มิถุนายน 2557

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
24
25
26
27
29
30
 
 
All Blog
ซินจ่าวฮานอย ฮาลองเบย์ ท่องดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ 2 วัน 2 คืน แบบง้อทัวร์
สวัสดีค่ะ

บล็อกนี้จะพาไปเที่ยวฮานอย –ฮาลองเบย์กันค่ะ พวกเราจองตั๋วเครื่องบินโดยโปรแอร์เอเชียสามพันกว่าบาทมีผู้ร่วมเดินทาง12 คนเนื่องจากมีผู้ร่วมเดินทางหลายคนและกิตติศัพท์อันเลื่องลือของเวียดนามพวกเราเลือกเดินทางกับทัวร์ไปกับบริษัท Happy TG ค่าทัวร์ไม่รวมตั๋วเครื่องบินคนละ5,500 บาท

โปรแกรมทัวร์คร่าว ๆ

4/7/2012 6.45 – 8.35 บินตรงสู่ฮานอย / จัตุรัสบาดิงห์ /สุสานประธานาธิบดี โฮจิมินห์ / ทำเนียบประธานาธิบดี / พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ /วัดเจดีย์เสาเดียว / อาหารกลางวัน /วิหารวรรณกรรม / เดินทางไปฮาลองเบย์ / อาหารเย็น/ ช๊อปปิ้งตลาดกลางคืน / กลับโรงแรม

5/7/2012 ล่องเรืออ่าวฮาลอง / ถ้ำต่งเทียนกุง / เดินทางกลับฮานอย(ระหว่างทางแวะโรงงานทำกาแฟและศูนย์คนพิการ /วัดเฉินก๊วก / ทะเลสาบคืนดาบ/ วัดหงอกเซิน / ชอปปิ้งตลาด 36 สายเก่า / อาหารเย็น/ ชมการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ / กลับโรงแรม

6/7/2012 ส่งสนามบิน/ 9.15 เดินทางกลับกรุงเทพ/11.05ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ

โปรแกรมพร้อมเริ่มเดินทางกันเลยค่ะ

4/7/2012 เนื่องจากเราต้องเดินทางกันเช้ามากตีสี่ก็ถึงสนามบินแล้วค่ะ ทริปนี้เราไม่มีหัวหน้าทัวร์นะคะแต่ที่สนามบินจะมีเจ้าหน้าที่ของ Happy TG เอาเอกสารและใบตม.ที่กรอกรายละเอียดเรียบร้อยแล้วมาให้ 6.45 น.เริ่มออกเดินทางใช้เวลา1.50 ชั่วโมง พอ 8.35 น. ถึงสนามบินนอยไบ กรุงฮานอย ที่เวียดนามกับไทยเวลาเท่ากันค่ะพอถึงสนามบินก็มีไกด์ท้องถิ่นมารับเห็นหน้าเค้าเราก็ถามว่าไกด์อยู่ไหนคะ พอเค้าบอกว่าเค้าเองอารมณ์เรานี่แบบเออคุณยายยังไม่เกษียณเหรอจะไหวไหม? แลกเงินที่สนามบินกันเรียบร้อยแล้วไกด์ก็พาเราไปที่รถ รถที่ทัวร์เอามาบริการเป็นรถทัวร์ 32 ที่นั่งคันสีแดงในรูป คนเสื้อขาวคือไกด์ประจำทริปค่ะ


สถานที่ท่องเที่ยวแรกรถพาพวกเราไปที่จัตุรัสบาดิงห์ ที่นี่มีสถานที่ให้ชมสามแห่งคือ สุสานลุงโฮ (Ho chi Minh Mausoleum) , ทำเนียบประธานาธิบดี (PresidentHouse on still) , และ บ้านลุงโฮฯ (Ho Chi Minh museum) อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่สามารถเดินเที่ยวได้ในบริเวณเดียวกันค่ะ  จัตุรัสบาดิงห์เป็นลานกว้างที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ได้อ่านคำประกาศอิสรภาพของเวียดนามที่พ้นจากการปกครองของฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 2ก.ย.2488 หลังจากเวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาถึง 84 ปี  (สุสานลุงโฮฯ ปิดบริการทุกวันจันทร์และ ศุกร์ และ จะปิดบริการช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน)


เนื่องจากเราเสียเวลากับการผ่านตม.และรับกระเป๋าที่สนามบินนานไปหน่อยทำให้เลยเวลาที่จะเข้าไปเคารพร่างของลุงโฮฯก็ได้แค่ถ่ายรูปกับอาคารค่ะ

เดินไปไม่ไกลกันมากเป็นที่ตั้งของอาคารทำเนียบประธานาธิบดีสีเหลืองทองเด่นมาแต่ไกลบริเวณนี้ร่มรื่นดีค่ะ มีต้นไม้ใหญ่เยอะแยะไปหมด ทำเนียบประธานาธิบดีนี้รัฐบาลเวียดนามสร้างให้ท่านโฮจิมินห์แต่ท่านไม่อยู่ ท่านเลือกที่จะอยู่บ้านไม้หลังเล็กซึ่งอยู่หลังทำเนียบแทนทำเนียบแห่งนี้จึงเป็นสถานที่รับแขกบ้านแขกเมืองค่ะ


เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านลุงโฮฯ ก็จะมีก็แสดงรถยนต์ ห้องต่าง ๆ และของใช้ที่ลุงโฮฯ เคยใช้ค่ะ 


บ้านพักลุงโฮฯ สร้างด้วยไม้ทั้งหลังยกพื้นสูงมีใต้ถุนเหมือนบ้านไทยสมัยก่อน ชั้นล่างเป็นที่พักผ่อนและต้อนรับแขก ชั้นบนเป็นห้องทำงานและห้องนอน


จากนั้นเดินทางต่อไปชมวัดเจดีย์เสาเดียว (One-pillar pagoda) วัดรูปทรงดอกบัวตั้งอยู่กลางสระบัว วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้แก่เจ้าแม่กวนอิม 

ไกด์เล่าให้ฟังว่าได้มีกษัตริย์องค์หนึ่งอยากได้ลูกชายมากแต่ก็ไม่มีซักทีคืนหนึ่งฝันว่าเห็นเจ้าแม่กวนอิมมาปรากฎที่สระบัวและประธานลูกชายให้ พอท่านได้ลูกชายสมใจจึงได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นกลางสระบัวเพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าแม่กวนอิมคนที่มาวัดนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อขอลูกชายค่ะ

ได้เวลาอาหารกลางวันทัวร์พาเราไปกินอาหารกันที่ร้านนี้ค่ะเป็นอาหารเวียดนามมีพวกเฝอ ปอเปี๊ย (ขออภัยไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาเลย) จากร้านนี้ทำให้ได้รู้ว่าคนเวียดนามไม่กินน้ำแข็งเค้าจะมีบริการน้ำแข็งให้ทัวร์ไทยเท่านั้นน่าจะเป็นเพราะเวียดนามเหนือถูกปกครองด้วยจีนมานานเลยได้รับวัฒนธรรมของจีนมา ที่หน้าร้านก็จะมีพวกพ่อค้าแม่ค้าเอาของที่ระลึกมาขายและเริ่มติดตามเราไปทุกแห่ง

ต่อไปรถพาพวกเราไปชมวิหารวรรณกรรมวันเหมียว (The Tample of Literature, Van Mieu) วัดโบราณซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนามและยังเป็นสถานที่ที่ใช้สอบ จองงวน ในสมัยโบราณด้วยค่ะ


หลังจากนั้นก็ได้เวลาออกนอกเมืองเดินทางไปจังหวัดกว่างนิงห์ซึ่งเป็นที่ตั้งของอ่าวฮาลอง จังหวัดกว่างนิงห์อยู่ห่างจากฮานอย 180กิโลเมตรใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงเพราะที่เวียดนามจำกัดความเร็วรถวิ่งได้ไม่เกิน60 ก.ม.ต่อชั่วโมง ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศนั่งฟังไกด์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์เวียดนามไปเรื่อยแกเล่าได้เหมือนอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์มากเหมือนกล่อมให้พวกเรานอนระหว่างทางรถแวะเข้าห้องน้ำและให้เลือกซื้อของที่ศูนย์หัตถกรรมคนพิการของที่ขายก็เป็นพวกของที่ระลึก รูปวาด รูปปั้นซึ่งราคาแพงมากพันถึงแสนบาทของกินของฝากก็ราคาแพงมากเหมือนกันค่ะ

เมื่อวิวสองข้างหน้าที่เห็นเป็นทะเลก็เดินทางมาถึงจังหวัดกว่างนิงห์แล้วค่ะทัวร์พาพวกเราไปเช็คอินที่โรงแรมพักผ่อนตามอัธยาศัย

ช่วงเย็นทัวร์พาเราไปกินอาหารทะเลสด ๆ กันที่ร้านนี้ อาหารทะเลสดจริงอร่อยจริงค่ะและให้ช๊อปปิ้งที่ตลาดกลางคืนแต่เค้าให้เวลาเราแค่ครึ่งชั่วโมงค่ะ เพราะให้เหตุผลว่าตกลงกับบริษัทรถทัวร์ไว้ได้เวลาตามนี้หากเกินเวลาต้องจ่ายเงินเพิ่มตอนแรกพวกเราก็ตกลงกันว่าให้เวลาช๊อปปิ้งแค่นี้ไม่พอแน่เราจ่ายเงินเพิ่มก็ได้นะแต่คุณไกด์ก็ไม่ยอมถ้าอยากอยู่ต่อคุณก็กลับแท็กซี่กันเองก็แล้วกันต่อรองกันไปเลยมาตกลงกันที่ให้เวลาช๊อปปิ้งหนึ่งชั่วโมงห้ามเลท


สินค้าในตลาดส่วนใหญ่เป็นกระเป๋าก๊อป kiplinkราคาใบละ 200 – 300 บาท ใช้เงินไทย US Dollar จ่ายได้ค่ะซ๊อปปิ้งเสร็จแล้วก็กลับโรงแรมนอน

จบวันแรกที่ฮาลองค่ะ


5/7/2012 หลังจากที่กินอาหารเช้าที่โรงแรมเดินเล่นรอบบริเวณโรงแรมแล้วเพื่อนร่วมทริปก็ไปเจอร้านขายส่งกระเป๋า kiplingที่เป็นเหมือนร้านขายส่งราคาถูก ตลาดนัดเมื่อคืนต้องต่อกันนานกว่าจะได้ราคานี้แต่ที่ร้านนี้ขายราคาเท่านี้ทั้งที่ยังไม่ได้ต่อ8.00 น รถก็พาพวกเราไปท่าเรือเพื่อไปล่องเรือชมแม่น้ำฮาลองกันค่ะค่าตั๋วล่องเรือคนละ 80,000ด่องได้ตั๋วใบนี้มาถ่ายรูปเท่านั้นเพราะคุณไกด์เธอขอตั๋วทุกอย่างคืนหมดเธอบอกว่าต้องเอาไปเบิกกับบริษัทเพราะเธอสำรองเงินไปก่อน


ใช้เวลาล่องเรือประมาณสามชั่วโมงค่ะ อย่างที่เคยบอกว่าส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบการล่องเรือเพราะวิวทิวทัศน์นั่นนานๆไปก็วิวเดียวกันหมดเรือจอดให้เราถ่ายรูปกับหินที่เป็นไฮไลท์ของฮาลองเบย์คือหินรูปไก่จุ๊บกันกิจกรรมบนเรือก็จะมีแม่ค้าเอาสร้อยมุกมาขาย เสริฟน้ำเสริฟอาหารและคอยเชียร์ให้เราซื้อของค่ะ


ล่องเรือไปซักชั่วโมงเรือก็จอดให้พวกเราไปชมถ้ำกันค่ะถ้ำนี้ชื่อว่าด่งเทียนกุงมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม ในรูปร่างแปลกตาให้เราจินตนาการตามชื่อของหิน ที่เห็นเป็นสีต่างๆ น่าจะมาจากหลอดไฟนะคะมื้อเที่ยวพวกเรากินอาหารกลางวันเป็นอาหารทะเลกันบนเรือค่ะ


ล่องเรือกันตามโปรแกรมแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับฮานอยระหว่างทางรถแวะพาพวกเราไปชมโรงงานผลิตกาแฟเค้าว่าเวียดนามเป็นฐานการผลิตกาแฟส่งออกทั่วโลกที่โรงงานก็จะมีการแสดงประวัติของโรงงานมีกาแฟให้ชิมรสมะพร้าว รสมินท์ ต่างๆ นานาราคาก็สูงเอาเรื่องอยู่ค่ะ ส่วนตัวว่าโรงงานสวย แต่กาแฟรสชาดไม่คุ้มราคาเท่าไหร่


และระหว่างที่จะแวะชมศูนย์หัตกรรมของคนพิการก็เกิดเรื่องว่ารถที่เรานั่งมายางแตกค่ะโชคดีที่เวียดนามเค้าห้ามขับรถเร็วเลยทำให้ไม่เกินอุบัติเหตุคนขับรถเค้าโทรบอกให้รถกระบะน่าจะของที่ศูนย์ฯมารับพวกเราไปที่ศูนย์ก่อนและเขาขอเวลาเปลี่ยนยางรถแล้วจะไปรับพวกเราที่ศูนย์ฯอีกที

ที่ศูนย์หัตถกรรมคนพิการจะมีคนพิการที่ได้ผลกระทบจากการโดนฝนเหลืองในสมัยสงครามเวียดนามของที่ขายก็เป็นพวกสินค้าที่ระลึกและสินค้าพื้นเมืองแฮนเมดจากฝีมือคนพิการ ก็ถือซะว่าเป็นการอุดหนุนคนพิการละกันค่ะร้านขาไปกับขากลับคนละร้านกันนะคะไม่ต้องกลับรถมีร้านอยู่ทั้งสองฝั่งถนนเลย


บรรยากาศสองข้างทางระหว่างกลับเข้าฮานอยคุณไกด์ก็ยังคงทำหน้าที่คุณครูสอนประวัติศาสตร์ตลอดการเดินทางไม่มีหยุด


เมื่อเดินทางถึงกรุงฮานอย ก็เริ่มเห็นรถจักรยานยนต์เต็มท้องถนนแล้วค่ะ


รถพาพวกเราไปที่วัดเฉินก๊วก เป็นวัดจีนเก่าแก่ วัดเล็กๆ แต่มีความสำคัญกับคนเวียดนามเป็นอย่างมากวัดนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและบริเวณทะเลสาบตะวันตกทะเลสาบที่สวยและใหญ่ที่สุดในเมืองฮานอยภายในวัดมีต้นมหาโพธิ์ที่นำมาจากประเทศอินเดีย และเจดีย์หลายชั้นสำหรับไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลค่ะ


เดินชมวัดกันได้ไม่นานรถก็พาพวกเราไปที่สะพานสีแดงชื่อสะพานแสงอาทิตย์(แหมใครเป็นคนตั้งชื่อเนีย) และชมทะเลสาบคืนดาบ ทะเลสาบใจกลางเมืองฮานอย ทะเลสาบแห่งนี้มีตำนานเล่าว่าในสมัยที่เวียดนามทำสงครามสู้รบกับประเทศจีนกษัตริย์เวียดนามได้ทำสงครามมาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่สามารถเอาชนะทหารจากจีนได้สักทีทำให้เกิดความท้อใจเมื่อได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้ได้มีปฎิหารย์เต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งได้นำดาบวิเศษมาให้พระองค์เพื่อทำสงครามกับประเทศจีนหลังจากที่พระองค์ได้รับดาบนั้นมาพระองค์ได้กลับไปทำสงครามอีกครั้ง ก็ได้รับชัยชนะเหนือประเทศจีนทำให้บ้านสงบสุขเมื่อเสร็จศึกสงครามแล้วพระองค์ได้นำดาบมาคืน ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ในบริเวณเดียวกันก็จะมีวัดโบราณชื่อ วัดหงอกเซินภายในประกอบด้วยศาลเจ้าโบราณ และ เต่าสต๊าฟ ขนาดใหญ่ ซึ่งมีความเชื่อว่า เต่าตัวนี้คือเต่าศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 2 ตัวที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ค่ะ รวมถึงรูปปั้นนกกระเรียนเหยีบเต่า


ศึกษาประวัติศาสตร์กันมาตลอดบ่ายแล้วก็ได้เวลาช้อปปิ้งที่ถนน 36 สายเก่า ของที่ขายก็จะมีทั้งของที่ระลึก ของกิน ของใช้  หมวกงอบญวน ภาพเขียน กระเป๋าก็อปปี้ ยี่ห้อต่างๆเช่น Samsonite, Kipling, Roxy, Billabong และรองเท้า ราคาต่อรองได้นิดหน่อย บางร้านก็ต่อไม่ได้เลย


ช๊อปปิ้งเสร็จแล้วก็ไปกินอาหารค่ำสไตล์เวียดนามกันค่ะ ระหว่างทางที่จะไปร้านอาหารจะผ่านถนนสายหนึ่งที่เค้าจะมีงานประดิษฐ์จากกระเบื้องของประเทศต่างๆ มาแสดงไว้ของไทยเราเป็นวัดเบญฯ (ถ้าจำไม่ผิดนะ)


อาหารค่ำมื้อนี้เป็นอาหารสไตล์เวียดนามแท้ ๆ รสชาดออกไปทางจืดนะคะ แต่ก็อร่อยดี


โปรแกรมต่อไปทัวร์พาเราไปชมการแสดงหุ่นกระบอกน้ำPuppet Show ก็จะเป็นโชว์เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนเวียดนามที่ผูกพันกับสายน้ำ ประกอบการแสดงด้วยดนตรีพื้นเมืองและเดี่ยวพิณสายเดียว ถามว่าสนุกไหมก็พอได้อยู่ค่ะ ติดที่ฟังไม่รู้เรื่องนี่หล่ะการแสดงจบก็กลับโรงแรมนอนค่ะ

6/7/2012 วันสุดท้ายของการเดินทาง เนื่องจากเราจองตั๋วไฟล์เช้าเครื่องออก 9.15 น. โปรแกรมวันนี้เลยไม่มีอะไรมากตื่นนอนกินอาหารเช้าแล้วรถก็พาเรามาส่งที่สนามบินค่ะ


สำหรับทิปไกด์และคนขับรถ ทางทัวร์ไม่ได้บังคับมาว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่เราเลยเก็บตังค์กันคนละ 100 บาท รวม 1,200 บาท ให้คนขับรถไป 700 เพราะประทับใจที่เค้าซ่อมรถอย่างรวดเร็วส่วนคุณไกด์แม่นประวัติศาสตร์และตรงเวลาเป๊ะ ๆ ให้ทิปไป 500 บาท ก็ไม่ถึงขนาดว่าไม่ชอบนะคะแค่ไม่ค่อยประทับใจเท่านั้่นเอง

ขอบคุณข้อมูลประกอบบางส่วนจาก google และขอบคุณที่เข้ามาชมค่ะ




Create Date : 23 มิถุนายน 2557
Last Update : 7 กรกฎาคม 2557 19:28:14 น.
Counter : 3160 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kumyotha
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]