ซากุระบาน Day 6 ฮาร์โมนี่ แลนด์
วันที่หกของการเดินทาง และ เป็นวันเที่ยว วันสุดท้าย หลังจากเดินทางไกลๆมาหลายวัน วันนี้จึงตัดสินใจไปใกล้ๆ และจะได้มีเวลา ซื้อของฝากด้วย ตอนเช้าเราออกมาที่สถานีรถไฟเบปปุ แล้วต่อ ขบวนรถ local commuter train วิ่งเลียบทะเล มายังเมือง Hiji เมืองเล็กๆ แล้วต่อรถ แท็กซี่ ไปยัง สวนสนุกของซานริโอ้ harmony land (ฮาโมนี่ แลนโด้) สวนสนุกที่คิดว่าคงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือ คนไทย ไปเยี่ยมมากนัก (ไปดิสนีย์ หรือ เฮาซ์ เทน บอส กันหมด) ฮาร์โมนี่ แลนด์ เป็นสวนสนุกสำหรับ เด็กเล็กๆ อยู่ในเมืองเล็กๆ มีรถบัสเป็นรอบๆ จากหน้า เซเว่น แถว สถานีรถไฟ แต่มีไม่กี่รอบ ตอนเราไปสิบโมง ต้องรอเป็นชั่วโมง เลยนั่งแท็กซี่แถวนั้นมาดีกว่า ค่าแท็กซี่พันห้าร้อยกว่าเยน ขึ้นเขามาก็เห็นสวนสนุก และ รถครอบครัวมาเที่ยวกัน ตอนแรกกะจะเสียค่าชมอย่างเดียว แต่เค้าไม่มี เล่นขายตั๋วชุด คนละ 2,800 เยน ก็เล่นเอาอึ้งเหมือนกันแต่ว่าไหนๆมาแล้วก็เข้าไปดูซะหน่อยไม่อยากเสียเที่ยววันนี้อากาศดี ฟ้าแจ่ม แต่ลมแรง หนาวมากๆ จนไม่อยากไปเล่นอะไร outdoor ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสวนสนุกเล็กๆ แต่ว่า ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรน่าสนใจ การจัดแลนสเคป ที่นี่น่าสนใจ ประกอบกับความน่ารักของเหล่าบรรดาตุ๊กตาซานริโอ้ คนที่ชอบถ่ายรูปนี่คงจะมีมุมถ่ายรูปที่นี่ได้เป็นวันๆเลยที่เดียว ผ่านประตูเข้ามา ก็จะเป็น kitty castle ที่เหมือนปราสาทเทพนิยาย ของดิสนีย์ เป็นสัญลักษณ์ ภายในก็จะเป็นเหมือน บ้านคิตตี้ ที่ อะไรๆ ก็เป็นคิตตี้ น่ารัก หวานแหวว ไปหมด ถ้าสาวๆมาที่นี่คงกรี๊ดกร๊าดถ่ายรูปกันใหญ่ อิอิ ตอนทางออก ก็มี มาสคอต คิตตี้ มาคอยถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แต่ต้องเสียตังค์จากนั้นก็มาขึ้นรถไฟชมรอบๆสวนสนุก สวนนี้จะเป็นระดับๆ จากบนเนินมายังข้างล่าง เรานั่งรถไฟสีชมพู (หวานมาก) จากด้านบนค่อยๆลงเนินมาเรื่อยๆ จะเห็นวิว ซึ่งเป็นธรรมชาติมาก จนถึงสถานีสุดทาง เรานั่งเรือ ตอนแรกๆก็ไม่รู้เรืออะไร เห็นเค้าขึ้นกัน และ เหมือนรถไฟจะมาเพื่อเล่นอันนี้โดยเฉพาะจนกระทั่งมาเห็นพวก คอสเพลย์ ของเหล่าตุ๊กตา ซานริโอ้ จึงเอ้อ เหมือนกับ small world ของดีสนีย์ ซึ่งทำได้น่ารัก ถือว่าเป็น ไฮไลต์ของที่นี่เหมือนกัน แล่นเรือจบกลับ นั่งรถไฟกลับมายังสถานีรถไฟแรก จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนสุดจะเป็นที่ตั้งของเครื่องเล่นต่างๆ ชิงช้าสวรรค์ เวที ดูอะไรๆ ก็น่ารักไปหมด ประกอบกับครอบครัวที่พาเด็กๆมา ก็ทำให้ การมาที่นี่ ก็ได้ความรู้สึกที่ดีกลับไป (แม้ว่าอากาศจะหนาวโหดร้าย) เสียดายที่เราต้องรีบไปจากที่นี่ เพราะว่า ได้เวลารถบัสที่จะไปส่ง หน้าสถานีรถไฟ hiji รถเมลล์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเมืองไหนก็ตามที่ผมได้ขึ้นจะมีหลักการดังนี้ครับ1 ขึ้นรถ ถ้ามี สองประตู จะขึ้นตรงกลาง และ ลงด้านหน้า (ข้างคนขับ)2 ตอนขึ้นจะมีตั๋วให้หยิบ เป็นกระดาษเล็กมีตัวเลขอยู่3 ด้านหน้า (ข้างๆบน หัวคนขับ) จะมีป้ายบอกค่าโดยสาร โดยจะบอกว่า เลข อะไร ถ้าจะลงป้ายต่อไปต้องเสียเท่าไหร่4 ข้างคนขับจะมีที่แลกเงิน ใส่เหรียญ หรือ แบงค์ลงไป จะมีเงินเหรียญทอนออกมา เงินนั้นจะมีทั้ง เหรียญ ร้อยเยน ห้าสิบเยน สิบเยน เอาไว้ให้เหมาะ เราสามารถไปแลกเงินที่เครื่องตอนไหนก็ได้ บางคนแลกตอนจะลงแต่ก็จะทำให้เสียเวลา5 แต่ละป้ายจะมีบอกว่า ป้ายต่อไปเป็นป้ายไหน แต่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ ถ้าจะถึงป้ายแล้ว ก็ กดกริ่ง คนขับที่นี่จะใจเย็นไม่เหมือนบ้านเรา6 ใส่เงิน ทั้งตั๋วกระดาษ และ ค่าโดยสารลงในกล่องถึงสถานีรถไฟเบปปุเรามาหาไรกินกัน คิดว่าจะไปร้านญี่ปุ่นเลย หลังจากกินข้าวกล่องมาหลายวัน ในสถานีก็มีร้านครับ ราคาก็ไม่แพงกว่าข้างนอก ผมสั่งชุดคัตสึด้งมา ราคา 850 เยนจากนี้ก็ถึงเวลาซื้อของ เราเดินมาถนนหน้าสถานีฝั่งตะวันออก (ทะเล) มา เข้าห้าง Tokiwa ผมว่าห้างที่นั่นไม่ค่อยมีไรมากนะ จะหาทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เหมือนห้างบ้านเรา อยากเช่น เพื่อนผมฝากซื้อ wax uno ที่ซุปเปอร์ใต้ห้างก็ไม่มี ถามพนักงานก็ต้องมีซื้อ ซุปเปอร์ ที่ขายยา ใหญ่ อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟ เรื่องของฝาก ผมว่าซื้อที่สถานีรถไฟของแต่ละที่ดีที่สุด ผมซื้อผงสปา หรือ onsen powder ที่เป็นที่ระลึกของเมือง ราคา ห่อละ ห้าร้อย เยน (แพงเหมือนกัน) กลับไปแพคของ แช่บ่อน้ำร้อน วันรุ่งขึ้นเราก็ออกจากโรงแรม โดยให้แท็กซี่มารับ เราสามารถบอกเค้าท์เตอร์ที่โรงแรมล่วงหน้าได้เลย(ไม่โดนชาร์ตเพิ่ม) เวลาเช็คเอาท์ก็ไม่ต้องเสียค่าอะไรเพิ่มเติมเลย (ไม่เหมือนที่อื่น ที่มักจะเสียค่า utility fee นิดหน่อย) ใครอยากมาพักผ่อน แช่น้ำร้อน ดูธรรมชาติ ไม่ไปไหนไกลมาก ก็แนะนำครับ ที่นี่ staff friendly มาก (เหมือนกับคนญี่ปุ่นอื่นๆที่พบเห็น) นั่งรถไฟ ไปถึงสถานี ฟูกุโอกะ เพื่อเช็คอิน เครื่องออก สิบเอ็ดโมง สี่สิบนาที ถึงกรุงเทพ ตอนบ่ายสามกว่าๆครับ เที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ ผมคิดว่า ประทับใจที่ "คน" ญี่ปุ่น มากที่สุดครับ เอเชียด้วยกัน หน้าตาคล้ายๆกัน แต่ ความมีระเบียบวินัย มารยาท ต่างกับบ้านเราลิบลับ ซึ่งถ้าไปประเทศพัฒนาแล้ว อย่างพวกชาติ ตะวันตก เราอาจจะไม่คิดอะไร หรือคิดว่ามันไกลตัว แต่ ญี่ปุ่นนี่เราถือว่าควรเอาแบบอย่างเค้าครับ ซึ่งผมก็คิดว่า เพราะแบบนี้เองทำไมคนไทยถึงชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมาก ผมยังไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนที่ไปญี่ปุ่นบอกว่า ไม่ดี ไม่น่าไป ไปแล้วไม่อยากไปอีก (ไม่ดีอยู่อย่างเดียวครับ ไปแล้วหมดตัว ฮ่าๆ) แล้วพบกันใหม่ปลายปีครับ เที่ยวฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่ โตเกียว - เกียวโต
ซากุระบาน Day 5 ฮิโรชิม่า
วันนี้เป็นวันที่ห้า ของการเดินทาง จุดมุ่งหมายคือฮิโรชิม่า เมืองแห่งสันติภาพซึ่งวันนี้เราจะได้นั่งรถไฟด่วน ชินกังเซน โดยจาก เมือง เบปปุ นั่งรถไฟ limited express มาที่ โคคุระ แล้วต่อ ชินกังเซ็น บัตร JR pass สามารถใช้นั่ง ชินกังเซ็นได้ ยกเว้นขบวนพิเศษ ใหม่ที่สุด เร็วที่สุด คือ nozomi รถไฟหัวยาวๆๆ ดูเร็วน่าดู ส่วนที่ขึ้นได้จะเป็นขบวน ฮิดาริ เรลล์สตาร์ ปลายทาง โอซาก้า ครับ ว่าด้วยเรื่องรถไฟ เราสามารถจองที่นั่งได้ล่วงหน้า ครับ โดยจองได้ที่ขายตั๋วทุกสถานี เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าได้นั่งแน่ๆ หรือ นั่งกับคนที่อยากนั่ง ถ้าเราไม่ได้จองไว้เราก็ต้องไปต่อคิว ขึ้นตู้ที่ไม่ได้จอง ตอนแรกๆผมก็นั่งผิดครับ ไม่รู้ไปนั่งที่จอง โดนเค้าไล่มาหนึ่งที กับ เจอคนตรวจตั๋วไล่มาหนึ่งที สังเกตง่ายๆครับ ตู้ที่จอง จะมีภาษาอังกฤษตรงทางเข้าครับว่า reserved seat ส่วนใหญ่ อักษรคันจิ จะเป็นตัวสีเขียว แต่ถ้าตู้ non reserved จะเป็นอักษรสีส้ม แต่สำหรับชินกังเซนแล้ว จะมีภาษาอังกฤษบอกที่ชานชลา ว่ายืนตรงไหน จอง ไม่จอง มีตู้สูบบุหรี่ด้วยนะครับ ควันโขมงเชียวสถานีรถไฟชินกังเซ็น จะแยกออกจาก สถานีรถไฟธรรมดาครับ แต่สามารถเดินเชื่อมกันได้ หลังจากนั่งเกือบหนึ่งชั่วโมง จาก โคคุระ ในที่สุดก็ถึง สถานี ฮิโรชิม่า เมืองศูนย์กลางของเกาะฮอนชูตอนใต้ มาเข้าห้องน้ำที่ใหม่ แล้วก็เจอประสบการณ์ใหม่ คือ โถปัสสาวะ ผู้ชายจะมีเหมือนเป็นเป้าครับ ถ้าปัสสาวะ ใส่ตรงเป้า จะเปลี่ยนสีจากสี ดำเป็นสีแดง ก็เข้าใจคิดเหมือนกันครับ หลายคนที่เคยไปญี่ปุ่นก็คงเคยได้ลอง โถส้วมที่มีปุ่มเยอะๆครับ จะรีวิวตอนท้าย ของวันนี้นะครับ (เนื่องจากวันนี้เนื้อหาน้อย) ก่อนออกจากสถานี เห็นมี information ใหญ่อยู่ก็ไปถามเค้าครับ หลักๆคือถามทางไป เกาะมิยาจิม่า ที่ตั้งของศาลเจ้า อิตสึคุชิมะ สัญลักษณ์เอก คือ เสา โทริอิ สีแดง กลางน้ำ ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ถือว่าเป็นสถานที่สัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และ ได้รับการยกย่องว่าเป็น ภูมิทัศน์ที่สวยงาม หนึ่งในสาม ของญี่ปุ่น ทั้งยังเป็น มรดกโลก จากยูเนสโก ซึ่งผมก็ตั้งหน้าตั้งตาถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยก็ว่าได้ครับ จากสถานี เรานั่งรถไฟ JR local มาลงสถานี มิยาจิม่ากูชิ จะนั่งรถรางมาก็ได้ แต่คงช้ากว่าเยอะครับ ลงจากรถ เดินมาอีกซักหน่อย ข้ามอุโมงค์ข้ามถนน ก็มาโผล่ที่หน้าท่าเรือข้ามฟาก จะมีสองเจ้าครับ เจ้านึงเป็นของ JR บัตรของเราใช้ขึ้นได้ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม รอซักพัก อากาศ หนาว ลมแรง เรือไปยังเกาะมิยาจิม่า ก็เป็นเรือเหมือนข้ามเกาะเสม็ด เกาะช้างครับ บรรทุกรถยนต์ได้ มีชาวต่างชาติ (ฝรั่ง) มาเที่ยวเยอะพอสมควร ซักพักก็จะได้เห็นวิว ของ เกาะ และ ศาลเจ้า เด่นชัด ผมไปยืนท้ายเรือ เตรียมถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ตามเรื่อง แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันของผมก็เกิดขึ้นครับ แบตที่เหลืออยู่สองขีด ดันหมดลงได้ครับ วันนี้เลยไม่ค่อยมีรูปๆมาอวดซักเท่าไหร่ เสียดาย ตอนที่ผมไปเกาะ ประมาณเที่ยงกว่าๆครับ สังเกตุได้ว่า บรรยากาศในรูป กับ ของจริงของศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ ไม่เหมือนกัน คือ ระดับน้ำครับ ศาลเจ้ากลางน้ำ ที่เหมือน ลอยอยู่ในน้ำนั้น ต้องมาเห็นตอนน้ำขึ้นเต็มที่ครับ จากข้อมูลน่าจะประมาณ สิบโมง จากนั้นจะค่อยๆลดลง (เห็นลอยน้ำนั้นจริงๆ ตื้นนิดเดียวเอง) ตอนที่ไป จึงมีสภาพ ศาลเจ้าริมหาดครับ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พอเรือเทียบท่า เราก็เดินไปยังศาลเจ้าโดยถนนเลียบชายหาด ก็ชิวดีครับ มีกวางเยอะเลยที่นี่ ถ้าจะเข้าศาลเจ้าก็ต้องเสียเงินครับ ถ้าไม่อยากเสียเงินก็สามารถเดินบนหาดได้ (ก็น้ำมันลงแล้วนี่) หรือ เดินบนถนนทางซ้ายมือ ก็จะเห็นรอบๆ ได้ครับ กลับมาขึ้นท่าเรือเดิม ระหว่างทางกลับย้อนมาทางถนนขายของที่ระลึก เกาะนี้มีชื่อเสียงเรื่องหอยนางรม มีหอยปิ้งหน้าร้าน หอมๆ ก็ต้องลองซักหน่อยครับ สองตัว สี่ร้อย เยน อร่อยดีครับ ตัวใหญ่สะใจดี มีร้านขนม คล้ายขนมครกญี่ปุ่น ไส้ต่างๆ ที่ให้ดูขั้นตอนการผลิตจะๆเลย แล้วก็มี ขนมครกแบบเมื่อกี้ เอามาทอดกรอบ ชิมไม้นึงไส้ชีส ต้องบอกว่า อร่อยมากครับ และยังมี ปลาหมึกเกาะไม้ไผ่อีก ชิมไปชิมมา ก็ อิ่มเหมือนกัน มายังฝั่ง นั่งรถไฟไปยังสถานีเชื่อมรถราง ฮิโรเดน นิชิ ฮิโรชิม่า เพื่อซื้อตั๋วรถราง one day pass หกร้อยเยน (ใช้ไม่คุ้มอีกแระ ถ้าจ่ายเป็นเที่ยว เที่ยวละ ร้อยห้าสิบเยน) จะได้เป็นการ์ดมา ไม่เหมือนที่นางาซากิ (ที่นางาซากิโชว์บัตรให้คนขับดูตอนลงเฉยๆ) แต่ที่ฮิโรชิม่านี้ ต้องเสียบตั๋วเข้าไปในเครื่องตอนขึ้น (ขึ้นตรงกลาง) พอจะลง ก็เสียบบันทึก ไปอีกที (ลงข้างคนขับ) ลงป้าย หน้า อะตอมมิค บอมบ์ โดม ลงปุ๊บเจอเลย เป็นอาคารที่สร้างอย่างแข็งแรงมาก จึง เหลือซากจากการโดนระเบิดเยอะหน่อย (ดูรูปแต่ก่อนลักษณะคล้ายๆ พระที่นั่งอนันต์ บ้านเรา) บรรยากาศ โดยรอบ อาคาร จะมีแม่น้ำข้างๆ เป็น บรรยากาศที่ สงบและสวยงามมาก น่าเดิน น่าขี่จักรยาน น่านั่งเล่นเป็นที่สุด ข้ามสะพานไปอีกฝั่งของแม่น้ำจะเป็น สวนสันติภาพ มีรูปปันหลายอย่างแต่ที่น่าสนใจที่สุดดูจะเป็น อนุสรณ์เด็กหญิงซาดาโกะ ผู้กำเนิดตำนานพับนกกระเรียน (เจ้าตัวโดนอานุภาพระเบิดเป็นมะเร็ง แล้ว คิดว่า ถ้าพับนกเยอะๆ จะหายป่วย) และ อนุเสาวรีย์เหยื่อระเบิดปรมณู ที่มี อะตอมมิค บอมบ์โดม เป็นฉากหลัง ผมอดใจไม่ไหวจึงได้ซื้อกล้องสำเร็จรูปราคา เจ็ดร้อยห้าสิบเยน มาถ่ายเก็บบรรยากาศไว้ เอาไว้ล้างเสร็จแล้วจะมา อัฟเพิ่มเติมนะครับ จากป้ายหน้าอาคารโดม เรานั่งรถราง มายัง ป้าย หน้าสวน ชุกเคเอ็น แต่เกิดเปลี่ยนใจ จากชมสวน ไปยัง ปราสาทฮิโรชิม่า แทน (รู้งี้ ไม่ต้องขึ้นรถรางก็ได้ เดินจาก ตึกโดม มาปราสาท ระยะทางพอกัน) เป็นปราสาทเดียวที่ผมได้ชม ครับ เป็นอาคารไม้ ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ดี สงบร่มรื่นดี เวลาน้อย เลยไม่ได้ขึ้นไปดูวิวข้างบนครับ เราเดินกลับมาไปยังสถานี เพื่อนั่งรถไฟกลับที่พัก ถึงสองทุ่ม ค่าแท็กซี่ พันแปดร้อยกว่าๆ แช่ออนเซ็นซักหน่อย เดี๋ยววันนี้มารีวิว การอาบน้ำรวมแบบญี่ปุ่นดีกว่าสกู๊ปพิเศษ อาบน้ำรวม grand bath ญี่ปุ่นเมืองเบปปุที่ผมพักนั้นเป็นเมืองแห่งบ่อน้ำร้อน สปา ออนเซ็น ฉะนั้นมันก็ต้องแช่ครับ แช่ทุกวัน บางวันเช้าเย็น เนื่องจากห้องน้ำในห้องเล็ก แคบ อึดอัด ครับ จึงไม่แปลกว่า เค้านิยมจะมาอาบน้ำรวมกัน ผมก็เช่นกัน ห้องน้ำที่ห้องแทบไม่ค่อยได้ใช้ คนไทยที่ไปญี่ปุ่นมักจะอายครับ แรกๆผมก็เขินๆ ดีที่คนไม่เยอะมากครับ วิธีการใช้บริการก็ไม่ยาก (ผมก็ไม่เคยเข้ามาก่อน ก็อาศัยดูๆ เค้าเอา)เริ่มแรกที่ห้องจะมี ชุดยูกาตะ กับชุดคลุมให้ครับ ก็ใส่มาอาบก็ดี ถ้าไม่ใส่มา จะใส่ชุดธรรมดามา ก็ไม่เป็นไร เข้าห้องมาในโซนแต่งตัว ก็ถอดรองเท้า มีห้องน้ำไว้เผื่อใครอยากเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัวก่อนแช่น้ำครับ จากนั้นก็ ถอดเสื้อใส่ในตระกร้าครับโซนแต่งตัวก็จะมี พวก ผ้าเช็ดตัว โลชั่น ครีม แฮร์โทนิค มีดโกน อาฟเตอร์เชพ คอตตอนบัต ไดร์เป่าผม หวี เรียกได้ว่ามีแทบทุกอย่างครับ ถ้าเราเข้าประตูไป โซนอาบน้ำ ก็จะมีฝักบัวให้เราอาบน้ำก่อนครับ เค้านิยมนั่งอาบกัน (ตอนหลังถึงรู้เหตุผล) ทำให้ร่างกายสะอาดก่อนลงแช่บ่อ จากนั้นมาที่บ่อ ก่อนแช่ จะมีขัน เอาไว้ให้เอาน้ำในบ่อราด เพื่อปรับอุณภูมิร่างกายครับ น้ำที่บ่อ จะร้อน (มาก) มีสีออกเขียวๆครับ ที่นี่สบายไม่ต้องต้มน้ำ ใช้น้ำธรรมชาติมาเลย น้ำจะมีตะกอนเล็กน้อย ค่อยๆลงแช่นะครับ หลังจากแช่ประมาณสิบนาที รู้สึกตัวเลยครับว่า หัวใจเต้นแรง ชักไม่ไหว ลุกออกจากบ่อ อาจมีหน้ามืดเล็กน้อย (ถึงต้องนั่งอาบฝักบัวปรับสภาพ) ถึงจะลงไปใหม่ได้ หรือจะ อาบน้ำสระผม เลย สบู่ แชมพู ก็มีอยู่ตรงนั้น อาบน้ำเสร็จ มายังโซนแต่งตัว เอาผ้าเช็ดตัว ใส่ชุด กินน้ำ(มีเครื่องกินน้ำเย็นอยู่) แล้วก็ นวดเท้าไฟฟ้า ด้วยเครื่อง สบาย หายเหนื่อยล้า จากการเดินทางไปเที่ยวในแต่ละวันสุดๆไปเลยทีเดียวครับ
ซากุระบาน Day 4 นางาซากิ
เช้ามาฝนทำท่าจะตกอีกวัน หลังจากที่ดูพยากรณ์อากาศ คิดว่า วันนี้ พรุ่งนี้ ฝนคงจะตก ฟ้าครึ้ม วันนี้เราจึงตั้งใจไปไกล เที่ยวเมือง นางาซากิ เผื่อว่า มันจะพ้นรัศมีฝน การเดินทาง จากเบบปุ ต้องไปต่อ รถไฟ ที่ ฮากาตะ จากนั้น นั่งรถไฟ ปลายทาง นางาซากิ ใช้เวลาอีกประมาณ สองชั่วโมง มาทางนี้ต้องระวัง เพราะรถไฟบางขบวนจะไป huis ten bosch ซึ่งแยกกันที่เมือง ซางะ ว่าแต่ huis ten bosch ก็เป็นสวนสนุก สไตล์ ฮอลแลนด์ อยู่ที่จังหวัดนางาซากิ แต่อยู่ไกลตัวเมืองพอสมควร ดูแล้ว เราเลือกไปเที่ยวตัวเมืองดีกว่า ถึงสถานีรถไฟ แล้ว เราซื้อตั๋วรถราง one day pass ห้าร้อยเยน จะนั่งรถรางกี่รอบก็ได้ภายในหนึ่งวัน บัตรคล้าย JR pass โชว์คนขับตอนลง ใครคิดว่า ใช้ไม่เยอะ ซัก สามสี่เที่ยว ผมว่าไม่คุ้ม เพราะผมก็ใช้ไม่คุ้ม (จ่ายเป็นเที่ยว เที่ยวละร้อยเยน) แต่ดีที่มันสะดวก ไม่ต้องไปบอกคนขับเวลาไปต่อ transfer (กลัวสื่อสารกะเค้าแล้วงงอีก) จากหน้าสถานีเรานั่งรถสายน้ำเงิน ต้องไปต่อ สายเขียว เพื่อไปยัง สถานที่ยอดฮิตอย่าง glover garden ที่ tourist information มีแผนที่ และ คนบอกทางไว้ครับ สบายใจได้ ซื้อ one day pass ที่นั่นได้เลย ยืนรอรถราง ก็จะได้เห็นรถรางต่างๆในเมือง ที่ เก่าบ้าง ใหม่บ้าง คละกันไป ถึง หน้า glover garden ก็เดินไปอีกซักหน่อยจะเจอทางเดินขึ้นเนิน สองข้างทางเป็น ร้านค้า ดูมีระเบียบสวยงาม นางาซากิ บ้านเมืองส่วนใหญ่จะอยู่บนเนินเขา บ้านน่ารักๆ สไตล์ตะวันตก เห็นแล้วคิดถึง ซานฟรานซิสโก ขึ้นมาทีเดียว ในอดีต เมืองนี้คือเมืองเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในญี่ปุ่น บ้านเรือนสวยงามดีครับ ถือว่า เป็นเมืองน่าเที่ยวน่าเดินเล่นมากๆเดินมาเรื่อยๆ จะเห็นโบสถ์อยู่ ต้องเสียเงินเข้าชม ถ้าไม่เข้า ก็เดินมาทางขวาก็จะเห็นบันได ทางเข้า สวน โกลฟเวอร์ ย่านนี้ เป็นย่าน บ้านของชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลต่อ การเมือง เศรษฐกิจ ญี่ปุ่น มากพอสมควร มีบ้านหลายหลังด้วยกัน แต่ละหลังก็จะมี คำอธิบายอยู่ดีที่เมืองนางาซากิ ต้นซากุระเริ่มบานเต็มที่แล้ว โดยปกติซากุระจะเริ่มบาน จากใต้ ขึ้นเหนือ ญี่ปุ่น ช่วงที่ผมไปนั้น เกาะคิวชู บานเต็มที่ ประมาณ ปลายๆเดือน มีนาคม (ไปวันแรกๆยังเห็นตูมๆกันอยู่ จนวันท้ายๆ จะเห็นเยอะขึ้น) จ่ายค่าเข้าสวน คนละ หกร้อยเยน จากนั้นเดินขึ้นมันได้เลื่อน ขึ้นเนินเขาไปเรื่อยๆ สวนที่นี่เค้าทำดี ร่มรื่นดีครับ เสียดาย ตอนไปฝนเริ่มตกปรอยๆลงมาแล้ว เลยต้องรีบๆ เดินๆ ถ่ายรูปๆ ชั้นบนสุดจะเป็นบ้านโกลฟเวอร์ใหม่ ซึ่งสามารถเดินขึ้นไปดูวิว ชั้นสองได้ หน้าบ้านมีสนามหญ้า บ่อปลาคาร์ฟ สามารถดูวิวเมือง ท่าเรือ ทะเล โดยรอบ มีบ้านแบบนี้ช่างมีความสุขจริงๆจากข้างบนเราเดินมาตามทางค่อยๆ ลดระดับลงมา ก็มี บ้าน ต่างๆ มีสวน มีรูปปั้น มีน้ำตก มีประวัติต่างๆ จนถึงบ้าน โกลฟเวอร์(เก่า) ที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลต์ของที่นี่ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว มองจากที่นี่ก็เห็น ทะเล และตัวเมืองนางาซากิ สวยงามเช่นกันทางออกจะเป็น อาคารที่แสดง เรือจำลอง และ ร้านขายของที่ระลึก เอ้อ ที่นี่จะมีหินรูปหัวใจ ที่ว่า ถ้าไปแล้วต้องหาหินที่อยู่บนพื้น ถ้าเจอจะสมหวัง อะไรแบบนี้ เนื่องจากฝนตก ผมขอบาย แต่ ก็มี หินหัวใจ ขายเป็นที่ระลึกครับเราออกจากสวนโกลฟเวอร์ ทางเดิม เดินมาขึ้นรถราง ไปยังอีกมุมหนึ่งของเมือง (ผ่านสถานีรถไฟ) ไปยัง peace park อย่างที่ทราบกันดี ว่า นางาซากิ ก็เป็นเมืองที่เป็นเหยื่อของระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่สอง ปี 1945 โดนลูกนี้เข้าไป ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้สงคราม (ลูกแรกที่ฮิโรชิม่า) ผมไปดูจุดที่ระเบิดลง ซึ่งใกล้กับโบสถ์คริสต์ ปัจจุบัน เหลือซากไว้เป็นอนุสรณ์ จุดนี้จะมีรูปปั้น มีสวน น่านั่งครับบริเวณใกล้ๆกันจะเป็น peace park ที่มี รูปปั้นแห่งสันติภาพ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง สวนแห่งนี้สร้างขึ้น จากการครบรอบปีที่สิบ ของเหตุการณ์ระเบิดลง ภายในสวนจะมีรูปปั้นต่างๆ มีระฆังสันติภาพ มี นกกะเรียนกระดาษสีต่างๆ ที่คนมาไว้อาลัย (ประวัตินกกะเรียน อยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า) ภายในสวนน่าเดินครับ ผมเดินท่ามกลางฝนตก ดู หดหู่ๆ หน่อยๆครับจากนั้นก็นั่งรถรางกลับมายังสถานี รถไฟ ซื้อของฝาก คือ เค้ก ฟองน้ำ ของฝากประจำเมือง เดินไปชม อนุเสาวรีย์ 26 saints ที่สร้างอุทิศ เนื่องจากการปราบปราม คริสจักร และ วัฒนธรรมตะวันตก ที่เข้ามาในญี่ปุ่น ของโชกุนในอดีต จากนั้นก็ซื้อ อาหารกล่องมากินบนรถไฟ มื้อนี่เจ็ดร้อยเยน ราคาอาหารกล่อง ก็ ขึ้นอยู่กับความหรู มีตั้งแต่ ถูกๆ ถึงแพง ถึงที่นี่จะกินไม่ค่อยร้อน แต่อาหาร คือว่า มีคุณภาพ รสชาติใช้ได้ อย่างข้าวหมูทอด กับ สปาเกตตี้ มื้อนี้ ก็ไม่แพ้ ไปกินตามร้านอาหารเหมือนกันเดินทางจากนางาซากิ ถึง ฮากาตะ สองชั่วโมง แล้ว ต่อ ไปยัง เบปปุ อีกสองชั่วโมง ตากฝนเกือบทั้งวัน ถึงสถานี สามทุ่มกว่า เรียกแท็กซี่ (ทักชี่)ไปโรงแรม คราวนี้แพงกว่าเดิมเยอะครับ ทั้งหมด พันแปดกว่าเยน (ยังสงสัย รถก็ไม่ติด) กลับมารีบ อาบน้ำ แช่ออนเซ็น นอนหลับ เช้าวันต่อมาจะไปเยือนเมืองที่โดนนิวเคลียร์อีกเมืองครับ คือเมือง ฮิโรชิม่า
ซากุระบาน Day 3 ฟูกุโอกะ
ต่อวันที่สามของการเดินทาง เมฆครึ้มมาแต่เช้าดูท่าทางวันนี้ฝนจะตก เราจึงเปลี่ยนแผน หาที่ช้อปปิ้งกันดีกว่า อย่างน้อยก็อยู่ในห้าง(ตามความคิดขณะนั้น) เราเดินทางจากสถานีรถไฟ เบปปุ ไปยัง ฟูกุโอกะ (ผ่านโคคุระต้องหมุนเก้าอี้) ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง อยากจะชมระบบรถไฟญี่ปุ่นจริงๆ เพราะ นอกจาก ตารางที่ตรงต่อเวลา เป๊ะๆ สภาพรถไฟที่สะอาดสะอ้าน ดูทันสมัย เบาะน่านั่ง ห้องน้ำสะอาดน่าเข้าแล้ว พนักงานรถไฟ ทั้ง เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว และ พนักงานขายของ ล้วนแต่ พูดจาดีมีมารยาท ทุกครั้งที่เข้าและออกโบกี้ จะ โค้งคำนับเสมอ ก็ไม่รู้อีกกี่ปีเมืองไทยถึงจะมีระบบรถไฟดีๆ แบบเค้ามั่ง (เฮ้อ) เรามาถึง สถานี ฮากาตะ สิบเอ็ดโมงนิดๆ แหล่งท่องเที่ยวแรกของเรา คือ ศาลเจ้า ไดซาฟุ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเมือง วิธีการเดินทาง เนื่องจาก ศาลเจ้านี้อยู่นอกเมือง จึง ต้องต่อรถไฟเอกชน nishitetsu โดยจากสถานีฮากาตะ นั่งใต้ดิน ไปลง เทนจิน (ย่านช้อปปิ้ง) จากสถานีเทนจิน สามารถเดิน ทะลุ ห้านาที ก็ถึง สถานี ฟูกุโอกะ เป็นที่ตั้งของขบวนรถไฟ nishitetsu ซึ่งใช้บัตร JR pass ไม่ได้ ขบวนรถไฟเอกชนนี้จะมีสองแบบ แบบ local ถ้ามีป้ายไป ดาไซฟุ ก็ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถ มันจะจอดทุกสถานี จนถึงปลายทางคือ ดาไซฟุเลย อีกแบบเป็นแบบ express จะจอดบางสถานี เราต้อง ลงที่สถานี futsukaichi เพื่อต่อขบวน local ไปดาไซฟุ แบบที่สองจะเร็วกว่าหน่อย ขากลับก็แบบเดียวกันถึงหน้าสถานี ฝนก็ตกมาพอสมควร จากสถานีเดินมาด้านขวา จะเห็นเสา โทริอิ หิน เรียงราย เป็นเครื่องบอกทางเข้าศาลเจ้า สองข้างทางเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก และร้าน โมจิ ของเขาเป็นแบบคล้ายๆ ขนมเข่งมีไส้ถั่วแดง อร่อยดี ชิ้นละ ร้อยเยน ก่อนเข้าศาลเจ้าจะมีรูปปั้น วัว กระทิง เล็กๆ ไว้ให้ลูบ (เห็นแล้วนึกถึงตัวใหญ่ที่อยู่ตรง วอลลสตรีท นิวยอร์ค แต่คงไม่เกี่ยวกัน) เดินข้ามสะพานมาก็จะเห็นสวนญี่ปุ่นอยู่ข้างทาง มีรูปปั้น เสียดายที่ฝนตก ไม่งั้น บรรยากาศคงดี กว่านี้ก่อนเข้าในศาลเจ้าแต่ละที่ก็มักจะมี กระบวยตักน้ำ เพื่อให้ล้างปาก ล้างหน้า ล้างมือ สุดแล้วแต่ เพื่อชำระร่างกายให้สะอาดก่อนเข้าบริเวณ ศาลเจ้าดาไซฟุมีชื่อเสียงเนื่องจากเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการศึกษา จึงมีเด็กนักเรียนจำนวนมากจากทั่วสารทิศ มาขอพร ให้สำเร็จในการเรียน การสอบ ตอนที่ไปก็มีคนมาทำพิธี เนื่องจากฝนตกค่อนข้างหนักเราจึงต้องรีบเผ่นออกมาขึ้นรถไฟกลับมาเทนจินถึงย่านเทนจิน ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้ง คล้ายๆ สยามบ้านเรา เป็นที่ตั้งของห้างดัง หลายห้าง เดินซักพักชักหิว เราจึงเลือกมาห้าง canal city ซึ่งต้องนั่งรถบัส ร้อยเยน ที่ป้ายหัวมุมหน้าห้างไดมารู มาลงป้ายหน้า ห้างคาแนลซิตี้ ถือเป็นห้างใหม่ ห้างใหญ่ ที่รวมร้านแนวๆ ในห้างจะมีหลายๆโซนด้วยกัน มีโรงแรม ร้านอาหาร ถ้าจะเลือกกินจะมีชั้นล่าง หรือไม่ก็ ราเมนสเตเดี้ยม ที่รวมร้านราเมนขึ้นชื่อจากที่ต่างๆมาไว้ด้วยกัน มีหลายร้าน พอมาถึงก็อึ้งเหมือนกันเพราะหน้าร้านแต่ละร้านจะมี ตู้ให้กด บางร้านมีแต่ปุ่มอักษร ผมเลยเลือก ร้านที่มีปุ่มที่มีรูปภาพ วิธีกดก็เหมือนตู้ขายน้ำ หรือ ตั๋วรถไฟ คือ ใส่เงินเข้าไปก่อน จากจำนวนเงินที่ใส่เข้าไป ตู้ก็จะมีไฟ ในรายการที่เงินถึง (ถ้าแพงกว่าเงินที่ใส่ ไฟก็ไม่ติด) จากนั้นก็กดปุ่ม ก็จะมี คูปองมาให้ จากนั้นก็เดินเข้าร้าน รอคิวนิดหน่อย ยื่นตั๋วที่กดให้พนักงาน ดีที่ พนักงาน พูดภาษาอังกฤษได้ เลยถามว่า จะเอา เส้นแข็ง หรือเส้นนิ่ม มื้อนี้ผมกิน ราเมน น้ำต้มกระดูกหมู รสชาติ เข้มข้น หอมมัน มากๆ อร่อยจริงๆครับ จะคล้ายๆร้านที่อยู่ใต้ดินพารากอน ข้างๆร้านแกงกะหรี่ นั่นแหละ กินกับเกี๊ยวซ่า ราเมนชามละ 580 เยน ถ้ามีเครื่องมากขึ้น เช่น ไข่ เนื้อ ก็จะแพงขึ้นตามลำดับ ฟันธง มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของทริปครับ ไม่ผิดหวังจริงๆ ใครมาต้องมาลองดูติดกับราเมน สเตเดี้ยมจะเป็นร้านเกมส์ ร้านเกมส์ที่นี่ดูเป็นล่ำเป็นสัน คนคงชอบเล่นเกมส์ตู้กันเยอะ เห็นหลายที่ ถนนสายนึงนี่ มีหลายร้าน ทีเดียว เราเดินลงมาดูของเล็กน้อย (ซึ่งก็ไม่ได้อะไร) ถือว่าเดินเล่น ชมบรรยากาศ ชั้นล่างจะเป็นคลอง ช่วงนั้นมี นิทรรศการเอาดอกไม้มาทำเป็นตุ๊กตา ประมาณ รักโลก ไรงี้ ที่นี่มีน้ำพุดนตรีให้ชมด้วย ออกจากห้างนั่งรถ ร้อยเยน จากป้ายหน้าห้าง (ป้ายเดียวกับที่ลง) มายัง สถานี รถไฟ ฮากาตะ เพื่อ เดินทางกลับ โรงแรม ซื้อ ข้าวกล่อง เดินทางสองชั่วโมง โดยรถไฟ กว่าจะถึง เบปปุ ก็ ทุ่มกว่าๆ ไม่มีรถที่ไปโรงแรมแล้ว เรานั่นแท็กซี่ (ทักชี่) กลับ ค่ารถคืนนั้น พันห้าร้อยกว่าเยน แท็กซี่ที่นี่คนขับจะสั่งเปิด ปิดประตูให้เอง ค่าโดยสารก็คิดตามมิเตอร์ นั่งไปลุ้นไป เพราะ ตัวเลขมันเปลี่ยนเร็วมาก แต่คนขับมารยาทดีครับ
ซากุระบาน Day 2 เบปปุ โออิตะ ยุฟุอิน
วันที่สองของการเดินทาง จาก โรงแรม เรานั่ง ชัตเติ้ล บัส ของโรงแรมมายัง สถานีรถไฟ (เอกิ) เบบปุ ทุกวันเราจะออก โดยนั่งมาเวลา เก้าโมงเช้า ถึงสถานี ก็ประมาณ เก้าโมง สิบนาที วันนี้เราอยากมาเที่ยวใกล้ๆหลังจากที่เหนื่อยกะการเดินทางของเมื่อวาน (ขนาดนั่งแช่ขา และ แช่ออนเซ็นที่ รร อยู่นาน เดี๋ยวจะมา รีวิว) เรานั่งรถไฟ ไป ยัง เมือง โออิตะ เพื่อต่อรถไฟ ไปยัง ยูฟุอิน เมืองท่องเที่ยวสำคัญ อีกเมืองหนึ่งของย่านนี้ เนื่องจากเป็นเมืองที่อนุรักษ์ของเก่า และเป็นแหล่ง บ่อน้ำร้อนสำคัญที่รักษาความดั้งเดิมและเป็นธรรมชาติไว้ ต่างจากเบปปุ ที่ กลายเป็นเมืองใหญ่ คล้ายๆกับลาสเวกัส ญี่ปุ่นนี่อาศัยการกดตู้เยอะ ไม่ว่าจะเป็น ตั๋วรถไฟ เครื่องดื่ม ไอติม หรือแม้แต่ สั่งราเมง ก็ต้อง กดตู้ก่อน วิธีกดตู้ก็ไม่ยาก ใส่เงินเข้าไปก่อน แล้วมันจะมีไฟขึ้น เราก็กดอันนั้น ถ้าเป็นเครื่องดื่ม มันมี เครื่องดื่มร้อนด้วยนะ ส่วนใหญ่ปุ่มจะเป็นสีแดง ถ้ากระป๋องเย็นๆ ปุ่มจะเป็นสีฟ้า ถึงสถานี ยูฟุอิน เราก็เดินเลียบถนนมาเรื่อยๆ ร้านค้าตอนแรกๆ จะเป็นสมัยใหม่ เดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีบรรยากาศย้อนยุค เรื่อยๆ มีตรอก ซอกซอย จนถึง ถนนคนเดิน (แบบ อัมพวา ตลาดร้อยปีสามชุก) ร้านที่นี่เป็นระเบียบอยู่สองข้างทางสวยงาม มีร้านขายต่างๆ หลากหลาย ทั้ง แฮมเบอร์เกอร์ อาหารญี่ปุ่น ตุ๊กตา ของที่ระลึก เอ๊ะ เริ่มหิวแล้วสิบางร้านก็คนเยอะต่อแถวกันยาว เดินไปเรื่อยๆ สะดุดกับ ร้าน outdoor มีเด็กญี่ปุ่น ยืนขาย ซุป (ผมไม่รุ้เรียกว่าอะไร) แต่เห็นป้าย 200 เยน เลยขอลองดูซักหน่อย เห็นคนก็ซื้อเยอะเหมือนกัน ชิมแล้ว อร่อยมากครับ เป็นซุปเต้าหู้ กับ ผัก แครอท ปกติ ผมไม่ค่อยชอบกินซุปผัก แต่ ต้องยอมรับว่าของเขาดีจริง ซัดไปจนเกลี้ยงชาม ข้างๆก็มีร้าน (ของเค้า) ขายข้าวปั้น เหมือนแฮมเบอร์เกอร์ แต่ใช้ข้าว แทน ขนมปัง ก็อร่อยดีครับ ไม่แพงมาก ผมไปเที่ยว ไปกิน ที่ญี่ปุ่นรู้สึกสบายใจมากครับ ตลอดทริป กินอะไร ซื้ออะไร ของมีมาตรฐาน ไม่โดนฟัน ของเหมือนกัน ซื้อคนละที่ ก็ราคาเหมือนกัน ของตามห้าง กะ ตามโรงแรม หรือ ร้านค้า ราคาเท่ากัน ซื้อแล้วไม่รุ้สึกโดนหลอก แบบ เจอที่นึงถูกกว่าไรงี้ ถ้าใครไป เห็นอะไรถูกใจ ก็ซื้อไปเถอะครับ ประเทศเค้าไม่นิยมเอาเปรียบผู้บริโภค จากยุฟุอิน มายัง เบบปุ (หรือ เบปปุ มา ยุฟุอิน) สามารถเดินทางโดยใช้รถไฟ JR ต่อที่เมือง โออิตะ จะใช้เวลาประมาณ ครึ่ง ชม หรือ จะนั่งรถบัส จาก สถานีรถไฟ เลยก็ได้ ไม่ต้องผ่านเมืองโออิตะ แต่ว่า เรามีบัตร JR Pass เลยนั่งรถไฟฟรี ถ้าเป็นบัสต้องเสียเงิน มาถึงสถานีรถไฟ เบปปุ เราก็ได้ทำการสำรวจรอบๆ สถานีจะมีทางออกสองด้าน ด้านฝั่งตะวันออก จะเป็น ฝั่ง seaside ออกจากประตูไปเรื่อยๆ จะเจอ ทะเล ท่าเรือ และ เบปปุทาวเวอร์ ฝั่งนี้จะเป็นย่านการค้า มีห้างอยู่สองเจ้า เท่าที่เห็นคือ tokiwa กับ youme รวมทั้งถนนคนเดินอย่าง yayoi shopping arcade (ซึ่งผมดูแล้วว่าไม่ค่อยมีไร) อีกฝั่งของสถานีเป็นฝั่งตะวันตก เป็น ฝั่งภูเขา ตรงไปเรื่อยๆก็จะเป็น โรงแรมผม ไปทางเมือง ยุฟุอิน ใกล้ๆสถานีฝั่งทะเล ก็มี บ่อน้ำพุเล็กๆเอาไว้ให้แช่มือ ก็อุ่นสบายดีครับ หน้าสถานี จะมีรูปปั้นที่เรียกกันว่า บิดาของการท่องเที่ยวเมือง เบปปุ เป็นรูปลุงรักเด็ก ที่ฐานมีข้อความน่าสนใจครับ ลองอ่านดู เราพอมีเวลา ก็เดินชมเมืองเล่นโดยเดินตามถนนหน้าสถานีฝั่งตะวันออกไปเรื่อยๆเดินไปเรื่อยๆ (สามารถขอแผนที่เมืองได้ที่ information ที่สถานี มีภาษาอังกฤษ เรียบร้อย staff ที่นี่จะช่วยเหลือข้อมูลได้มาก ดูเหมือนว่า มีอะไรสงสัยเกี่ยวกับที่ทาง ที่นี่จะเป็นที่เดียวที่จะสามารถถามได้ โดยใช้ภาษาอังกฤษ) จะเจอ yayoi shopping arcade อยุ่ทางขวามือ ห้าง Tokiwa ทางซ้ายมือ เดินเกือบจะถึงถนนใหญ่เลียบชายหาด ถ้าเลี้ยวขวา ตรงไปอีกหน่อยจะเป็น โรงอาบน้ำ ทาเกะงะวาระ โรงอาบน้ำรวมที่เก่าแก่ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเมือง ค่าอาบ ร้อยเย็น อบทราย พันเยน ออกมาจากโรงอาบน้ำ เดินเลียบถนน เลียบชายหาด ทางซ้ายจะเป็นเบปปุทาวเวอร์ ซึงถ้าขึ้นไปจะสามารถชมเมืองได้โดยรอบ (เสียดายไม่ได้ขึ้น) เราไปเดินดูๆ ทะเล บริเวณหลังห้าง youme ที่เป็นที่จอดเรือ จากนั้นก็เดินกลับ โดยผ่านถนน ชอปปิ้ง yayoi ซึ่งดูเงียบเหงาและไม่ค่อยมีอะไรน่าซื้อ ผมว่าถ้าใครจะซื้อของที่ระลึก หรือ อะไร สามารถหาทุกอย่างได้ที่สถานีรถไฟของแต่ละที่ครับ เดินกลับผ่านร้านสะดวกซื้อ (Konbini) เลยซื้ออาหารกล่องมากินเป็นข้าวเย็น ว่าถึงอาหารกล่อง ก็มีหลายประเภทครับมีตั้งแต่ ง่ายๆ ถึงหรูเลย มีขายเกือบทุกที่ ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาเก็ต สถานีรถไฟ หรือ บนรถไฟ ก็มีคนเข็นมาขาย โดยราคา แตกต่างกัน อย่างในรูปนี้ สามร้อยกว่าเยน ถือว่าเป็นอาหารสำหรับคนเบี้ยน้อย หอยน้อย อย่างผมไปอีกหลายมื้อครับ