น้ำใจที่ยิ่งใหญ่จากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ฉันมีโอกาสได้ไปในสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ทำให้ฉันฉุกคิดว่าคนไทยเราโชคดีแค่ไหนที่มีในหลวง ที่ที่ฉันได้ไปสัมผัสมานั้น ชื่อว่า โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แต่วันนี้ฉันไม่ได้มาเล่าถึงที่มาที่ไปหรือว่าจุดประสงค์ของโครงการพระราชดำริโครงการนี้หรอก เพราะว่าท่านสามารถหาข้อมูลได้จากหลาย ๆ แหล่ง ซึ่งมีอยู่มากมายให้เราได้ศึกษา แต่ฉันจะมาเล่าเรื่องหมาตัวหนึ่งให้ฟัง คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ! ฉันจะเล่าเรื่องของหมาตัวหนึ่งที่ฉันเจอที่แหลมผักเบี้ยให้ฟัง วันนั้นฉันไปถึงที่โครงการประมาณตอนสาย ๆ เมื่อฉันลงจากรถตู้ก็มีหมาตัวหนึ่งวิ่งมาจากไหนไม่รู้ มันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง แล้วก็พยายามเหมือนพูดกับฉัน พยายามส่งเสียงตามประสาของมัน เบาบ้างดังบ้างเป็นระยะ ฉันเห็นมันก็แปลกใจ คิดในใจว่า เอ๊ะ ! หมาตัวนี้เหมือนจะพูดอะไรกับเราเลย จากนั้นมันก็วิ่งนำหน้าฉันไป สักพักก็หันกลับมาเมื่อฉันไม่ตามมันไป มันก็วิ่งกลับมาหาฉันแล้วก็วิ่งนำหน้าไปอีก ฉันก็เลยตามมันไป ปรากฏว่ามันพาฉันไปพบกับเจ้าหน้าที่ของโครงการที่ติดต่อไว้ฉันแปลกใจมาก! เลยบอกพี่เจ้าหน้าที่ว่าเมื่อกี้นี้มันมีพฤติกรรมอย่างนี้ พี่เขาก็หัวเราะแล้วบอกฉันว่า "หมาตัวนี้ชื่อคุณเสือ มันเป็นหมาตัวเดียวที่ได้เข้าเฝ้าพระเทพฯ ในวันที่พระเทพฯ มาที่โครงการแล้วท่านก็ลูบหัวมัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันกลายเป็นฝ่ายต้อนรับของโครงการ ไม่ว่าใครจะไป ใครจะมา มันมีหน้าที่รับและส่ง คณะศึกษาดูงาน มันทำหน้าที่ของมันโดยที่ไม่มีใครต้องสั่งแถมไม่รับเงินเดือนด้วย"ได้ฟังเรื่องราวของคุณเสือ ทำให้ฉันอดทึ่งและก็นับถือในน้ำใจของมันไม่ได้ มันเป็นหมาตัวหนึ่ง หมาที่เร่ร่อนมาจากไหนไม่รู้แล้วได้เข้าเฝ้าพระเทพฯ จากนั้นมันก็ทำหน้าที่รับใช้ท่านตราบจนทุกวันนี้ฉันคิดว่านี่คืออีกหนึ่งชีวิตที่รักและเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์นี่คืออีกหนึ่งชีวิตที่ไม่ได้คิดโดยใช้สมองแต่ใช้หัวใจและนี่คือหนึ่งหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ที่รับใช้พระองค์ท่านโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนฉันนับถือแกจริง ๆ คุณเสือ . ฉันอยากให้คุณได้เจอมันจริง ๆ แล้วคุณจะหลงรักในน้ำใจของมันเหมือนฉัน
แล้วเราจะไปน้อยหน้าได้ยังไง
ปล.อ่านแล้ว อมยิ้มไปด้วย