บันทึกการเดินทางข้ามปี Winter Love Seoul
หลังจากห่างหายจากการพาแม่ไปท่องเที่ยวต่างประเทศซะหลายปี สิ้นปีที่ผ่านมาก็เลยถือโอกาสอันดีพาคุณนายแม่ท่องเที่ยวอีกครั้ง เกาหลีใต้เป็นตัวเลือกแรกๆที่ตั้งใจจะมา จริงๆอยากจะมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน แต่ตอนนั้นมีเรื่องไข้หวัดซาร์ส เลยเบนเข็มไปไต้หวันแทน คราวนี้ ที่นี่เลยเป็นตัวเลือกอีกครั้งสำหรับทริปต่างประเทศในครั้งนี้
เราเริ่มเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ประมาณตี 3 มาถึงท่าอากาศยานอินชอนประมาณ 10 โมงครึ่ง มาถึงปุ๊บก็เที่ยวเลยครับ จะได้ไม่เสียเวลา สถานที่แรกที่เราไปกันคือ "สาธารณรัฐเมืองนามิ" อะไรนะ? สาธารณรัฐ? ฟังไม่ผิดครับ เกาะนามิ มีชื่ออย่างทางการว่า "สาธารณรัฐเมืองนามิ" ชื่อนี้ ทางการตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นเหมือนดินแดนเมืองเด็กในจินตนาการที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในนิทานที่เต็มไปด้วยความงามและความเพลิดเพลิน ลอดผ่านวัฒนธรรมที่ผสมผสานกลมกลืนได้อย่างลงตัว
เกาะนามิ ตั้งอยู่ในกลางทะเลสาบที่มีลักษณะเหมือนใบไม้ลอยน้ำ เดิมเคยเป็นแผ่นดินมาก่อนแต่ถูกน้ำเซาะจนกลายเป็นเกาะ มีพื้นที่ราว 290 ไร่ ซึ่งการเดินทางมาที่เกาะนี้เราต้องนั่งเรือไปจากท่าเรือครับ เส้นทางภายในเกาะจะเป็นเส้นทางต้นสนแปะก๊วยทอดยาวไป จุด highlight ของที่นี่ คงไม่พ้นรูปปั้น เบยองจุน และ แชงจีอู พระนางจากซีรีย์เพลงรักในสายลมหนาว "winter love song" นั่นเอง
หลังจากกลับจากเกาะนามิแล้ว แวะมาดู ski resort ซะหน่อย ไหนๆก็มาหน้า winter ซะที ski resort ที่เรามากันคือ "Yangji Pine Ski Resort" ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 3 สกีรีสอร์ทที่ดีที่สุดของที่เกาหลีเลยทีเดียว ลานสกีแห่งนี้มีทางววิ่งสำหรับนักสกีมือใหม่ มีเนินรูปตัวเอส จนถึงเนินหิมะที่มีขนาดความสูงตั้งแต่ 1 กิโลเมตรเลยทีเดียว ถามว่า ได้เล่นมั้ย? แหะๆ ไม่ได้เล่นครับ กลัวแข้งขาหักไปซะก่อน เดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก
วันที่สองของการเดินทาง เป็นเช้าวันสิ้นปีพอดี จึงขอถือฤกษ์งามยามดี เข้าวัดไหว้พระขอพรสักหน่อย คณะทัวร์พาเราไปไหว้พระที่ "วัดวาวูจองซา" ในเมืองยงอิน จังหวัดเคียงคีโด วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1970 มีรูปสลักพระเศียรของพระพุทธเจ้าความสูง 8 เมตร ซึ่งได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊คให้เป็นรูปสลักที่ทำจากไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวัด
นอกจากนี้ภายในวัด ซึ่งต้องเดินบันไดบนเนินเขา มีพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่ที่สร้างจากไม้สนจีนที่นำมาจากอินเดีย ประดิษฐานอยู่ภายในวัด
หลังจากนั้น ก็แวะสวนสนุกที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ นั่นก็คือ "Everland" สวนสนุกแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขา และมีเครื่องเล่นที่เป็น highlight คือ T-Express รถไฟเหาะรางไม้ที่สูงที่สุดในโลก แต่เนื่องจากใจไม่กล้าพอ ประกอบกับพาผู้สูงอายุไป เลยขอนั่งกระเช้าชมวิว และสวนสัตว์ safari แทน
สิ่งที่ทำให้สวนสนุกที่นี่แตกต่างจากที่อื่นๆ ก็คือที่นี่จะมีโซนสวนสัตว์ซาฟารีให้เรานั่งรถบัสไปชมความน่ารักของสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิงโต เสือ หรือหมี โดยมีพนักงานขับรถซาฟารีเป็นผู้ทักทายและเล่นกับพวกเขาด้วยความสนุกสนาน แต่ขอบอก คนขับรถซาฟารี ฮาจริง ขนาดฟังภาษาเกาหลีไม่ออก ยังรู้สึกถึงความขำเลยครับ
และที่ขาดไม่ได้ เมื่อมาเยือนเกาหลี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวนี้ ก็คือการมาเยี่ยมชมไร่สตรอเบอร์รี่ ได้ยินมานานแล้วว่า สตรอเบอร์รี่เกาหลีลูกใหญ่ หวานหอม ก็เพิ่งได้ลิ้มลองวันนี้นี่เอง นอกจากสตรอเบอร์รี่แล้ว ที่นี่ยังมีแอปเปิ้ล สาลี่ให้เลือกซื้อได้อีกด้วย
ปิดท้ายวันสิ้นปีด้วยการชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าครั้งสุดท้ายของปี 2016 ที่หอคอย N-Seoul Tower หอคอยแห่งนี้เป็น 1 ใน 18 หอคอยที่สูงที่สุดในโลก ที่นี่ยังเป็นสถานที่คู่รักต่างๆมาคล้องกุญแจ และยังเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเกาหลีเรื่อง กับดักหัวใจยัยแม่มด
เช้าวันปีใหม่ ถือฤกษ์ศิริมงคล เข้าเยี่ยมชม "พระราชวังเคียงบ็อค" ซึ่งเป็นพระราชวังไม้โบราณที่เก่าที่สุด สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1934 หรือ 600 กว่าปีก่อน ภายในพระราชวังแห่งนี้มีหมู่พระที่นั่งมากกว่า 200 หลัง แต่ได้ถูกทำลายลงสมัยญี่ปุ่นเข้ายึดครอง แต่ปัจจุบันได้มีการก่อสร้างพระที่นั่งหลังใหม่ในตำแหน่งเดิม
วันปีใหม่ของคนที่นี่ ใครใส่ชุดประจำชาติ "ฮันบก" จะได้เข้าชมพระราชวังที่นี่ฟรี จึงไม่แปลกใจเลยที่วันนี้เราจะเห็นคนใส่ชุดฮันบกมาเที่ยวที่พระราชวังมากมาย เห็นคนที่นี่ใส่กันแล้ว คุณนายแม่ก็อยากจะใส่กับเค้าบ้าง ไกด์ทัวร์ใจดีเลยจัดให้ตามประสงค์ พาคุณแม่และคณะทัวร์ไปใส่ชุดประจำชาติ "ฮันบก" กิจกรรมนี้ แลดูจะเป็นกิจกรรมที่คุณนายแม่จะตื่นเต้น และชอบมากที่่สุดตั้งแต่มาที่นี่เลยทีเดียว
หลังจากลองชุดประจำชาติแล้ว ก็มาเรียนรู้วิธีการทำอาหารเกาหลี "คิมบับ" (ข้าวห่อสาหร่าย) ซึ่งเป็นอาหารเกาหลีง่ายๆที่คนเกาหลีนิยมรับประทาน คิม แปลว่า สาหร่าย, บับ แปลว่า ข้าว วิธีการไม่ยากเท่าไหร่ มีเพียงข้าวคลุกน้ำมันงา ใส่ไส้ด้วยผักกาดดอง ไข่ และปูอัด พันห่อม้วนด้วยสาหร่ายและตัดพอดีคำ ทำเสร็จแล้วก็สามารถทานฝีมือตัวเองได้เลย
ปิดท้ายกับทริปการเดินทางครั้งนี้ ในวันสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย ที่ "พิพิธภัณฑ์ภาพ 3 มิติ" แม้เราจะเคยไปเยี่ยมชมกับ Art of Paradise ที่พัทยา มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เราก็ยังตื่นตาตื่นใจกับศิลปะภาพ 3 มิติของที่นี่ นอกจากนี้ที่นี่ยังมี Ice Museum พิพิธภัณฑ์ปะติมากรรมน้ำแข็งแกะสลักที่ถูกแกะสลักออกมาเป็นรูปร่างต่างๆได้อย่างอัศจรรย์
Highlight สุดท้ายของที่นี่คือโซน "Love Museum" ภายในมีอะไรนั้น คงบรรยายในที่นี้ไม่ได้ แต่หากใครแวะไปลองเข้าไปดูเองละกันนะครับ
และทั้งหมดนี้เป็นบันทึกแห่งการเดินทางข้ามปี "Winter Love Seoul" ขอบคุณช่วงเวลาดีๆ ขอบคุณคณะทัวร์และผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน ถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน ก็ทำให้เรามีความผูกพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ ตลอด 4 วันที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งทริปในความทรงจำดีที่ได้มีโอกาสพาคุณแม่ท่องเที่ยวในต่างแดน ซึ่งคุณแม่ก็แก่ลงทุกวันๆ อนาคตเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้ามีโอกาส ก็คงพาแกไปเที่ยวต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าแกจะเดินไม่ไหว คราวหน้าพวกเราจะไปที่ไหน ติดตามกันตอนต่อไปนะครับ
Create Date : 08 มกราคม 2560 |
|
10 comments |
Last Update : 8 มกราคม 2560 15:34:53 น. |
Counter : 6159 Pageviews. |
|
 |
|