระดาษใดๆลงบนผิวกระจก4)ควรจะต้องมีการตัดหรือฝนขอบกระจกให้เรียบ เพื่อทำให้ขอบกระจกมีความทนทานต่อการแตกร้าวจากแรงดึงและแรงเค้นที่ผิวและขอบของกระจก การใช้กระจกสีของอาคาร เพื่อช่วยลดความจ้าของแสงที่ผ่านเข้าสู่ภายในอาคาร--------------------------------------------------------------------------------กระจกอบความร้อน(Heat Treated Glass)กระจกอบความร้อนหรือกระจกสีที่นำไปผ่านกระบวนการปรับแต่งคุณภาพของเนื้อกระจก เพื่อให้มีความเข็งแกร่งมากขึ้น หรือรับแรงกระทำจากแรงภายนอกได้มากขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดดังนี้1)กระจกนิรภัยเทมเปอร์(Tempered Glass)กระจกนิรภัยเทมเปอร์เป็นการนำกระจกไปผ่านกระบวนการเทมเปอริง(Tempering)เพื่อเพิ่มความแข็งแรง โดยใช้หลักการเดียวกับการทำคอนกรีตอัดแรง คือสร้างให้เกิดชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวแก้วเพื่อตต้านแรงจากภายนอก วิธีการนี้ทำได้โดยการให้ความร้อนกับกระจกที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดอ่อนตัวของแก้วเล็กน้อยที่ประมาณ 650-700องศาเซลเซียส และทำให้ผิวกระจกเกิดความเย็นตัวอย่างรวดเร็ว โดยใช้ลมเย็นเป่า ผลของความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวนอกกับส่วนกลางของแผ่นกระจกจะทำให้เกิดชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวของกระจกทั้ง 2 ด้าน โดยจะประกบชั้นส่วนกลางเหมือนลักษณะแซนวิช และชั้นที่ผิวนี้จะต้านแรงจากภายนอกทำให้กระจกที่ผ่านกระบวนการเทมเปอริงแล้วมีความแข็งแรงขึ้นประมาน 4 เท่าคุณสมบัติ1)ค่าความแข็งแรงต่อแรงดึงและแรงที่ทำให้หักงอ(Bending Strenth)เมื่อเปรียบเทียบกระจกธรรมดากับกระจกนิรภัยเทมเปอร์ที่มีความหนา 5 มิลลิเมตร กระจกธรรมดามีค่าความแข็งแรงต่อแรงดึงและแรงที่ทำให้กระจกหักงอ 500-650กิโลกรัม/ตารางเซนติิเมตร ในกระจกนิรภัยเทมเปอร์มีค่าสูงถึง1,500 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร2)การต้านทานน้ำหนัก(Loading Resistance)คือความต้านทานต่อแรงดันและแรงกระแทกโดยแบ่งออกเป็น-การด้านทานน้ำหนักหรือสถิติ (Static Load Resistance)คือแรงที่มากระทบกระจก กระจกนิภัยเทมเปอร์สามารถทนต่อแรงกระทบ ได้มากกว่ากระจกธรรมดาที่มีความหนาเดียวกันประมาณ 3-5 เท่า-การต้านทานน้ำหนักกระแทก(Impact Load Resistance)คือความทนทานของกระจกต่อแรงกระแทกโดยทั่วไปกระจกนิภัยเทมเปอร์สามารถรับแรงกระแทกได้ดีได้ดีกว่ากระจกธรรมดาประมาณ 4 เท่า3)ความปลอดภัยคือ การลดอันตรายที่จะเกิดจากการโดนกระจกบาด เพราะการแตกของกระจกนิภัย จะแตกออกเป็นเม็ดเล็กๆและมีความคมน้อย4)การต้านทานความร้อน(Heat Resistance) คือความทนทานของกระจกต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิแบบทันทีทันใดจากการทดสอบความสามารถในการต้านทานความร้อนของกระจกนิภัยเทมเปอร์เปรียบเทียบกับกระจกธรรมดาที่มีความหนา 5 มิลเมตรเท่ากัน มีผลการทดสสอบดังต่อไปนี้-กระจกนิภัยเทมเปอร์สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ที่ค่าความแตกต่างของอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 170 องศาเซลเซียส และจะเริ่มแตกทั้งหมดเมื่ออุณหภูมิสูงถึงประมาณ 220 องศาเซลเซืยส-กระจกธรรมดาสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ที่ค่าความแตกต่างของอุณหภูมิเพียงประมาณ 60 องศาเซลเซียสและจะแตกทั้งหมดเมื่อค่าความแตกเมื่อค่าของอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงประมาณ 100 องศาเซลเซียสข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)จุดอ่อนของกระจกนิรภัยเทมเปอร์คือ แรงที่กระทำเป็นจุด หากมีการกระแทกโดยวัตถุที่มีมุมแหลม ซึ่งทำให้เกิดการตัดลึกเข้าไปภายในผิวกระจก ทำให้ชั้นแรงอัดถูกทำลาย ความสมดุลภายในเนื้อกระจกก็จะถูกทำลาย2)กระจกนิรภัยเทมเปอร์สามารถคงรูปร่างได้ด้วยความสมดุลของแรงอัดและแรงดึง ดังนั้นเมื่อนำกระจกชนิดนี้มาใช้งานจะต้องไม่มีการเจาะรู บากหรือตัดแต่งในภายหลังโดยเด็ดขาด3)ส่วนของกระจกนิภัยเทมเปอร์ที่มีการเจาะรู พ่นทราย หรือทำเครื่องหมายใดๆจะมีความเปราะบางมากกว่าส่วนอื่นๆ4)ไม่ควรยึดกระจกกับโลหะโดยตรง ควรมียางหรือวัตถุอื่นมารองรับ5)ผิวกระจกนิรภัยเทมเปอร์จะเป็นคลื่นมากกว่ากระจกธรรมดาเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตกระจกนิรภัยเทมเปอร์ การใช้ท่อลมเป่าผิวกระจกนิภัยเทมเปอร์ ลักษณะการแตกของกระจกนิรภัยเทมเปอร์ ลักษณะการใช้กระจกเทมเปอร์ของอาคาร ***********************************************************************************************************************กระจกฮีตสเตรงเทน(Heat Strengthen Glass)กระจกฮีตสเตรงเทน เป็นกระจกที่ได้จากกระบวนการผลิตที่คล้ายกับกระจกนิภัยเทมเปอร์ แต่ต่างกันที่กระจกฮีตสเตรงเทนจะปล่อยให้กระจกเย็นตัวลงอย่างช้าๆ จึงมีความแข็งแรงกว่ากระจกนิภัยเทมเปอร์คุณสมบัติ1)เป็นกระจกกึ่งนิรภัย มีคุณสมบัติพิเศษคือ แข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดาประมาณ 2 เท่า2)เหมาะสำหรับการป้องกันการแตกของกระจกจากความร้อน3)ลักษณะการแตกของกระจกชนิดนี้ จะแตกเป็นแผ่นเหมือนกระจกธรรมดาข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)ในการติดตั้งกระจกกับโครงสร้างอาคารสูงสามารถใช้แทนกระจกธรรมดาโดยลดความหนาของกระจกลง2)ใช้กับสถานที่ที่ต้องเผชิญกับภาวะที่มีความร้อนสูงกว่าปกติ3)ใช้กับผนังอาคารและหน้าต่างที่มีแรงอัดลมสูง4)ใช้กับสถานที่ที่ต้องการใช้กระจกที่มีความแข็งแรงและปลอดภัยสูงกว่าการใช้กระจกธรรมดา5)ใช้กับห้องโชว์ หรือตู้โชว์สินค้าที่ต้องทนต่อแรงกระแทกในการใช้งานการใช้กระจกฮีตสเตรงเทนเป็นผนังภายนอกอาคาร--------------------------------------------------------------------------------กระจกเคลือบผิว(Surface Coated Glass)กระจกเคลือบผิวเป็นกระจกธรรมดาที่นำไปผ่านกระบวนการเคลือบโลหะบนผิวกระจก เพื่อให้เกิดการสะท้อนแสง และความร้อนจากแสงอาทิตย์ สำหรับนำไปใช้งานในด้านการประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแบ่งตามรูปแบบของการเคลือบผิวได้เป็น 2 ชนิดได้แก่1.แบ่งตามบริษัทผู้ผลิตเครื่องเคลือบผิวกระจกที่ใช้ในเมืองไทยได้ 2 แบบ1.1แบบแอร์โค่(AIRCO)เป็นวิธีการเคือบโดยใช้ไทเทเนียมบริสุทธิ์เป็นโลหะในการเคลือบ สามารถเคลือบให้ได้สีสัน ภาพลักษณ์ และคุณสมบัตในการประหยัดพลังงานที่แตกต่างกันตามชื่อรหัสการเคลือบต่างๆดังต่อไปนี้TE-Titanium EarthTS-Stell BlueSS-SilverTBU-Blue1.2แบบเลย์โบลด์(LEYBOLD)เป็นวิธีการเคลือบโดยใช้ดีบุกบริสุทธิ์เป็นโลหะในการเคลือบโดยมีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานใกล้เคียงกับแบบแอร์โค่ แต่ให้สีสันที่แตกต่างกันออกไปจากแบบแอร์โค่ ตามชื่อรหัสการเคลือบต่างๆดังต่อไปนี้SL-SilverAS-Antigue SilverBR-BronzeSB-Sapphire Blue2.แบ่งตามเทคนิคในการเคลือบผิวกระจกได้ 2 แบบดั้งนี้2.1การเคลือบแบบสูญญากาศ(VacuomDepositionorSoftCoating)โดยการพ่นโลหะออกไซด์บางชนิดบนผิวด้านใดด้านหนึ่งของผิวกระจกกระแสไฟฟ้าจะทำปฏิกิริยาทำให้โลหะเกาะผิวกระจกการเคลือบด้วยวิธีนี้สารที่เคลือบจะถูกขูดขีดออกได้ง่าย แต่สามารถเคลือบไปได้ทั่วทุกอนูของผิวกระจก2.2การเคลือบแบบไพโรลิทิค(Pyrolitic Deposition or Hart Coating)กรรมวิธีนี้กระจกจะถูกเคลือบในลักษณะที่เป็นของเหลวโลหะออกไซด์จะกระจายแทรกซึมลงในเนื้อกระจกด้วย แม้วิธีนี้โลหะออกไซด์ไม่สามารถกระจายไปทุกพื้นผิวของกระจกอย่างสม่ำเสมอกันแต่ก็มีความแข็งแรงทนทานกว่ากระจกที่เคลือบแบบสูญญากาศ ตารางแสดงคุณสมบัติเปรียบเทียบระหว่างกระจกเคลือบผิวที่ใช้กรรมวิธีในการเคลือบโลหะออกไซด์กระบวนการเคลือบแบบสูญญากาศ กระบวนการเคลือบแบบไพโรลิทิค -เป็นกระบวนการเคลือบกระจกแบบออฟไลน์(off-line)แยกจากกระบวนการผลิตกระจกแผ่น-ในกรณีที่ต้องการทำเป็นกระจกนิรภัยเทมเปอร์หรือกระจกฮีตสเตรงเทนต้องทำก่อนที่จะนำกระจกไปเคลือบ-สีของกระจกเคลือบมีให้เลือกมากมาย เนื่องจากโลหะออกไซด์ที่ใช้เคลือบมีมากชนิด-การติดตั้งควรนำด้านที่เคลือบไว้ในตัวอาคาร-ทนต่อรอยขีดข่วนได้น้อยกว่า-อายุการจัดเก็บกระจกสั้นกว่า -เป็นการเคลือบกระจกแบบออนไลน์(on-line)ทำการเคลือบกระจกอยู่ภายในกระบวนการผลิตกระจกแผ่น-สามารถนำกระจกที่เคลือบแล้วไปผ่านกระบวนการผลิตกระจกนิรภัยเทมเปอร์หรือกระจกฮีตสเตรงเทนได้้-สีของกระจกมีให้เลือกน้อยเนื่องจากโลหะออกไซด์มีจำกัด-การติดตั้งสามารถนำด้านที่เคลือบออกภายนอก หรือหันหน้าเข้าด้านไหนก็ได้้-ความทนต่อรอยขีดข่วนมากกว่า คุณสมบัติของกระจกเคลือบผิวกับการประหยัดผลังงาน1)กระจกที่เลือกใช้ ควรให้มีค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อน และความร้อนที่ได้รับจากการสะท้อนแสง รวมทั้งค่าสัมประสิทธิ์การบังแดดที่น้อยที่สุดที่สามารถยอมรับได้2)กระจกเคลือบผิวที่มีปริมาณการสะท้อนแสงสูงกว่า จะสามารถประหยัดพลังงานได้ดีกว่ากระจกที่มีปริมาณการสะท้อนแสงน้อยกว่าวิธีการตรวจสอบคุณภาพของกระจกเคลือบผิว1)ตรวจสอบรูบนผิวกระจกเคลือบ การตรวจสอบต้องให้กระจกที่จะตรวจสอบอยู่ห่างจากจุดสังเกต 1.80 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรูบนผิวเคลือบจะต้องมีขนาดไม่ใหญ่กว่า 1.50 มิลลิเมตร ในกรณีที่เป็นกลุ่มของรูบนผิวเคลือบที่มีขนาดเล็กกว่าที่กำหนดอาจยอมให้มีได้ แต่ต้องไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดจากระยะสังเกตที่กำหนดไว้2)การตรวจสอบการสะท้อนแสงและการส่งผ่านของแสง-ความสม่ำเสมอของผิวเคลือบ การตรวจสอบจะต้องให้กระจกที่ทำการตรวจสอบอยู่ห่างจากผู้สังเกต 3 เมตร ตามมาตรฐานยอมให้มีความไม่สม่ำเสมอของผิวเคลือบได้บ้าง-การเป็นคลื่นบนผิวสะท้อนสืบเนื่องจากปัจจัยหลายประการโดยเฉพาะกระจกเคลือบผิวที่เป็นกระจกฉนวนกันความร้อน กระจกฮีตสเตรงเทนและกระจกนิภัยเทมเปอร์ การเป็นคลื่นอันเกิดจากการมองเห็นจะไม่ถือว่าเป็นตำหนิของกระจกวิธีตรวจสอบด้านเคลือบของกระจกเคลือบผิวสำหรับวิธีการตรวจสอบว่าด้านใดของกระจกเคลือบผิวเป็นด้านที่เคลือบฟิล์มสามารถทำได้ดังนี้1)ใช้วัสดุทึบแสงวางทำมุมเฉียงประมาณ 45 องศา บนผิวกระจก2)สังเกตเงาที่เกิดขึ้นบนกระจกเคลือบผิว ถ้าวัตถุทึบแสงปรากฎเงาที่เห็นเป็นเงาเดียวจะเป็นด้านที่เคลือบสารสะท้อนรังสีอาทิตถ้าเงาที่เห็นเป็นสองเงาจะเป็นด้านที่ไม่ได้เคลือบ ภาพสะท้อนด้านที่เครือบของกระจกเคลือบผิว ภาพสะท้อนด้านที่ใม่เคลือบของกระจกเคลือบผิวกระจกเคลือบผิว แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ และกระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ***********************************************************************************************************************กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์(Solar Reflective Glass)กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์เป็นกระจกธรรมดาที่เคลือบด้วยโลหะออกไซด์ มีค่าการสะท้อนแสงค่อนข้างสูง ความโปร่งแสงค่อนข้างน้อย มีสีสันสวยงามหลายสีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเคลือบ และสีของกระจกที่เป็นวัตถุดิบที่นำมาเคลือบคุณสมบัติ1) ทำให้แสงอาทิตย์และรังสีความร้อนผ่านเข้ามาในอาคารได้น้อย2)ช่วยลดแสงที่แรงจ้าให้นุ่มนวลลง ทำให้เกิดความสบายตา3)สร้างความเป็นส่วนตัวแก่คนภายในอาคาร เนื่องจากมองทะลุเข้ามาในตัวอาคารได้ลำบากข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)ในการตัดกระจกควรมีการป้องกันผิวด้านที่เคลือบไว้เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน2)เมื่อมีการบิ่นหรือแตกบริเวณขอบกระจกให้ลบคมให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการแตกทั้งแผ่น3)ป้องกันอย่าให้ซีเมนต์หรือปลาสเตอร์ติดบนกระจก เพราะจะทำอันตรายวัสดุเคลือบของกระจก4)ด้านที่เคลือบวัสดุเคลือบควรอยู่ด้านในของอาคารเสมอ เพื่อไม่ให้วัสดุเคลือบสัมผัสมลภาวะภายนอก5)อย่าเป่าความเย็นลงบนกระจกวางตู้ใกล้กระจกติดกระดาษหรือทาสีลงบนกระจกเพราะจะทำให้เกืดการแตกหักเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ 6)ควรจะอบฮีตสเตรงเทนหรือเทมเปอร์ เพื่อป้องกันปัญหาการแตกหักเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้การใช้กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ของอาคารกระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำกระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ เป็นกระจกเคลือบสารโลหะโดยมีโลหะเงินบริสุทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญคุณสมบัติ1)ป้องกันการถ่ายเทความร้อนผ่านกระจกได้ดี2)ยอมให้แสงผ่านได้มากกว่ากระจกสะท้อนแสง3)ช่วยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลต(UV)ได้บางส่วน ปริมาณการสะท้อนขึ้นอยู่กับผู่ผลิต ทำให้ลดความเสียหาย ซึ่งอาจเกิดกับพรมและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆได้ระดับหนึ่ง4)ช่วยลดความจ้าของแสงข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)สารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำเป็นสารที่ไวต่อการเสียหาย ดังนั้นจึงไม่ควรหันผิวกระจกด้านที่ฉาบนี้ไว้ด้านนอก2)การบรรจุกาซเฉื่อยในช่องว่างระหว่างกระจกของกระจกรุ่นใหม่ๆแทนการใช้อากาศแห้ง จะช่วยเพิ่มความเป็นฉนวนให้กับกระจกได้ดี เครื่องจักรที่ใช้ในการเคลือบสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ--------------------------------------------------------------------------------กระจกดัดแปลง(Processed Glass)กระจกดัดแปลงเป็นกระจกที่นำมาดัดแปลงด้วยกระบวนการต่างๆเพื่อตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่1.กระจกฉนวนกันความร้อน(Insulated Glass)กระจกฉนวนกันความร้อนผลิตโดยการนำกระจกอย่างน้อย 2 แผ่น ตัดให้ได้ขนาดตามต้องการมาประกบกันโดยมีอลูมิเนียมซึ่งบรรจุสารดูดซึมความชื้นคั่นกลาง หลังจากนั้นจะปิดรอยที่ขอบกระจก ผลก็คือ อากาศภายในช่องระหว่างกระจกจะกลายเป็นอากาศที่แห้งไม่มีความชื้นเหลืออยู่ ซึ่งมีคุณสมบัติในการกันความร้อนคุณสมบัติ1)ป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้ามาในอาคาร ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศ2)ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกอาคารได้ดีกว่ากระจกธรรมดา3)สามารถปรับแรงดันลมได้เพิ่มขึ้น4)ให้ความปลอดภัยในอาคารในกรณีที่ใช้กระจกนิภัยเทมเปอร์ หรือกระจกนิรภัยหลายชั้นมาผลิตเป็นกระจกฉนวนกันความร้อนข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)ควรใช้ซิริโคนสำหรับกระจกที่เป็นโดครงสร้างเท่านั้น ส่วนกระจกที่เป็นช่องหน้าต่างแบบดั้งเดิม สามารถใช้โพลีซัลไฟด์ซิลิโคนได้2)การหักงอของอลูมิเนียมสเปเซอร์ หรือสารเคมีที่ใช้ในการเชื่อมต่อกระจก มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของกระจกทั้งสิ้น***********************************************************************************************************************2.กระจกฮีตมิเรอร์(Heat Mirror)ลักษณะของกระจกฮีตมิเรอร์เป็นระบบของกระจกสองชั้นที่เคลือบสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำทั้ง 2 ด้านของฟิล์มที่อยู่ระหว่าางช่องอากาศ โดยที่ช่องว่างอากาศทั้งสองข้างจะกลายเป็นช่องว่างอากาศสะท้อนรังสีคุณสมบัติ1)สามารถสะท้อนความร้อนออกไปจากกระจกได้มากถึงประมาณ 80% หรือยอมให้ความร้อนส่งผ่านเข้ามาเพียง 10% ที่เหลืออยู่ 10% จะถูกดูดกลืนเข้าไปในกระจก2)ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้องค์ประกอบของกระจกและฟิล์ม3)ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต โดยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตประมาณ 98%ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)ต้องระวังไม่ให้วัสดุยาแนวเกิดความเสียหาย มิฉะนั้นความชื้นอาจแทรกซึมเข้าไปทำให้กระจกเสื่อมประสิทธิภาพได้2)ในการติดตั้งระมัดระวังผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต เนื่องจากจะทำให้วัสดุยาแนวเสื่อมสภาพได้3)ไม่สามารถปรับแต่งขนาดของกระจกภายหลังประกอบได้ ดังนั้นจะต้องวัดและตัดให้ได้ขนาดตรงกับการนำไปใช้เท่านั้น4)การติดตั้งควรระมัดระวังไม่หันกระจกผิดด้านเพราะจะทำให้คุณสมบัติของกระจกต่ำลง*********************************************************************************************************************** กระจกฮีตสต็อป(Heat Stop)กระจกฮีตสต็อปมีลักษณะเป็นกระจกสองชั้นประกอบขึ้นด้วยกระจกสะท้อนแสงที่เคลือบด้วยสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำเป็นกระจกด้านนอก และด้านในใช้กระจกใส สารที่เคลือบนั้น สามารถป้องกันความร้อนอินฟาเรดให้ผ่านเข้ามาได้เพียง 5% ช่องว่างตรงกลางใส่ก๊าซอาร์กอนคุณสมบัติ1)สามารถสะท้อนความร้อนออกไปจากกระจกได้มาก2)ยอมให้แสงสว่างผ่านกระจกเข้ามามากถึงประมาณ 60% 3)ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต โดยสะท้อนรังสีอัลตร้าไวโอเลตได้ประมาณ 95 %ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน 1)ต้องระวังไม่ให้วัสดุยาแนวเกิดความเสียหาย มิฉะนั้นความชื้นอาจแทรกซึมเข้าไปทำให้กระจกเสื่อมประสิทธิภาพได้2)ไม่สามารถปรับแต่งขนาดของกระจกภายหลังประกอบได้3)การติดตั้งไม่ควรหันกระจกผิดด้านเพราะจะทำให้คุณสมบัติของกระจกต่ำลง4.กระจกนิรภัยหลายชั้นเป็นการนำกระจกตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไป มาผนึกเข้าด้วยกัน โดยมีแผ่นฟิล์มโพลีไวนิลนิวทิเรต ที่เหนียวและแข็งแรงซ้อนอยู่ระหว่างกลาง ทำหน้าที่ยึดกระจกให้ติดกัน เมื่อกระจกชนิดนี้ถูกกระแทกจนแตก แผ่นฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเรตจะช่วยยึดไม่ให้เศษกระจกหลุดกระจาย จะมีเพียงรอยแตกหรือรอยร้าวคล้ายใยแมงมุมเท่านั้นคุณสมบัติ1)การใช้กระจกนิรภัยหลายชั้น สามารถช่วยลดการบาดเจ็บจากกระจกได้2)ป้องกันการทะลุทะลวง เนื่องจากการแตกและการบุกรุกได้3)ช่วยลดเสียงรบกวน และลดการก้องของเสียงได้ดี4)ช่วยในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ5)แผ่นฟิล์มในกระจกนิรภัยหลายชั้นช่วยในการลดรังสีอัลตราไวโอเลตข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)เนื่องจากฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเลต มีคุณสมบัตในการอมความร้อน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาการแตกร้าว เนื่องจากการสะสมความร้อน จึงไม่ควรเลือกกระจกต่อไปนี้เข้ามาผนึกเข้าด้วยกัน-กระจกสีตัดแสงผนึกกับกระจกสีตัดแสง-กระจกสีตัดแสงเสริมลวดผนึกกับกระจกแผ่นเรียบ-กระจกสะท้อนแสงผนึกกับกระจกเสริมลวด2)มีความแข็งแรงต่อแรงอัดของลมน้อยกว่ากระจกธรรมดาที่ความหนาเท่ากัน3)เมื่อนำกระจกนิภัยเทมเปอร์มาผนึกเข้าด้วยกันควรใช้แผ่นฟิล์มที่ความหนาไม่ต่ำกว่า 0.7 มิลิเมตรเป็นตัวยึดกระจก เพื่อป้องกันการเกิดฟองอากาศเนื่องจากผิวกระจกไม่เรียบ4)ไม่ควรใช้วัสดุยาแนวชนิดซิลิคอน ออกไซด์ หรือวัสดุยาแนวที่มี่สวนผสมของสารละลายอืนทรีย์เนื่องจากจะทำให้เกิดผลเสียต่อฟิล์ม5) ควรมีการเคลือสารกันน้ำ บริเวรขอบกระจก เพื่อป้องกันความเสียหายของแผ่นฟิล์ม6)เมื่ออุณหภูมิของกระจกนิภัยหลายชั้นเพิ่มสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่งคือ 170 องศาฟาเรนไฮต์ การสะสมความร้อนภายในจะสูงขึ้นความสามารถของฟิล์มในการยึดเกาะกระจกจะลดลง--------------------------------------------------------------------------------กระจกอื่นๆ1.กระจกเงา(Mirror)กระจกเงาที่ดีควรผลิตจากกระจกใส และมีคุณภาพสูง จึงจะให้ภาพที่แจ่มชัดเหมือนจริงไม่บิดเบี้ยวหลอกตา ผ่านกรรมวิธีเคลือบเงาด้วยเครื่องจักร 4 ขั้นตอนคือ1)เครือบวัสดุเงิน(Silvery Coating)2)เคลือวัสดุทองแดงบริสุทธิ์(Pure Copper Coating)3)เคลือบวัสดุอย่างดีชั้นแรก(1 st Layer High Quality Colour Coating)4)เคลือบวัสดุอย่างดีชั้นที่ 2(2 st Layer High Quality Colour Coating)คุณสมบัติ1)เหมาะสำหรับการตกแต่งภายใน โดยเฉพาะกระจกเงาใสซึ่งจะให้บรรยากาศภายในห้องที่สดใส การใช้กระจกเงาเพื่อการตกแต่งและสร้างบรรยากาศภายในอาคาร ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน ทำให้มีบรรยากาศที่น่าสนใจ2)หากจัดวางอย่างมีแบบแผน จะสามารถสะท้อนภาพของพื้นที่ได้หลายรูปแบบช่วยเพิ่มพื้นที่สายตาและลดความคับแคบของห้องได้*********************************************************************************************************************** 2.กระจกลวดลาย(Pattern Glass)กระจกลวดลาย ผลิตโดยกระจกที่ยังไม่แข็งตัวเข้าไปสู่แถวของลูกกลิ้ง เพื่อให้ได้ความหนาที่ต้องการ และพิมลวดลายซึ่งติดกับลูกกลิ้งลงบนผิวด้านใดด้านหนึ่งของกระจก หรือทั้ง 2 ด้านคุณสมบัติกระจกลวดลายมีคุณสมบัติโปร่งแสงแต่ไม่โปร่งใส จึงทำให้เกิดภาพที่นุ่มนวล แต่อาจไม่ชัดเจนนักข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)เนื่องจากกระจกลวดลายมีความลึกของเนื้อกระจกไม่สม่ำสมเอกัน จึงไม่เหมาะที่จะนำมาผลิตเป็นกระจกนิภัยเทมเปอร์2)ความแข็งแรงและความคงทนของกระจกมีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของกระจกใสที่มีความหนาเดียวกัน เนื่องจากความไม่เรียบของกระจก ลักษณะของภาพที่มองเห็นผ่านกระจกลวดลาย *********************************************************************************************************************** 3.กระจกเสริมลวด(Wired Glass)กระจกเสริมลวดผลิตโดยการใส่แผงตาข่ายลวดลงในกระจกขณะที่กระจกหลอมเหลว เพื่อเป็นการเพิ่มการแข็งแรงให้กับกระจกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ตามลวดลายของแบบตาข่ายดังนี้1)ลายข้าวหลามตัด(Diamond-Shaped Pattern or Misco)2)ลายสี่เหลี่ยม(Baroque Pattern)3)ลายหกเหลี่ยม(Hexagonal Pattern)4)ลายแนวตั้ง(Pinstipe Pattern)คุณสมบัติ1)มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ จึงมักใช้เป็นกระจกป้องกันการโจรกรรม2)แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ มีความคมข้อควรพิจารณาในการใช้งาน1)เนื่องจากกระจกเสริมลวดจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่มีความคม เหมาะสำหรับการใช้งานภายในอาคาร หรือในต่ำแหน่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัยและคนทั่วไปได้2)กระจกเสริมลวดเป็นกระจกที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการโจรกรรม ดังนั้นจึงไม่เน้นการออกแบบเพื่อความสวยงาม