Group Blog
  •  
  •  
  •  
  •  
  •    
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
All Blog
เปรียบเทียบรองพื้น Estee , Chanel 3รุ่น


เผอิญมีรองพื้น6 ตัวนี้อยุ่ในกรุ แล้วใช้แล้วรู้สึกว่า เห๊ย มันคล้ายๆกันว่ะ
เลยเอามาทำการจับคู่รีวิวให้ดูเลยดีกว่าว่า คล้าย หรือ ต่างกันยังไงเนาะ
เผื่อใครซื้อตามจะได้เลือกซื้อถูก


คู่แรก
 Estee Lauder Double Wear Stay Inplace และ Chanel Perfection Lumiere




เจ้าสองตัวนี้เนี่ย สำหรับเรามันเป็นรองพื้นที่เป็นตัวเจิดที่สุด ในของทั้งสองแบรนด์เลย
(สำหรับเรานะ คนอื่นเราไม่รู้นะ)

ความเจิดของรองพื้นสองตัวนี้ที่เหมือนๆ หรือ คล้ายๆกัน คือ เป็นรองพื้นที่เนื้อแมทซ์ ปกปิดดี และคุมมัน
เป็นรองพื้นที่แน่นที่สุด และ คุมมันดีสุด ของในสองแบรนด์นี้เลยก็ว่าได้
ซึ่งเป็นอะไรที่เป็นจุดขาย ที่เราคิดว่าเหมาะกับคนไทยมากๆ
เพราะร้อยละ 80 ที่มาถามเราเกี่ยวกะรองพื้นว่าจะซื้ออะไรดี ส่วนมากแล้ว ความต้องการของคนไทย หรือคนที่มาถามเเหล่ะคือ
"อยากได้รองพื้นคุมมัน เนื้อแมทซ์ ติดทน"

ซึ่งจะบอกว่าสองตัวนี้ตอบโจทย์ แต่ถ้าเรามาแยกหัวข้อเปรียบเทียบกัน
มันจะมีสิ่งที่แอบต่างกันดังนี้


- ความหนา

สองตัวนี้ บอกเลยว่า เอสเต้หนากว่ามาก ถ้าใครไม่ชอบหนาๆแบบหนาจริงจัง
ข้อให้มองข้ามเอสเต้ตัวนี้ไปเลย ไปมองชาแนลแทนดีกว่า ชาแนลจะบางกว่าเอสเต้
คือตัวชาแนลเนี่ย เราจะสามารถ build ความหนาได้ว่าจะให้หนามากหนาน้อย สามารถทาได้ง่าย
แต่เอสเต้เนี่ย ก็ทำได้นะ แต่ยาก บอกเลยว่ายาก ถ้าไม่เก่งจริง คุณไม่มีวันเกลี่ยให้บางได้เลย



- การปกปิด

เเน่นอนว่า ด้านบนบอกว่า เอสเต้หนากว่า การปกปิดของเอสเต้นั้น ย่อมดีกว่าแน่นอน
คือ รองพื้นไหนหนา การปกปิดต้องดีกว่ารองพื้นที่บางกว่าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะรุ่นไหนแบบไหนก็ตาม
(แต่คนชอบมาถามถึงรองพื้น บางๆ แต่ปกปิดเนียนกริ๊บ มันดูขัดกับหลักความเป็นจริงรึปล่าว โอ่ย เพลียยเหลือเกิน)
แต่ชาแนลนั้น ถ้าพูดถึงการปกปิดคือ ปานกลางถึงเกือบมากดีกว่า
จะบอกว่าปกปิดกริ๊บที่สุดก็ดูจะเกินไป ถ้าเทียบกับเอสเต้รุ่นนี้ เพราะว่าไม่ได้กริ๊บเวอร์เท่าเอสเต้
เอาง่ายๆ เอสเต้ปกปิดพวกรอยสิวดำๆ เม็ดสีแน่นๆ หรือ สิวเปล่งๆ ได้เนียนกริ๊บ
แต่ถ้าชาแนล จะได้ในระดับกลางๆซะมากกว่า ถ้ารอยแน่นมากๆ ก็เอาไม่อยู่จ้า



- ความติดทน

ความติดทนนี่ ให้เอสเต้เลยนะ เอสเต้เป็นอะไรที่ทนมาก ทนเหงื่อ ทนฝน ทนท๊นนนทน
แต่ว่าถ้าไปว่ายน้ำนี่ก็หายอยู่นะ 55 (ลองแล้ว)
แต่ถามว่าชาแนลทนมั๊ย ก็ทนอยู่นะ แต่ถ้าสมมติแต่งไปออกกำลังกายเงี่ย
มีเหงื่อๆ ก็หลุดอยู่นะ ไม่ทนเท่าเอสเต้ แต่ว่าถ้าใช้ชีวิตประจำวัน
ไม่ได้ไปตรากตรำชีวิตอะไร ชาแนลตัวนั้นก็อยู่ทนทั้งวันเหมือนกันจ้า




- การคุมมัน

การคุมมันขอบอกเลยว่า เอสเต้ชนะเลิศกว่าชาแนล ชาแนลไม่ได้คุมมันเริศ ขนาดนั้นคือ
เค้าทำให้หน้าเราไม่มันเพราะว่าเค้าเป็นเนื้อแมทซ์ พอทาแล้วจะมีความแป้งๆนิดนึงบนหน้าเรา หน้าเราเลยไม่มัน
แต่ถามว่าช่วยคุมมันเพิ่มมั๊ย ก็นิดนึง (ในความรู้สึกเรา) แต่เอสเต้เนี่ย ช่วยคุมมันเลยล่ะจะบอกให้




- ฟิลลิ่งในการใช้

เวลาเกลี่ยรองพื้นเนี่ย ตัวเอสเต้เกลี่ยยาก บอกเลยว่าเกลี่ยยากมาก เกลี่ยไม่ดีหน้าจะหนาๆ เป็นปูนๆปื๊นๆ พังพินาศมาก
แต่ชาแนลเกลี่ยง่าย ไม่ต้องเเต่งหน้าเก่ง ก็ใช้ได้ หน้ารอดจ้า
แล้วก็ ต่างกันตรงที่ ชาแนลจะมีน้ำหอม ส่วนเอสเต้จะมีแอลกฮอล์กเหม็นๆ  -*-
เอ้อ แต่สิ่งหนึ่งที่เก๋ๆที่รองพื้นเอสเต้ไม่มีเหมือนในตัวชาแนลคือ
ชาแนลตัวนี้เนี่ย พอใช้ไปแล้ว ไม่ต้องทาเเป้งก็ได้นะ คือเนื้อเค้าจะกึ่งๆแป้งนิดนึงเบาๆ
คือทารองพื้นอย่างเดียวแล้วจบเลยก็ได้ เราทำบ่อย เก๋อยู่หล่ะ




- ระหว่างวัน

ระหว่างวัน ทั้งสองตัวฟิลลิ่งดีมากๆ เมหือนกันหมดเลยคือ ไม่หลุด ไม่เป็นคราบ
เหงื่อออก หรือหน้ามัน หน้าก็ไม่พินาศ สอบผ่านทั้งคู่
แต่ว่าในเรื่องของสีนั้น รองพื้นสองตัวนี้โดยเฉพาะชาแนล สีจะออกไปทางส้ม ไม่ค่อยมีเฉดเหลืองให้เลือกเหมือนเอสเต้
ทำให้หลายคนใช้แล้วจะหน้าดรอป เปอรเซนต์การหน้าดรอปแอบสูงอยู่
ซึ่งเราเองบางวันก็เป็น บางวันก็ไม่เป็น ขึ้นอยู่กะวัน อันนี้ต้องลองกันเองจ้าา




-  ภาพรวม

สรุปภาพรวมของทั้งสองตัวนี้คือ
ความคล้ายอยู่ที่การปกปิด และ ความเเมทซ์ในเนื้อรองพื้น
แต่สิ่งที่ต่างคือ เอสเต้ หนากว่า ชาแนล
เอสเต้ เกลี่ยยากกว่า ชาแนล
เอสเต้ ปกปิดดีกว่า ชาแนล
เอสเต้  คุมมันดีกว่า ชาแนล
เอสเต้  ติดทนกว่า ชาแนล
แต่ถ้าถามว่าใช้ตัวไหนคุ้มค่าคือ
ถ้าใครชอบแน่นๆ หน้าเป๊ะจริงจัง และมีสกิลในการนแต่งหน้า เลือกเอสเต้
แต่ถ้าใครอยากใช้ everyday ใช้ง่ายๆ ไปไหนก็ได้ เลือกชาแนลจ้า







คู่ต่อไปคือ Estee Lauder Double Wear Light และ Chanel Perfection Lumiere Velvet

ซึ่งขอบอกว่าคู่นี้นี่ กินกันไม่ลง เพราะว่า มันคล้ายกันมาก มีจุดต่างแค่นิดเดียวเอง
รองพื้นสองรุ่นนี้เป็นรองพื้นเนื้อบางเบา แต่ไม่ได้เบาที่สุด คือมันก็ไม่ได้เบาเฟ่ออ เหมือนไม่ได้ทาอะไรเลยขนาดนั้น
คือทาแล้วยังพอเห็นว่ามีรองพื้นทาอยู่บนหน้า เป็นฟิลลิ่งบ้าง คือถ้าคนทารองพื้นตัวเนี่ย จะดูออกดูรู้ว่าทา ถ้าคนอื่นๆอาจดูไม่รู้ก็ได้
แต่แบบ ถ้าเทียบกะรองพื้นอื่นๆ มันคือเบามากๆ นั่นเอง (งงปะ???)

สองรุ่นนี้เป็นเรื่องพื้นเนื้อแมทซ์เมหือนกัน แต่ว่า ชาแนลจะมีความพิเศษที่ต่างจากเอสเต้ออกไปคือ
เวลาทาแล้วเนี่ย นางจะดูแมทซ์กว่า นางจะมีความเป็นแป้งๆหลังเกลี่ยเสร็จ
คือ รองพื้นเหมือนกลายสภาพเป็นแป้งนิดนึง พอทาแล้วคุณไม่ต้องทาแป้งทับรองพื้นต่อก็ได้
แต่ว่าถ้าเอสเต้เนี่ย ไม่มีความพิเศษ ณ.จุดนี้ ต้องทาแป้งทับ เพราะไม่งั้นมันจะแอบมีความเหนอะนิดๆ
(นี่เเหล่ะ คือจุดต่างของรองพื้นสองตัวนี้)


- ความหนา

รองพื้นสองตัวนี้ ความหนาถ้าเต็มสิบ ให้สัก 2.5-3 เท่ากันเลย
คือมันบางเบา ทาเพื่อให้ผิวดูเฟรช ดูตื่น ดูมีน้ำมีนวลขึ้น
โดยที่ไม่ช่วยเรื่องปกปิดสักเท่าไหร่เลย คือเหมาะกับคนที่ชอบ หรือ อยากได้รองพื้นที่ใช้ง่ายๆ
ใช้ในชีวิตประจำวันโดยที่ไม่หนา ไม่หนักหน้า ไม่โบกรองพื้น ทาแล้วหน้าเบาๆ
สองตัวนี้ตอบโจทย์มากๆ



-การปกปิด

แน่นอนว่ารองพื้นบางเบาขนาดนี้ การปกปิดก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่
แต่ก็จะช่วยได้บ้างเช่นสมมติใต้ตาดำๆ เราทาใต้ตาไป
ถึงสีคล้ำของใต้ตาจะไม่ได้หายไปหมดเหมือนทารองพื้นหนาๆหรือทาคอนซิลเลอร์
แต่ก็ช่วยได้บ้างนิดหน่อยล่ะ  ตรงนี้เหมือนกันทั้งคู่เดลย



- ความติดทน

เอาจริง ความติดทนนะ เกือบดี คือถ้าอยู่ในบ้าน อยู่ในห้องแอร์ไรเงี่ย มันก็ไม่หลุดหรอก
แต่ถ้าเจอแดดเจออะไรเงี่ย คือจากที่ใช้นะ รุ้สึกเอสเต้จะทนกว่าชาแนลหล่ะเธอ



- การคุมมัน

การคุมมันนั้น คือ เอาจริงๆไม่ได้ช่วยคุมมันสักเท่าไหร่นะ เป็นรองพื้นเนื้อเเมทซ์
แต่ด้วยความที่ชาแนลที่บอกไปตอนต้นว่า ทาแล้วมันจะมีสภาพเป็นแป้งๆนิดหน่อย
ทำให้ความหน้ามัน เวลาใช้แล้วชาแนล จะดูหน้ามันน้อยกว่าเอสเต้ไปโดยปริยายเลย
เอาเป็นว่าเรื่องตรงนี้ ผลเสมอกัน ถ้าตัดความแป้งของชาแนลออกไป
การคุมมันก็ไมไ่ด้ดีเด่ไปกว่ากันเท่าไหร่เลย



- ฟิลลิ่งในการใช้

เวลาเกลี่ยรองพื้นชาแนลเนี่ย จะสังเกตุได้ถึงความกร้านๆ ความแห้งๆ เพราะเค้าแมทซ์แม๊ทททซ์แมทซ์
เกลี่ยแล้วจะเหมือนมีเสียงแกรกก แกรกก หน่อย ถ้าบริเวณไหนเเห้งเป็นขุยก็อาจจะพังพินาศได้บ้าง
แต่เกลี่ยง่ายอยู่นะ   ส่วนเอสเต้จะมีความมอยซ์ๆเล็กๆ ในตัวรองพื้นตอนเกลี่ย
ซึ่งต่างกะตัวชาแนลตัวนี้  เวลาเกลี่ยจะหนืดๆ หน่อย เหนียวๆ หน่อยๆ เหมือนรองพื้นค้นๆอ่ะ นึกภาพออกปะ




- ระหว่างวัน

ทั้งวันที่ใช้นะ ไม่เป็นคราบ ไม่เป็นอะไรเลย หน้ารอด ไม่พัง ไม่พินาศ ใช้แล้วเเฮปปี้
ติดทนดีถ้าไม่ได้ไปสู้ชีวิต โอเคย์เลยหล่ะตรงนี้




- ภาพรวม

ถ้าถามเรานะ ภาพรวมเราเเฮปปี้กะชาแนลมากกว่า
เพราะมันเเมทซ์กว่าด้วยความที่แอบเป็นแป้งหลังเกลี่ยเสร็จ มันทำให้หน้าเราดูไม่เงา
แต่ที่ไม่แฮปปี้คือราคา รู้สึกชาแนลจะเเพงกว่าสัก 400 บาทมั้งนะ ถ้าไม่ผิดพลาด

คือเอาจริงๆตัวนี้ไม่ค่อยต่างกันมากที่ใช้ ก็เลยไม่รู้สึกว่าตัวไหนเด่นกว่ากันสักเท่าไหร่
คือมันคล้ายกันมาก เอาเป็นว่าใครรักในแบรนด์ไหน ไปซื้อแบรนด์นั้นโลดจ้า






มาถึงมวยคู่สุดท้ายที่จะรีวิวแล้ว
กับ Estee Lauder invisible fulid และ Chanel vitalumiere aqua

สองตัวนี้คล้ายกัน ประมาณหนึ่ง แต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งมีอะไรๆแตกต่างกันอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่เหมือนกันของสองตัวนี้คือ เป็นรองพื้นเนื้อบางเบามาก ที่ไม่ได้เป็นรองพื้นเนื้อแมทซ์ ของทั้งสองแบรนด์


- ความหนา

เอาจริงๆความหนาเนี่ย ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นะคือ ทาแล้วเหมือนไม่ทาทั้งคู่
แต่พอเราทาแล้วเราลองมองเเบบเจาะลึกจริงๆ
ชาแนลจะหนากว่าหน่อยๆนึง
ส่วนเอสเต้นั้น เหมือนไม่ทาจริงๆ เหมือนที่เค้าเขียนไว้หน้าว่า
" invisible "
จริงๆ

แต่ทาแล้วผิวดูตื่นขึ้นนะ เหมือนช่วยเฟรชผิวให้ดูสดใสขึ้นหน่อย ทั้งสองตัวเลย



- การปกปิด

เอาจริงการปกปิดอ่อนด๋อยด้อยค่ามากในเรื่องตรงนี้
แน่นอนว่าเค้าเป็นสูตรบางเบา ไม่หนา ก็จะไม่ช่วยปกปิดอะไร ใครต้องการปกปิด นี่ผิดใจคุณละ
ถ้าให้ เอสเต้ปกปิดให้สัก 1.5/10    ส่วนชาแนลให้ 2/10



- ความติดทน

ความติดทนบ่องกงๆ ว่า ไม่ทนมาก ถ้าใช้สองตัวนี้แล้วไปสู้ชีวิต มีเหงื่อ
บ่องกงๆ ว่า หลุด หาย ที่ดูเหมอืนไม่ทาไปทีแรกแล้ว คราวนี้ ไม่หลงเหลือรองพื้นเลยจ้าาา
หายไปกับเหงื่อ ความมันของหน้า และอื่นๆทั้งหมดเลย


- การคุมมัน

การคุมมันบอกเลยว่า ไม่ช่วยอะไร เลยสักนิดเรื่องของตรงนี้
ถ้าอยากได้คุมมันเนื้อเบาบาง ไปดูคู่บนจ้า เพราะอันนี้คนละสูตรกัน
แต่ก็ไม่ทำให้หนามันมากยิ่งขึ้นเด้อ เอาเป็นว่า ความมัน ตามเบ้าหน้าจ้า



- ฟิลลิ่งการใช้

เอาจริงคือที่ใช้นะ ชอบฟิลลิ่งของชาแนลมากกว่า
คือเอสเต้หน่ะ เวลาเกลี่ย หรือเวลาทาเสร็จ มันจะฟิลลิ่งแบบ หนึบๆ เหนอะๆหน่อย
เหมือนทาบีบีครีมสูตรบางเบาหน่ะ อะไรประมาณนั้น ซึ่งเราไม่ชอบอะไรเหนอะๆ เลย
เราก็เลยไม่ค่อยเเฮปปี้ แต่ว่าเกลี่ยแล้วกลืนผิวกว่าชาแนลนะ

แต่ว่าชาแนลเนี่ย จะออกครีมๆนิดนึง เกลี่ยสมูธกว่า แต่พอเซตตัวบนผิวแล้วมัน
มันแบบ ดูรู้กว่าว่า ทารองพื้นมา ไม่เมหือนเอสเต้ ดูไม่รู้เลย



- ภาพรวม

เอาจริงๆ ตัดใจไม่ลงของทั้งสองตัวคือ มันคล้ายๆกันมาก
ไม่รู้จะเลือกตัวไหน เอาเป็นว่า ใครอยากได้แบบเนียนๆดูไม่ทาเลยจริงๆ
เลือกเอสเต้ดีกว่า เพราะสีเค้าจะโอกว่าชาแนล ชาแนลมันชมพูๆไปหน่อย
ทาแล้วอาจจะโป๊ะแตกได้จ้า







Create Date : 18 กรกฎาคม 2557
Last Update : 21 กรกฎาคม 2557 11:36:58 น.
Counter : 48240 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณรีวิวนี้เลยค่ะ เรากำลังจะหารองพื้นตัวใหม่พอดี
โดย: NickyOkawa วันที่: 18 สิงหาคม 2557 เวลา:16:09:18 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

lepommz
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 287 คน [?]







 photo E2A0E070E270E190_zpsf35f0ca3.jpg Counter Start on 30 NOV. 2012
New Comments