เพราะวัยเยาว์มันมีจำกัด มันถึงงดงามไงเล่า เสียงอาจารย์ "ผู้สูงกว่าหญ้า"กล่าวในวานวันที่ล่วงพ้นไปกว่าสิบปี . และเรื่องบางเรื่องที่ล่วงพ้นไปแล้วกว่ายี่สิบปี มันก็กลายเป็นภาพจางๆ ภาพหนึ่ง ภาพที่เหมือนคราบงู เหมือนความหลังที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็น . และไอ้เด็กที่ชอบทำหน้าสวยแต่เปิ่น มันยังวิ่งเล่นในความทรงจำที่แสนติงต๊องนั้น เสมอ... . “วันเด็กๆ ปีนี้ เราแสนยินดีๆ ปรีดา” มันก็เป็นวันเด็กทั่วๆ ไปที่มีเพลงในทำนองนี้ดังตามลำโพงทั่วสารทิศ . แล้วมันจะมีเด็กคนหนึ่ง ชอบร้องเพลงวันเด็กในภาษาพื้นเมืองประมาณว่า... “เด็กเอ๋ย เด็กดีต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน หนึ่ง หลั่บเจ้าตื่นขวาย (หลับเร็วตื่นสาย) สอง กิ๋นข้าวงายแล้วแอ่ว (รับประทานอาหารเช้าแล้วเที่ยว) สาม พ๊กปื๋นเหน๊บแอว (พกปืนเหน็บเอว) สี่ ปั๊ดแก้วเล่นไฮโล (คว้าแก้วเล่นไฮโล) ห้า ใส่สายเดี่ยวเดินตลาด” ยังไม่ครบสิบข้อ ท่านชายอย่างผมก็คนฟังต่อไปไม่ได้ . “โรงเรียนของเราไม่น่าอยู่ คุณครูใจร้ายทุกคน” นั่นก็เป็นเพลงที่เด็กบ้าคนนี้ดัดแปลงขึ้น ผมไม่มีทางเชื่อว่าเธอไปได้ยินมาจากโรงเรียน ฟังความว่าดัดแปลงยังมีเหตุผลมากกว่า . ผมเกิดในปีมังกรผยองขึ้นสู่เวหา ส่วนยัยนี่เกิดปีคิงคองที่ก๊อตซิลล่าต้องเผ่น เราห่างกันราวสี่ขวบปี ตอนแรกๆ มันเรียกผม “พี่” ตอนหลังๆ มันโมโห เลยเรียกผม ไอ้ “พี่” (โดยเข้าใจผิดว่าผมชื่อ “พี่”) . แรกๆ ผมเรียกมันว่า “น้องเล็ก” หลังๆ ผมเรียกคำว่า “มึง” แทน มันเป็นคำหยาบที่ผมซึ่งเป็นท่านชายไม่น่าเอื้อนเอ่ยมันออกมา . ทุกๆ งานวันเด็ก ผมจะได้ยินเสียงเพลง “น้อยใจยา” แว่วมาทุกปี มีเด็กๆ แต่ละรุ่นร่ายรำจนโตๆ กันไปหมด . ทุกๆ ปีมันจะมีความสนุกสนานมากยามที่เราได้รับแจกขนม ไหนจะเรื่องได้ข้าวกล่องกับไอติมแจกฟรีอีก โคตรสวรรค์ของเด็กๆ ปีหลังๆ ที่มันเพลาๆ ลง ผมก็ได้ขนมน้อยลง คร้านบากหน้าไปเอาเพราะความอายและหน้าบาง กลับบ้านมาด้วยความหัวเสีย . วันนั้น “บี๋” กลับบ้านมาด้วยขนมหอบใหญ่ ผมอิจฉาตาร้อนมาก จนความโมโหกระพือขีดสุด มันโยนขนมกองไว้บนตั๋งนอนของปู่ รวมกับขนมอันเพียงไม่กี่ห่ออันเส็งเคร็งของผม แล้วก็แบ่งกัน . ผมจำได้ว่าผมหายหัวเสียเป็นปลิดทิ้ง ขนมกองเต็มตั่งรายรอบล้อมตัวพวกเรา . บางคราว ภาพการแสดงเรื่องราว “ศรีธนญชัย” ก็ยังคล้ายกับม้วนฟิล์มที่โลดแล่นขึ้นมาในยามที่คิดถึง “พากเพียร” เด็กหัวเรียวที่บี๋เคยแอบชอบพุ่งไปถวายคำนับพระเจ้ากรุงจีน ดำเนินเรื่องราวคลอไปตามเพลง “เปลญวน” ทำไม้ทำมือเป็นพระเจ้ากรุงจีนแบบตัวกลม . พอจบเรื่องราวแล้วก็มีพวกเด็กๆ วิ่งกันมาเต็มเวที บี๋และเพื่อนๆ ทำแก้มแดงวิ่งออกมาเต้นเพลง “พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง” เซอร์ไพร์สมิเบาเพราะเป็นการเข้าจังหวะกันดีมาก พวกผู้ชายก็ถือไม้ที่ติดรูปก้อนเมฆรูปพระอาทิตย์วิ่งกันแถวหลัง . วันเด็กปีๆ หนึ่งก็จะเป็นเช่นนี้ สนุกบ้างไม่สนุกบ้างก็ว่ากันไป แต่ระยะเวลาของการเป็นเด็กในวันวานนั้น ดูเหมือนมันช่างยาวนานเหลือเกิน . บี๋มันก็คงอยากโตมาเพื่อที่จะได้สวมรองเท้าส้นสูง พอๆ กับผมที่อยากโตเร็วๆ เพื่อจะได้แต่งงานกับเซเลอร์มูน บี๋เป็นพวกสายลุยและช่างหยอก ตรงข้ามกับผมที่เป็นสายแอ๊บและกวนตีนเงียบๆ . อันว่าการหยอกของบี๋นั้น เริ่มจากหยอกรุ่นพี่ที่ไล่เลี่ยกัน ส่วนมากชมเสียมากกว่าเพราะกลัวโดนตบ สมัยนั้นไม่มีใครกล้าทำให้ตัวเองประวัติเสีย เพราะสายเสือก เอ้ย! สายสืบในโรงเรียนกระจายข่าวเร็วมาก นอกจากรุ่นพี่ตนแล้ว บี๋ก็เคยหยอกชมรุ่นพี่ของพ่อ (รุ่นป้า) ด้วย พักหลังๆ ก็หยอกชมไปจนถึงซูสีไทเฮาโน่น . วันเวลาในยามเด็กของพวกเราจะมีจักรยานคนละคัน ปั่นผจญภัยไปทั่วหมู่บ้าน พบเจอคนแปลกๆ หลายแบบ ทั้งคนที่ชอบมอง คนติงต๊อง ไปจนถึงคนสอยมดแดง . ที่เราเห็นกันเสมอจนติดตาในยุคนั้นก็คงจะเป็นพี่ “โอบอ้อม” แกมีใบหน้าเหมือนนางเอกละครทีวีขาวดำ ไว้ผมสั้น ใบหน้าโศก มักจะหาบน้ำไปมาเสมอ ซึ่งผมก็ไปรู้ว่าแกไปหาบมาจากบ่อไหน . เดินๆ ไปแกก็จะชอบมีการสไลด์รองเท้าแตะของแก คล้ายว่าจะเอากรวดทรายที่ระคายเท้าให้ออกไป ไม่มีใครกล้าไปแซวนอกจากเพื่อนบางคนรุ่นผมที่บ้าพอ . ถ้าเป็นพวกผู้ชายไปแหย่แก แกก็จะร่าเริงหน่อย ไล่กวดจับไอ้พวกที่แซวแกราวกับอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ กลับกันถ้าเป็นผู้หญิง แกก็จะไล่กวดราวปอบเข้าสิง . ครั้งหนึ่งผมวางแผนอยู่ที่สนามเด็กเล่น “เฮ้ย บี๋ รถจักรยานอากงมีแตร มึงลองไปดักบีบแตรตอนพี่โอบอ้อมเดินผ่านดิ๊” บี๋มันพาซื่อจนไปดักรอบีบแตรอยู่หน้าบ้าน ผมก็กะอยู่ในระยะปลอดภัยใต้ต้นมะขามดูเหตุการณ์ . พลันผมรู้ตัว จิตใต้สำนึกผมก็รังสรรค์ประโยคเตือนภัยขึ้นมา “เชี่ย ถ้าพี่แกตกใจจริง พุ่งเข้าหาน้องกูจะทำไงวะเนี่ย” ผมรีบปั่นจักรยานกลับบ้านในระยะใกล้โดยเร็ว . ปี๊บบบบบบบ... ยาวๆ ดังขึ้นจากแตรโมดิฟายเชื่อมแบตเตอรี่น้ำ พี่โอบอ้อมสะดุ้งเฮือก ปรี่เข้าใส้บี๋จนผมใจหายวาบ! บี๋ทำหน้าเจื่อน . อากงผมเข้าสกัดอีท่าไหนไม่รู้ พี่โอบอ้อมหยุดราวกับถูกเป่าด้วยมนต์ ครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่ผมเห็นปู่พูดแปลกๆ ปกติท่านจะเป็นคนที่มีเหตุผลและเงียบขรึมเสมอ . พี่โอบอ้อมเดือดร้อนและโวยที่บี๋ทำให้ตกใจ อากงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “ถ้าจะตกใจ ก็กลับไปตกใจที่บ้านตัวเองโน่น” ผมก็ตกใจ เห็นพี่โอบอ้อมเกาหัวแกรกๆ เดินงงหน้าเหวอ เออ ... นะ บี๋ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว... . ตอนเข้าเรียนโรงเรียนประถมที่เดียวกันใหม่ๆ แม่ฝากฝังให้ผมดูแลน้องดีๆ วันแรกๆ ที่บี๋มันเข้าอนุบาล ผมใช้มันไปซื้อขนมอย่างบ่อย หลังๆ ก็ต่างคนต่างไปตามวิถี . ในยามฤดูฝน ไอ้นี่มันจะเดินกางร่มสีชมพูบานเย็นใต้ร่มไม้ เดินดุกดิกๆ กลับบ้าน ผมเห็นหน้ามันตอนเด็กมันจะยิ้มๆ ผมก็ไม่ทักมันหรอก ต่อให้เป็นน้องก็ตาม . บี๋มันพวกเฟี้ยวสุดโต่ง เวลาเล่นต่อสู้ถ้ามันแพ้ มันจะเลิกเล่นทันที หมอนข้างนี่ใช้ฟาดกันเป็นพัลวัน บางครั้งผมแกล้งแพ้มัน มันก็เล่นต่อ ทำหน้าเหิมเกริม . เล่นต่อสู้ทีไรเป็นต้องแกล้งแพ้ มันฟาด เราก็แกล้งล้ม “บี๋ ผู้ยิ่งใหญ่” นั่นน่ะ ฉายาในสังเวียนของบี๋มัน เวลามันประกาศก้องเรื่องที่มันต่อสู้ชนะ มันจะตะโกนชื่อตัวเองแล้วทำหน้าเหมือนคิงคอง . บางครั้งเราก็ไปเล่นบ้านกัน ไปหาใต้โต๊ะเล่นบ้าง ไปหาผ้ามากางเป็นหลังคาบ้าง ตอนแรกก็เล่นกินข้าวสมมุติ พักหลังๆ ไปหาขนมในตู้เย็นใส่ถุงพลาสติกแอบเอามาเป็นเสบียง พักหลังๆ อีกครั้ง ก็วางแผนขโมยขนมในโอ่งมังกร . ผมดูต้นทาง บี๋ลงมือ ตอนนั้นอาม่าเอาขนมใส่ไว้ในคลังเสบียงแห้งในโอ่งมังกร ในนั้นจะมีน้ำตาล เห็ดหอมแห้ง วุ้นเส้น และขนมซองที่ซื้อมาเป็นโหล . ผมเห็นอาม่าเดินไปมาก็ใจหวั่นๆ แล้วโอ่งมังกรน่ะ มันต้องเปิดฝาไม้ที่ปิดไว้ ปีนลงไปหยิบแล้วชิ่งก็ไม่ทำด้วย เผลอลงไปนอนเล่นในในโอ่ง สบายอุราราวกับเจ้าหญิงจนลืมเป้าหมายของตน . พออาม่าเดินมา ผมคิด "กูต้องเอาตัวรอดแล้ว" จึงชิงบอก “อาม่าฮ้าบ บี๋แอบขโมยขนม” มันเหมือนการหักหลังก็จริง แต่เอ็งลงไปเสวยสุขในโอ่งมังกรคนเดียวไม่ได้นะเว้ย แล้วบี๋ก็โดนคาดโทษ เราๆ ก็จ๋อยไปตามๆ กัน . หลังๆ มาแก้เผ็ดผม ชอบชงเด็กรุ่นพี่ที่ผมกลัวมาให้ ผมถาม “มึงพูดจริงเหรอ” “จริง” มันตอบแบบทำหน้าโคตรไม่มีพิรุธ “พี่เป็ดชอบจริง” ผมคิดในใจ “เชี่ย กูกลัวชิบหาย” แล้วก็ยังจะมาบอกผมอีกทีหลัง “พี่... พี่เป็ดบอกว่าชอบอ่ะ” “ชอบกูเนี่ยนะ” “ใช่ เขาให้มาบอก” ผมก็ยังคิดในใจ “อย่าพูดได้ไหม กูกลัว” . แล้วที่เด็ดสุดคือมันเอารูปเจ้าของยาอมตะขาบมาหลอกผม ตอนนั้นผมกลัวมาก ยิ่งกลางคืน ไฟสลัว บี๋มันก็คว้าซองยาอมตะขาบของพ่อมาหลอกผม . พอผมรู้จุดอ่อนของบี๋มัน ร้อง “เมี๊ยว” คำเดียวก็กลัวแล้ว เหอะ ไอ้เด็กกลัวแมว . แล้วเวลามันนอนหลับนี้ อย่างกับมันไม่รู้ตัวอะไรเลย ผมเคยฝันร้ายแล้วตื่นมาในหัวค่ำ สะกิดมันให้ตื่นขึ้นมา มันไม่เคยตื่น มันทิ้งให้ผมกลัวผีแล้วร้องไห้อยู่ในความมืดอย่างนั้น . พอโตแล้ว มันก็ยังแอบงีบนอนกลางวัน ถ้าไปปลุกมัน... แล้วไม่ตื่น ก็ดีไป แต่ถ้าบี๋มันตื่น ! มันจะโมโหมาก . ครั้งหนึ่ง บี๋มันแอบหลับ ผมไปปลุกมันให้ตื่น “เช้าแล้ว เช้าแล้ว” มันตื่นขึ้นมาแล้วหงุดหงิดที่สุด ผมว่ามันน่าจะโดนผีดอกแก้วเข้าสิง หน้าตามันบูดบึ้งและโกรธมาก เอาหมอนปิดหน้าผมจนผมเกือบหายใจไม่ออก เสียงแม่ทำกับข้าวในครัวดังก๊อกแก๊ก ผมว่าแม่ท่าจะเจียวกระเทียมไม่ทันมาช่วยผมแน่ ผมก็เลยแกล้งชัก แด่วๆ แล้วก็หยุดแดดิ้นไป บี๋มันคงคิดว่าผมตายแล้ว มันก็เลยผละ ผมเลยรอดมาจนบัดนี้ . มันไม่เคยเข้าใจความดีที่ผมมีให้มันเลย วันที่มันขับจักรยานหกล้มหน้าปากทางเข้าวัด มันหาว่าผมไม่ไปช่วยประคองมันขึ้นมา บี๋มันบอกว่าร่างกายมันเปลี้ยจนโงตัวไม่ขึ้น แต่ผมต้องการฝึกฝนจิตใจของมัน คนเราล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาให้ได้ (แต่ตอนนั้นกูขอชิ่งหนีก่อนแล้วกันนะ) . ในยามเย็นของบางวัน ผมจะรีบกลับมาบ้านเฝ้ามองมันอยู่บนระเบียงเงียบๆ เสมอ มันจะวิ่งเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน บางครั้งมันแวบเห็นผมบนระเบียงบ้าน (ที่ใกล้โรงเรียน) มันก็ค่อยๆ เดินกลับ บางครั้งมันก็ไม่ได้มองเห็น ก็เล่นกับเพื่อนต่อ ผมเคยมองดูมันนานมาก จนผมเป็นห่วงขนมที่ผมฝากมันซื้อ . นั่น... ในความทรงจำผม บี๋กำลังเดินกลับบ้านแล้ว ผมวิ่งลงไปรอขนม บี๋แอบเอามาให้ผมกินหลังบ้านไม่ให้ใครรู้ มันเปิดกระเป๋าเยินๆ โคตรอินดี้ออก ขนมจีบที่ราดซอสเกาะกันเป็นก้อนกลม ผมยังนึกในใจ ... นี่กูต้องคอยๆ แงะมันออกจากกันหรือนี่ . บางวัน (หยุด) ผมก็เห็นมันไปด้อมๆ มองๆ แถวโต๊ะในยามบ่าย มันก็ชอบเปรยๆ ว่าคิดโน่นคิดนี่อย่างกะผู้ใหญ่ แล้วก็หาเรื่องไปเอารีเจนซี่ก้นขวดของปู่ที่มีไม่กี่หยดมาดื่ม ผมยังคิดอยู่นี่ว่าความทรงจำนี้มันช่างเล่นตลก แต่ผมก็เห็นแบบนั้นจริงๆ (รีเจนซี่ ที่ไม่ต่างอะไรกับน้ำองุ่น) . จนตอนนี้ลืมไปแล้วว่าเราเคยเป็นเด็กกระนั้นหรือ . จำได้ว่าตอนหนึ่งผมอยากไปเล่นกับเด็กผู้ชาย เลยไปเล่นกับน้องชายข้างบ้านนาม “ชัยชาญ” ชัยชาญแม่งชอบโม้เรื่องโอเว่อร์เรนเจอร์ ทำเท่ห์แปลงร่างโน่นนี่ หัวบันไดบ้านชัยชาญมีเครื่องฟามิคอม มีเกมส์มาริโอ้ให้ได้เล่น บนบ้านชัยชาญมีสมุดระบายสีการ์ตูนสวยๆ เต็มห้อง ผมตะลึง (อย่างตาไม่โตนัก) . เล่นกับชัยชาญหลายวันจนแม่บ่น “ทำไมไม่พาน้องไปเล่นด้วย น้องอยู่คนเดียวเหงา” ผมก็จูงบี๋มันไป ยังคิดอยู่ว่าจะเล่นด้วยกันได้ไหม ชัยชาญ นี่มันบ้าการต่อสู้และความเท่ห์ กว่าจะรู้เรื่องผมกับบี๋ก็เข้าไปในบ้านชัยชาญแล้ว . ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นที่แดดร่ม เสียงชัยชาญร้องเพลงอย่างเพลินใจ นั่งในอ่างเล็กๆ มีตุ๊กตุ่นเป็ดเหลืองลอยคออยู่ ผมยืนมองเขา “ชัยชาญรู้เสียทีเถิด ว่ากูมา” . เขาคลอเพลงเบาๆ แล้วเขาก็หันมาเห็นผมกับบี๋ ปรี๊ดแตกเลยคราวนี้ ชัยชาญร้องไห้โฮ แม่ของชัยชาญดูเคือง เพราะเราดูไม่มีมารยาท . ผมกับบี๋ไม่รู้จะทำยังไง รอเล่นกับเขา ชัยชาญหัวฟัดหัวเหวี่ยง ฟาดน้ำในอ่างตูมตาม ผมเห็นร่างเปลือยของเขาเป็นของธรรมดา เขายังคงเห็นแววตาของผมและบี๋ เรารอคอยที่จะเล่นกับชัยชาญ สักพักเรารู้สึกแปลกๆ ก็พากันกลับ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปเล่นกับชัยชาญอีก . คนเราพอโตแล้วก็ดีไปอย่าง ถึงวันเด็กทีไร เรื่องพวกนี้ก็ฟุ้งขึ้นมาทุกที . มันช่างเป็นวัยเด็กที่แสนโรแมนซ์เหลือเกิน
Create Date : 20 มกราคม 2567 |
Last Update : 20 มกราคม 2567 9:54:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 315 Pageviews. |
|
|