ร่วมด้วยช่วยลุงยา รักษาลูกสาว เป็นหนี้โรงพยาบาลจนถูกไล่ที่
ลุงยา พึ่งม่วง อายุ 50 ปี เป็นพนักงานชั่วคราวของมหาวิทยาลัยนเรศวร ฐานะค่อนข้างยากจน ปัจจุบันกำลังถูกโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกฟ้องขับไล่ที่ เนื่องจากทางโรงพยาบาลบอกให้ลุงยาทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับโรงพยาบาล เพื่อนำมาใช้แทนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลูกสาวที่ได้รับอุบัติเหตุรถกระบะตัดหน้า นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลยังบอกให้ลุงยาทำสัญญาเงินกู้จำนวน 154,567 บาท ทั้ง ๆ ที่ลุงยาไม่เคยได้เงินที่กู้ส่วนนี้เลย
ลุงยาและลูกสาวหรือน้องหยาดพิรุณได้เข้าร้องทุกข์ต่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคขอความช่วยเหลือ เพื่อหาทางเอาที่ดินคืน เพราะลุงยาไม่มีที่ที่พักอาศัยที่อื่น นอกจากบ้านที่อยู่ในปัจจุบัน
ลุงยาเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวถูกรถกระบะตัดหน้าจนประสบอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2549 หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัยก็มารับตัวลูกสาวไปส่งที่โรงพยาบาลเอกชน ทั้ง ๆ ที่โรงพยาบาลรัฐที่ลุงยามีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายได้ตามโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคอยู่ห่างจากโรงพยาบาลเอกชนเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกลับอ้างว่า รถติดเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อผู้ได้รับบาดเจ็บจึงพามาส่งที่โรงพยาบาล
พอมาถึงโรงพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็บอกให้ลุงเซ็นเอกสารยินยอมให้รับการรักษา โดยไม่ได้อธิบายให้ลุงฟังว่า ลุงมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่อ้างว่า ถ้าลุงไม่เซ็นลูกสาวลุงก็ไม่ได้รับการรักษา ด้วยภาวะขับขันลุงจึงยอมเซ็นเอกสารดังกล่าว โดยไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นภายหลัง แต่เนื่องจากลูกสาวของลุงเป็นผู้มีสิทธิบัตรทอง จึงขอให้สิทธิฉุกเฉินทันที
ระหว่างการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ลุงยารู้ว่าค่ารักษาแพง ตนเองไม่มีเงินจ่าย จึงทำเรื่องย้ายตัวผู้ป่วยรไปรักษาที่โรงพยาบาลต้นสังกัด คือ โรงพยาบาลพุทธชินราชซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิของนางสาวหยาดพิรุณ แต่ได้รับการปฏิเสธจากทางโรงพยาบาลเอกชน โดยเจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าย้ายออกต้องจ่ายค่ารักษาทั้งหมด
ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาการรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลเอกชนตั้งแต่วันเกิดเหตุ คือ 14 เมษายน 15 พฤษภาคม รวมเป็นเวลา 32 วัน มีค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาล 293,587 บาท เป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างประจำอย่างลุงยา
ลุงยาบอกว่า ได้แจ้งไปทางโรงพยาบาลเอกชนตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนแล้วว่าขอย้าย แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่ามีเหตุขัดข้องไม่สามารถย้ายออกไปได้ จนค่ารักษาพยาบาลได้บานปลายเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งในวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 เป็นวันที่ครบกำหนดรักษาตัวลูกสาวและต้องออกจากโรงพยาบาล ลุงยาและครอบครัวไม่มีเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับโรงพยาบาล จึงทำให้ลุงยาไม่สามารถนำตัวลูกสาวออกมาได้ ตามกำหนด อีกทั้งทางโรงพยาบาลทราบว่า ลุงยามีที่ดิน 1 แปลงจำนวน 4 ไร่ 32.1 ตารางวา แต่ติดจำนองอยู่ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ โรงพยาบาลจึงยอมให้ลุงยายืนเงินจำนวน 61,000 บาท รวมทั้งค่าโอนให้กับลุงยาเพื่อไปไถ่ถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 41123
ทางโรงพยาบาลบอกลุงยาว่า หลังจากที่ได้ที่ดินกลับมาจากการไถ่จำนองแล้ว ให้เอาที่ดินผืนนี้ขายให้กับโรงพยาบาลก่อน และเมื่อลุงยาชำระค่ารักษาพยาบาลครบแล้วทางโรงพยาบาลจะคืนที่ดินให้ภายหลัง และในวันเดียวกันโรงพยาบาลยังให้ลุงยา ทำสัญญากู้เงินจำนวน 154,567 บาท พร้อมทำสัญญาซื้อขายที่ดิน ไม่รวมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ให้โรงพยาบาล
โดยมีราคาขาย ณ สำนักงานที่ดินในราคา 200,000 บาท ทั้งนี้ราคาประเมินที่ดินผืนดังกล่าวตามสำนักงานที่ดินประเมินไว้วันที่ 8 พฤษภาคม 2549 อยู่ที่ 163,210 บาท
หลังการทำสัญญาซื้อขายที่ดินแล้วเสร็จ ลุงยาได้ขอเจรจาที่ดินคืน เนื่องจากเข้าใจว่าตนเองถูกหลอก
ลุงยาได้เข้าร้องทุกข์ต้องสภาทนายความจังหวัดพิษณุโลก แต่ทนายความกลับเกลี่ยกล่อมให้ลุงยาตัดสินใจไม่ดำเนินคดี โดยอ้างว่าสู้ต่อไปอย่างไรก็แพ้ และด้วยความไม่ทันเลห์กล ลุงยาจึงยินยอมเซ็นเอกสารไม่ติดใจเอาความ
ทุกวันนี้ลุงยาต้องแบกรับภาระหนี้สินจากโรงพยาบาลทั้งหมด 315,567 บาทที่เกิดจากการรักษาพยาบาลลูกสาว ทั้งนี้ศาลจังหวัดพิษณุโลกจะนัดไกล่เกลี่ยอีกทีในวันที่ 9 พฤษจิกายน
ร่วมเป็นกำลังใจให้ลุงยาและหาทางออกให้ลุงยาด้วยนะครับ
ทั้งนี้ลุงยาไม่ได้เต็มใจแต่จำเป็นต้องทำเพื่อนำเอาตัวลูกสาวออกจากโรงพยาบาลเท่านั้น และด้วยหัวอกความเป็นพ่อจึงต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้หายจากอาการเจ็บป่วย
หมายเหตุ ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
Create Date : 13 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 13 กันยายน 2550 22:40:16 น. |
Counter : 459 Pageviews. |
| |
|
|
|