ไม่ว่าฤดูร้อนปีไหนๆ กลางวันและกลางคืนที่ผ่านไป คงเป็นเวลาที่เท่ากันเสมอ
space
space
space
<<
มกราคม 2567
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
20 มกราคม 2567
space
space
space

ยุคสมัยแห่งบี๋

เพราะวัยเยาว์มันมีจำกัด มันถึงงดงามไงเล่า

เสียงอาจารย์ "ผู้สูงกว่าหญ้า"กล่าวในวานวันที่ล่วงพ้นไปกว่าสิบปี

.

และเรื่องบางเรื่องที่ล่วงพ้นไปแล้วกว่ายี่สิบปี

มันก็กลายเป็นภาพจางๆ ภาพหนึ่ง

ภาพที่เหมือนคราบงู

เหมือนความหลังที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็น

.

และไอ้เด็กที่ชอบทำหน้าสวยแต่เปิ่น

มันยังวิ่งเล่นในความทรงจำที่แสนติงต๊องนั้น เสมอ...

.

“วันเด็กๆ ปีนี้ เราแสนยินดีๆ ปรีดา”

มันก็เป็นวันเด็กทั่วๆ ไปที่มีเพลงในทำนองนี้ดังตามลำโพงทั่วสารทิศ

.

แล้วมันจะมีเด็กคนหนึ่ง

ชอบร้องเพลงวันเด็กในภาษาพื้นเมืองประมาณว่า...

“เด็กเอ๋ย เด็กดีต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน

หนึ่ง หลั่บเจ้าตื่นขวาย (หลับเร็วตื่นสาย)

สอง กิ๋นข้าวงายแล้วแอ่ว (รับประทานอาหารเช้าแล้วเที่ยว)

สาม พ๊กปื๋นเหน๊บแอว (พกปืนเหน็บเอว)

สี่ ปั๊ดแก้วเล่นไฮโล (คว้าแก้วเล่นไฮโล)

ห้า ใส่สายเดี่ยวเดินตลาด”

ยังไม่ครบสิบข้อ ท่านชายอย่างผมก็คนฟังต่อไปไม่ได้

.

“โรงเรียนของเราไม่น่าอยู่ คุณครูใจร้ายทุกคน”

นั่นก็เป็นเพลงที่เด็กบ้าคนนี้ดัดแปลงขึ้น

ผมไม่มีทางเชื่อว่าเธอไปได้ยินมาจากโรงเรียน

ฟังความว่าดัดแปลงยังมีเหตุผลมากกว่า

.

ผมเกิดในปีมังกรผยองขึ้นสู่เวหา

ส่วนยัยนี่เกิดปีคิงคองที่ก๊อตซิลล่าต้องเผ่น

เราห่างกันราวสี่ขวบปี

ตอนแรกๆ มันเรียกผม “พี่”

ตอนหลังๆ มันโมโห เลยเรียกผม ไอ้ “พี่”

(โดยเข้าใจผิดว่าผมชื่อ “พี่”)

.

แรกๆ ผมเรียกมันว่า “น้องเล็ก”

หลังๆ ผมเรียกคำว่า “มึง” แทน

มันเป็นคำหยาบที่ผมซึ่งเป็นท่านชายไม่น่าเอื้อนเอ่ยมันออกมา

.

ทุกๆ งานวันเด็ก

ผมจะได้ยินเสียงเพลง “น้อยใจยา” แว่วมาทุกปี

มีเด็กๆ แต่ละรุ่นร่ายรำจนโตๆ กันไปหมด

.

ทุกๆ ปีมันจะมีความสนุกสนานมากยามที่เราได้รับแจกขนม

ไหนจะเรื่องได้ข้าวกล่องกับไอติมแจกฟรีอีก

โคตรสวรรค์ของเด็กๆ

ปีหลังๆ ที่มันเพลาๆ ลง ผมก็ได้ขนมน้อยลง

คร้านบากหน้าไปเอาเพราะความอายและหน้าบาง

กลับบ้านมาด้วยความหัวเสีย

.

วันนั้น “บี๋” กลับบ้านมาด้วยขนมหอบใหญ่

ผมอิจฉาตาร้อนมาก จนความโมโหกระพือขีดสุด

มันโยนขนมกองไว้บนตั๋งนอนของปู่

รวมกับขนมอันเพียงไม่กี่ห่ออันเส็งเคร็งของผม

แล้วก็แบ่งกัน

.

ผมจำได้ว่าผมหายหัวเสียเป็นปลิดทิ้ง

ขนมกองเต็มตั่งรายรอบล้อมตัวพวกเรา

.

บางคราว

ภาพการแสดงเรื่องราว “ศรีธนญชัย”

ก็ยังคล้ายกับม้วนฟิล์มที่โลดแล่นขึ้นมาในยามที่คิดถึง

“พากเพียร” เด็กหัวเรียวที่บี๋เคยแอบชอบพุ่งไปถวายคำนับพระเจ้ากรุงจีน

ดำเนินเรื่องราวคลอไปตามเพลง

“เปลญวน” ทำไม้ทำมือเป็นพระเจ้ากรุงจีนแบบตัวกลม

.

พอจบเรื่องราวแล้วก็มีพวกเด็กๆ วิ่งกันมาเต็มเวที

บี๋และเพื่อนๆ ทำแก้มแดงวิ่งออกมาเต้นเพลง “พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง”

เซอร์ไพร์สมิเบาเพราะเป็นการเข้าจังหวะกันดีมาก

พวกผู้ชายก็ถือไม้ที่ติดรูปก้อนเมฆรูปพระอาทิตย์วิ่งกันแถวหลัง

.

วันเด็กปีๆ หนึ่งก็จะเป็นเช่นนี้

สนุกบ้างไม่สนุกบ้างก็ว่ากันไป

แต่ระยะเวลาของการเป็นเด็กในวันวานนั้น

ดูเหมือนมันช่างยาวนานเหลือเกิน

.

บี๋มันก็คงอยากโตมาเพื่อที่จะได้สวมรองเท้าส้นสูง

พอๆ กับผมที่อยากโตเร็วๆ เพื่อจะได้แต่งงานกับเซเลอร์มูน

บี๋เป็นพวกสายลุยและช่างหยอก

ตรงข้ามกับผมที่เป็นสายแอ๊บและกวนตีนเงียบๆ

.

อันว่าการหยอกของบี๋นั้น

เริ่มจากหยอกรุ่นพี่ที่ไล่เลี่ยกัน

ส่วนมากชมเสียมากกว่าเพราะกลัวโดนตบ

สมัยนั้นไม่มีใครกล้าทำให้ตัวเองประวัติเสีย

เพราะสายเสือก เอ้ย! สายสืบในโรงเรียนกระจายข่าวเร็วมาก

นอกจากรุ่นพี่ตนแล้ว

บี๋ก็เคยหยอกชมรุ่นพี่ของพ่อ (รุ่นป้า) ด้วย

พักหลังๆ ก็หยอกชมไปจนถึงซูสีไทเฮาโน่น

.

วันเวลาในยามเด็กของพวกเราจะมีจักรยานคนละคัน

ปั่นผจญภัยไปทั่วหมู่บ้าน

พบเจอคนแปลกๆ หลายแบบ

ทั้งคนที่ชอบมอง คนติงต๊อง ไปจนถึงคนสอยมดแดง

.

ที่เราเห็นกันเสมอจนติดตาในยุคนั้นก็คงจะเป็นพี่ “โอบอ้อม”

แกมีใบหน้าเหมือนนางเอกละครทีวีขาวดำ ไว้ผมสั้น ใบหน้าโศก

มักจะหาบน้ำไปมาเสมอ ซึ่งผมก็ไปรู้ว่าแกไปหาบมาจากบ่อไหน

.

เดินๆ ไปแกก็จะชอบมีการสไลด์รองเท้าแตะของแก

คล้ายว่าจะเอากรวดทรายที่ระคายเท้าให้ออกไป

ไม่มีใครกล้าไปแซวนอกจากเพื่อนบางคนรุ่นผมที่บ้าพอ

.

ถ้าเป็นพวกผู้ชายไปแหย่แก แกก็จะร่าเริงหน่อย

ไล่กวดจับไอ้พวกที่แซวแกราวกับอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์

กลับกันถ้าเป็นผู้หญิง แกก็จะไล่กวดราวปอบเข้าสิง

.

ครั้งหนึ่งผมวางแผนอยู่ที่สนามเด็กเล่น

“เฮ้ย บี๋ รถจักรยานอากงมีแตร

มึงลองไปดักบีบแตรตอนพี่โอบอ้อมเดินผ่านดิ๊”

บี๋มันพาซื่อจนไปดักรอบีบแตรอยู่หน้าบ้าน

ผมก็กะอยู่ในระยะปลอดภัยใต้ต้นมะขามดูเหตุการณ์

.

พลันผมรู้ตัว

จิตใต้สำนึกผมก็รังสรรค์ประโยคเตือนภัยขึ้นมา

“เชี่ย ถ้าพี่แกตกใจจริง พุ่งเข้าหาน้องกูจะทำไงวะเนี่ย”

ผมรีบปั่นจักรยานกลับบ้านในระยะใกล้โดยเร็ว

.

ปี๊บบบบบบบ... ยาวๆ ดังขึ้นจากแตรโมดิฟายเชื่อมแบตเตอรี่น้ำ

พี่โอบอ้อมสะดุ้งเฮือก

ปรี่เข้าใส้บี๋จนผมใจหายวาบ!

บี๋ทำหน้าเจื่อน

.

อากงผมเข้าสกัดอีท่าไหนไม่รู้

พี่โอบอ้อมหยุดราวกับถูกเป่าด้วยมนต์

ครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่ผมเห็นปู่พูดแปลกๆ

ปกติท่านจะเป็นคนที่มีเหตุผลและเงียบขรึมเสมอ

.

พี่โอบอ้อมเดือดร้อนและโวยที่บี๋ทำให้ตกใจ

อากงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม

“ถ้าจะตกใจ ก็กลับไปตกใจที่บ้านตัวเองโน่น”

ผมก็ตกใจ เห็นพี่โอบอ้อมเกาหัวแกรกๆ เดินงงหน้าเหวอ

เออ ... นะ บี๋ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว...

.

ตอนเข้าเรียนโรงเรียนประถมที่เดียวกันใหม่ๆ

แม่ฝากฝังให้ผมดูแลน้องดีๆ

วันแรกๆ ที่บี๋มันเข้าอนุบาล

ผมใช้มันไปซื้อขนมอย่างบ่อย

หลังๆ ก็ต่างคนต่างไปตามวิถี

.

ในยามฤดูฝน

ไอ้นี่มันจะเดินกางร่มสีชมพูบานเย็นใต้ร่มไม้

เดินดุกดิกๆ กลับบ้าน

ผมเห็นหน้ามันตอนเด็กมันจะยิ้มๆ

ผมก็ไม่ทักมันหรอก ต่อให้เป็นน้องก็ตาม

.

บี๋มันพวกเฟี้ยวสุดโต่ง

เวลาเล่นต่อสู้ถ้ามันแพ้ มันจะเลิกเล่นทันที

หมอนข้างนี่ใช้ฟาดกันเป็นพัลวัน

บางครั้งผมแกล้งแพ้มัน มันก็เล่นต่อ ทำหน้าเหิมเกริม

.

เล่นต่อสู้ทีไรเป็นต้องแกล้งแพ้ มันฟาด เราก็แกล้งล้ม

“บี๋ ผู้ยิ่งใหญ่” นั่นน่ะ ฉายาในสังเวียนของบี๋มัน

เวลามันประกาศก้องเรื่องที่มันต่อสู้ชนะ

มันจะตะโกนชื่อตัวเองแล้วทำหน้าเหมือนคิงคอง

.

บางครั้งเราก็ไปเล่นบ้านกัน

ไปหาใต้โต๊ะเล่นบ้าง ไปหาผ้ามากางเป็นหลังคาบ้าง

ตอนแรกก็เล่นกินข้าวสมมุติ

พักหลังๆ ไปหาขนมในตู้เย็นใส่ถุงพลาสติกแอบเอามาเป็นเสบียง

พักหลังๆ อีกครั้ง ก็วางแผนขโมยขนมในโอ่งมังกร

.

ผมดูต้นทาง บี๋ลงมือ

ตอนนั้นอาม่าเอาขนมใส่ไว้ในคลังเสบียงแห้งในโอ่งมังกร

ในนั้นจะมีน้ำตาล เห็ดหอมแห้ง วุ้นเส้น

และขนมซองที่ซื้อมาเป็นโหล

.

ผมเห็นอาม่าเดินไปมาก็ใจหวั่นๆ

แล้วโอ่งมังกรน่ะ มันต้องเปิดฝาไม้ที่ปิดไว้

ปีนลงไปหยิบแล้วชิ่งก็ไม่ทำด้วย

เผลอลงไปนอนเล่นในในโอ่ง

สบายอุราราวกับเจ้าหญิงจนลืมเป้าหมายของตน

.

พออาม่าเดินมา ผมคิด "กูต้องเอาตัวรอดแล้ว"

จึงชิงบอก “อาม่าฮ้าบ บี๋แอบขโมยขนม”

มันเหมือนการหักหลังก็จริง

แต่เอ็งลงไปเสวยสุขในโอ่งมังกรคนเดียวไม่ได้นะเว้ย

แล้วบี๋ก็โดนคาดโทษ เราๆ ก็จ๋อยไปตามๆ กัน

.

หลังๆ มาแก้เผ็ดผม

ชอบชงเด็กรุ่นพี่ที่ผมกลัวมาให้

ผมถาม “มึงพูดจริงเหรอ”

“จริง” มันตอบแบบทำหน้าโคตรไม่มีพิรุธ “พี่เป็ดชอบจริง”

ผมคิดในใจ “เชี่ย กูกลัวชิบหาย”

แล้วก็ยังจะมาบอกผมอีกทีหลัง

“พี่... พี่เป็ดบอกว่าชอบอ่ะ”

“ชอบกูเนี่ยนะ”

“ใช่ เขาให้มาบอก”

ผมก็ยังคิดในใจ “อย่าพูดได้ไหม กูกลัว”

.

แล้วที่เด็ดสุดคือมันเอารูปเจ้าของยาอมตะขาบมาหลอกผม

ตอนนั้นผมกลัวมาก ยิ่งกลางคืน ไฟสลัว

บี๋มันก็คว้าซองยาอมตะขาบของพ่อมาหลอกผม

.

พอผมรู้จุดอ่อนของบี๋มัน

ร้อง “เมี๊ยว” คำเดียวก็กลัวแล้ว

เหอะ ไอ้เด็กกลัวแมว

.

แล้วเวลามันนอนหลับนี้

อย่างกับมันไม่รู้ตัวอะไรเลย

ผมเคยฝันร้ายแล้วตื่นมาในหัวค่ำ

สะกิดมันให้ตื่นขึ้นมา มันไม่เคยตื่น

มันทิ้งให้ผมกลัวผีแล้วร้องไห้อยู่ในความมืดอย่างนั้น

.

พอโตแล้ว

มันก็ยังแอบงีบนอนกลางวัน

ถ้าไปปลุกมัน... แล้วไม่ตื่น ก็ดีไป

แต่ถ้าบี๋มันตื่น ! มันจะโมโหมาก

.

ครั้งหนึ่ง

บี๋มันแอบหลับ

ผมไปปลุกมันให้ตื่น “เช้าแล้ว เช้าแล้ว”

มันตื่นขึ้นมาแล้วหงุดหงิดที่สุด

ผมว่ามันน่าจะโดนผีดอกแก้วเข้าสิง

หน้าตามันบูดบึ้งและโกรธมาก

เอาหมอนปิดหน้าผมจนผมเกือบหายใจไม่ออก

เสียงแม่ทำกับข้าวในครัวดังก๊อกแก๊ก

ผมว่าแม่ท่าจะเจียวกระเทียมไม่ทันมาช่วยผมแน่

ผมก็เลยแกล้งชัก แด่วๆ แล้วก็หยุดแดดิ้นไป

บี๋มันคงคิดว่าผมตายแล้ว มันก็เลยผละ

ผมเลยรอดมาจนบัดนี้

.

มันไม่เคยเข้าใจความดีที่ผมมีให้มันเลย

วันที่มันขับจักรยานหกล้มหน้าปากทางเข้าวัด

มันหาว่าผมไม่ไปช่วยประคองมันขึ้นมา

บี๋มันบอกว่าร่างกายมันเปลี้ยจนโงตัวไม่ขึ้น

แต่ผมต้องการฝึกฝนจิตใจของมัน

คนเราล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาให้ได้

(แต่ตอนนั้นกูขอชิ่งหนีก่อนแล้วกันนะ)

.

ในยามเย็นของบางวัน

ผมจะรีบกลับมาบ้านเฝ้ามองมันอยู่บนระเบียงเงียบๆ เสมอ

มันจะวิ่งเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน

บางครั้งมันแวบเห็นผมบนระเบียงบ้าน (ที่ใกล้โรงเรียน)

มันก็ค่อยๆ เดินกลับ

บางครั้งมันก็ไม่ได้มองเห็น ก็เล่นกับเพื่อนต่อ

ผมเคยมองดูมันนานมาก จนผมเป็นห่วงขนมที่ผมฝากมันซื้อ

.

นั่น... ในความทรงจำผม บี๋กำลังเดินกลับบ้านแล้ว

ผมวิ่งลงไปรอขนม บี๋แอบเอามาให้ผมกินหลังบ้านไม่ให้ใครรู้

มันเปิดกระเป๋าเยินๆ โคตรอินดี้ออก

ขนมจีบที่ราดซอสเกาะกันเป็นก้อนกลม

ผมยังนึกในใจ ... นี่กูต้องคอยๆ แงะมันออกจากกันหรือนี่

.

บางวัน (หยุด) ผมก็เห็นมันไปด้อมๆ มองๆ แถวโต๊ะในยามบ่าย

มันก็ชอบเปรยๆ ว่าคิดโน่นคิดนี่อย่างกะผู้ใหญ่

แล้วก็หาเรื่องไปเอารีเจนซี่ก้นขวดของปู่ที่มีไม่กี่หยดมาดื่ม

ผมยังคิดอยู่นี่ว่าความทรงจำนี้มันช่างเล่นตลก

แต่ผมก็เห็นแบบนั้นจริงๆ

(รีเจนซี่ ที่ไม่ต่างอะไรกับน้ำองุ่น)

.

จนตอนนี้ลืมไปแล้วว่าเราเคยเป็นเด็กกระนั้นหรือ

.

จำได้ว่าตอนหนึ่งผมอยากไปเล่นกับเด็กผู้ชาย

เลยไปเล่นกับน้องชายข้างบ้านนาม “ชัยชาญ”

ชัยชาญแม่งชอบโม้เรื่องโอเว่อร์เรนเจอร์

ทำเท่ห์แปลงร่างโน่นนี่

หัวบันไดบ้านชัยชาญมีเครื่องฟามิคอม

มีเกมส์มาริโอ้ให้ได้เล่น

บนบ้านชัยชาญมีสมุดระบายสีการ์ตูนสวยๆ เต็มห้อง

ผมตะลึง (อย่างตาไม่โตนัก)

.

เล่นกับชัยชาญหลายวันจนแม่บ่น

“ทำไมไม่พาน้องไปเล่นด้วย น้องอยู่คนเดียวเหงา”

ผมก็จูงบี๋มันไป ยังคิดอยู่ว่าจะเล่นด้วยกันได้ไหม

ชัยชาญ นี่มันบ้าการต่อสู้และความเท่ห์

กว่าจะรู้เรื่องผมกับบี๋ก็เข้าไปในบ้านชัยชาญแล้ว

.

ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นที่แดดร่ม

เสียงชัยชาญร้องเพลงอย่างเพลินใจ

นั่งในอ่างเล็กๆ มีตุ๊กตุ่นเป็ดเหลืองลอยคออยู่

ผมยืนมองเขา “ชัยชาญรู้เสียทีเถิด ว่ากูมา”

.

เขาคลอเพลงเบาๆ แล้วเขาก็หันมาเห็นผมกับบี๋

ปรี๊ดแตกเลยคราวนี้ ชัยชาญร้องไห้โฮ

แม่ของชัยชาญดูเคือง เพราะเราดูไม่มีมารยาท

.

ผมกับบี๋ไม่รู้จะทำยังไง รอเล่นกับเขา

ชัยชาญหัวฟัดหัวเหวี่ยง ฟาดน้ำในอ่างตูมตาม

ผมเห็นร่างเปลือยของเขาเป็นของธรรมดา

เขายังคงเห็นแววตาของผมและบี๋

เรารอคอยที่จะเล่นกับชัยชาญ

สักพักเรารู้สึกแปลกๆ ก็พากันกลับ

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปเล่นกับชัยชาญอีก

.

คนเราพอโตแล้วก็ดีไปอย่าง

ถึงวันเด็กทีไร เรื่องพวกนี้ก็ฟุ้งขึ้นมาทุกที

.

มันช่างเป็นวัยเด็กที่แสนโรแมนซ์เหลือเกิน




Create Date : 20 มกราคม 2567
Last Update : 20 มกราคม 2567 9:54:23 น. 0 comments
Counter : 315 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

Kimhanvisuwat
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add Kimhanvisuwat's blog to your web]
space
space
space
space
space