0. ข้อมูลและการเตรียมตัว เส้นทางทรานไซบีเรียน
//packmybag.run/?p=1600



การเตรียมตัว ๑ อากาศ: จริงๆแค่พูดถึงรัสเซียก็รู้สึกหนาวแล้ว แล้วถ้าอยากเดินทางแบบสบายๆ แนะนำให้เดินทางช่วงฤดูใบไม้ผลิปลายๆ (ประมาณเดือนเมษา) หรือปลายฤดูร้อน (สิงหา) จะเหมาะที่สุด เสื้อผ้าก็ไม่ต้องขนไปมาก และก็ไม่ร้อนจนเกินไป 

ทั้ง ๓ ประเทศนี้ จีน มองโกเลียน และรัสเซีย หน้าหนาวก็หนาวจัด อุณหภูมิติดลบ แต่พอหน้าร้อนก็ร้อนตับแตก ประมาณ๓๐กว่าองศา 

ข้อดีของการเดินทางในช่วงเวลาสุดฮิตนี้คือ 
- อุณหภูมิพอให้มนุษย์โลกอย่างเราดำรงชีพได้อย่างมีความสุข 
- เวลากลางวันค่อนข้างยาวทำให้เที่ยวได้นานขึ้นหน่อย (ดีกว่าหน้าหนาวนะ สี่โมงกว่าก็มืดแล้ว T_T) 
- สถานที่ท่องเที่ยวเปิดแทบจะทุกจุด การซ่อมแซมมีน้อยกว่าช่วงlow season 
- มีโอกาสเจอเพื่อนร่วมทางที่เป็นนักท่องเที่ยว ร่วมกันแชร์ประสบการ์ ค่าใช้จ่าย และมิตรภาพ :)
- อื่นๆมีอีกมั๊ยนะ??

ส่วนข้อเสียหลักๆก็มี 
- ราคาสูงขึ้น
- รถไฟก็จองยากขึ้นรวมทั้งห้องพักด้วย 
- ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวก็เก็บค่าเข้าชมแบบเต็มอัตรา 
- คนเยอะแย่งกันกิน แย่งกันใช้ แย่งกันถ่ายรูป


การเตรียมตัว ๒: รถไฟ -ในจีน
หลายๆคนอาจจะทราบแล้วใช่ไหมคะ ว่าทางรถไฟสายTrans-Siberian นี้สามารถเริ่มเดินทางได้จากประเทศไทยเลย (แต่ต้องไปต่อรถนอน ต่อเรือ ที่ลาว และ เวียดนาม) หรือเริ่มเดินทางจากรถไฟล้วนๆได้เลยตั่งแต่จีน จะส่วนไหนของจีนก็ได้ จะเข้าจากเวียดนาม หรือทางฮ่องกง ก็สามารถนั่งรถไฟได้เลย 

การเดินทางโดยรถไฟจากจีนมีช่วงที่ต้องหลีเลี่ยงอย่างเด็ดขาด ขอย้ำว่าเด็ดขาด คือช่วงตรุษจีน(เดือนกุมพา หรือ มีนา แล้วปีค่ะ) วันชาติจีน (เดือนตุลา) รองลงมาคือช่วงปิดเทอม และเทศกาลท่องเที่ยวต่างๆ เช่นปีใหม่สากล 

เหตุผลที่ต้องหลีเลี่ยงเพราะ ไม่มีตั๋ว ไม่มีหวังด้วย เพราะตั๋วขายหมดไปตั่งแต่วันที่เปิดจองแรกๆเรียบร้อยแล้ว ตรุษจีนของประเทศจีนไม่ได้มีแค่๑วันแบบไทยนะคะ แต่เค้าหยุดกันเป็นครึ่งเดือน วันชาติจีนก็เหมือนกัน (ไปนอนค้างคืนหน้าสถานีรถไฟกันเป็นวัน) 

ถ้านั่งรถไฟจากเสิ่นเจิ้นมาถึงปักกิ่งด้วยขบวนรถเร็ว ใช้เวลาประมาณ๒๖-๒๘ชั่วโมง หรือถ้าเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ขึ้นมากก็ ๑๘ ชั่วโมงรถไฟในจีนส่วนมากเป็นห้องแอร์ค่ะ มีระดับคือ แบบนั่ง แบบนอน แบบนอนชั้นหนึ่ง และแบบยืน??? ใช่แล้วค่ะ ตั๋วยืนจ่ายเท่ากับตั๋วนั่ง แล้วถ้าต้องยืนบางทีต้องยืนกันเป็นวันเลยทีเดียว

ระหว่างนี้เชิญเที่ยวในประเทศจีนได้เลย สำหรับชาวไทยที่ถือPassport ธรรมดาต้องทำวีซ่านะคะ เข้าได้๓๐วัน


การเตรียมตัว๒ - รถไฟ สายTrans-Siberian 

รถไฟสายในฝันของใครหลายๆคน จริงๆแล้วไม่ได้มีแค่สายเดียวที่เป็น ทรานไซบีเลียน นะคะ แต่ว่ายังมีแตกแยกออกมาอีก เป็นดังนี้ค่ะ
๑. Trans-Siberian จากรูปประกอบเป็นเส้นสีแดงค่ะ เดินทางจากรัสเซีย ผ่านรัสเซีย ไปรัสเซียค่ะ 
๒. Trans-Mongolian จากรูปประกอบเส้นสีน้ำเงิน เดินทางจากจีน ผ่านมองโกเลียน ถึงรัสเซีย 
๓. Trans-Manchurian จากรูปประกอบเส้นสีเหลือง เดินทางจากจีน ผ่านจีน ถึงรัสเซีย 



ใครถูกจริตกับเส้นไหน ก็เลือกเอาเลยค่ะ ความยาวไม่เท่ากันนะคะ เส้นที่ยาวที่สุดคือเส้นสีแดง ในชื่อTrans-Sibirain ที่ทุกคนรู้จัก ถ้าเดินทางโดยไม่หยุดแวะเลยจะใช้เวลาทั้งหมด ๗วันค่ะ 

ส่วนโบเลือกเดินทางโดยเส้น Trans-Mogolian เพราะต้องการผ่านมองโกเลียน ถ้าเดินทางโดยไม่หยุดแวะเลยจะใช้เวลา ๕วัน ดังนั้นจะขอพูดถึงเส้น ทราน มองโกเลียน นะคะ ส่วนถ้าสนใจเดินทางด้วยสายอื่น ข้อมูลน่าจะไม่ต่างกันมาก ต้องทำการบ้านดูค่ะ

เวปไซด์ที่โบใช้หลักๆเลยก็คือ 
- //www.seat61.com ค่ะ ข้อมูลรถไฟสายต่างๆทั่วโลก ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษนะคะ 
- และก็หนังสือ lonely Planet - Trans-Siberian ค่ะ โบโหลดอ่านเอา ตามงบประมาณ โหลดได้ค้นจาก Google นะคะ แน่นอนว่าเนื้อหาไม่ครบ แต่เรื่องราคาตั๋วและจุดเปลี่ยนรถไฟ พอมีบ้าง 
- //www.allinrussia.com เป็นเวปจองตั๋วรถไฟในรัสเซียค่ะ โบใช้ดูเทียบราคาค่ะ เพราะเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนเวลาจองให้เข้าเวป ทางการของรัสเซีย ราคาจะเป็นราคาปรกติ แต่จองยากค่ะ อันนี้มีเพื่อนรีวิวไว้แล้ว ยังไงรบกวน Google นะคะ 
- //www.cnvol.com เป็นเวปข้อมูลตารางการเดินรถไฟในจีน เนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่ซื้อผ่านเวปไม่ได้นะคะ ต้องจดไปซื้อที่สถานี โบใช้เทียบราคา เพื่อการตัดสินใจค่ะ ส่วนราคาในเวปไม่ตรงกับราคาจริงนะคะ ราคาจริงๆจะแพงกว่าอีก



ราคา 
รถไฟเส้นนี้ค่าตั๋วแพงค่ะ แพงกว่าบินตรงอีก ราคาถ้าซื้อแบบไม่หยุดแวะเลยจะอยู่ที่ ๒๕,๐๐๐ บาทสำหรับชั้น๓ ขาเดียว (ราคาโดยประมาณที่ได้จากเวปไซด์ค่ะ ข้อมูลไม่น่าจะอัพเดทด้วย)

แต่ถ้าซื้อตั๋วแยก เช่น เดินทางจากปักกิ่งไปถึงอุลาบาต๊อก แล้วหยุดพัก๒-๓วัน จากนั้น ตั๋วจากอุลาบาต๊อก เข้า อีสคุห์ (รัสเซีย)... ก็จะแพงขึ้นอีก 

และราคาก็ยังขึ้นอยู่กับว่า เริ่มเดินทางจากที่ไหนอีกตังหาก ถ้าเริ่มเดินทางจากรัสเซียน่าจะได้ตั๋วถูกกว่า 

เพราะถ้าเดินทางออกจากจีน จะถูกรัฐบาลจีนบังคับให้ซื้อตั๋วผ่านเอเจ้นท์ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ถือPassport จีน มองโกเลียน หรือ รัสเซียค่ะ ซึ่งราคาเอเจ้นท์ก็แพงกว่าราคาหน้าตั๋วอยู่เป็นพันบาทเหมือนกัน

ตั๋วที่โบซื้อมา จากปักกิ่ง ถึง อุลาบาต๊อก ราคา ประมาณ ๔,๐๐๐ บาทไทย


การเตรียมตัว๓ - เส้นทาง

จากที่บอกไปว่าโบเดินทางแบบหยุดพัก (on and off) เลยต้องซื้อตั๋วแยกกันค่ะ 

ดังนั้นจะขอเล่าถึงเส้นทางที่โบเดินทางละกันนะคะ
- ปักกิ่ง - อุลาบาต๊อก (มองโกเลีย) แวะมองโกเลีย ๓ วัน ราคาตั๋ว ๔,๐๐๐ บาท
- อุลาบาต๊อก - อีสคุห์ (รัสเซีย) แวะพัก๒วัน เพื่อชมทะเลสาปไบคา ราคาตั๋ว ๓,๕๐๐ (โบซื้อผ่านเอเจ้นท์ค่ะเป็นตั๋วชั้นสอง ถ้าซื้อเองสามารถซื้อตั๋วชั้นสามได้ ราคาจะถูกกว่านี้ แต่ขอย้ำหน่อยค่ะว่าซื้อผ่านเวปไม่ได้ และเจ้าหน้าที่ที่มองโกเลียไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ)
- อีสคุห์ - คาซาน โบชมเมือง ๑ วันไม่ค้างคืนค่ะ  ๓,๕๐๐
- คาซาน - มอสโค ๑วันไม่ค้างคืน ๑,๕๐๐ 
- มอสโค - เซนต์ปีเตอร์เบิกส ๓ คืน ๘๐๐
- เซนต์ปีเตอร์เบิกส - มอสโค (เพื่อนั่งเครื่องกลับไทยค่ะ) ๑วันค่ะ ๘๐๐
รวมทั้งหมดเป็นระยะเวลาเดินทาง รวมทั้งที่อยู่บนรถไฟ ๑๕วัน เป็นเงินค่าตั๋ว ๑๔,๑๐๐ บาท อันนี้เอาราคากลมๆนะ จะได้ดูง่ายๆ (รึเปลา) 

คำถาม? แล้วทำไมถึงซื้อได้ถูกกว่าราคารวดเดียวที่บอกไปตอนต้นหละคะ??
ตอบ เพราะว่าโบจองผ่านเวปการรถไฟรัสเซียค่ะ เลยได้ราคาหน้าตั๋วที่ไม่ผ่านเอเจ้นท์ และโบก็เลือกขบวนที่ถูกด้วย เดินทางด้วยรถไฟชั้น๓ค่ะ 

ตั๋วแบบรวดเดียวที่ให้ราคาไปตอนต้น เป็นตั๋วที่ผ่านเอเจ้นท์นะคะ ไม่ทราบว่าเป็นชั้นอะไร อันนี้ต้องขออนุญาตคนที่ต้องการเดินทางรวดเดียวหาข้อมูลเพิ่มนะคะ ^^



การเตรียมตัว ๔ - วีซ่า

ข่าวดีค่ะ เพราะสำหรับชาวไทยที่ถือPassport สัญชาติไทย 
- ตอนนี้ประเทศรัสเซีย ไม่ต้องใช้วีซ่า
- มองโกเลียก็ไม่ต้องใช้วีซ่า
- แต่จีนต้องใช้วีซ่า แต่ถ้าเป็นวีซ่าท่องเที่ยวขอได้ง่ายค่ะ 

เป็นโชคดีเพราะว่า วีซ่าเข้ามองโกเลียและรัสเซีย ขอยากค่ะ 

แต่ข้อกังวลก็คือ เรารู้ว่าเราไม่ต้องใช้ แต่ต.ม.ที่รักเค้าไม่คิดว่าหน้าเอเชียจ๋าแบบเรา จะไม่ต้องใช้วีซ่าหนะสิคะ ขนาดฝรั่งหัวทองยังต้องใช้เลยแล้วะจะมาเอาอะไรกับชาวไทยแบบเรา 

ส่วนปัญหาก็จะเป็นตรงต.ม.รัสเซียค่ะ 

วิธีประหยัดเวลาก็คือ พิมพ์เอกสารข้อตกลงที่ระบุว่า ชาวไทยไม่ต้องใช้วีซ่าจริงๆ แต่อย่าลืมพิมพ์เวอร์ชั่นภาษารัสเซียมานะคะ (ตอนโบพิมพ์ เบลอจัด พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษไป ถ้าใช้จริงๆก็ใช้ไม่ได้ค่ะ เพราะชาวรัสเซียไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก)

ส่วนกระดาษแผ่นนี้ ถึงผ่านต.ม.ไปแล้วก็อย่างทิ้งนะคะ เก็บไว้ เผื่อโดนตำรวจรัสเซียเรียกตรวจPassport แล้วอาจมีปัญหาถ้าคุณตำรวจไม่เห็นวีซ่า




การเตรียมตัว๔ - ที่พัก

ที่พักคงไม่ใช่จุดยากเท่าไหร่ เลือกประเภทของที่พักได้ตามความต้องการและความเหมาะสมเลยค่ะ 

สำหรับโบ ที่เดินทางด้วยงบกระจ้อยร่อย และเดินทางตัวคนเดียว เลือกที่จะพักHostel โฮสเทลค่ะ เพราะถูกจริต

โฮสเทล ต่างกับ โฮเทล (โรงแรม) ตรงที่โฮสเทลมีห้องพักแบบ Dorm หรือห้องพักรวม ให้คนที่ไม่รู้จักกันแชร์ห้องนอนกัน 

ข้อดีของโฮสเทลคือ
- ราคาประหยัด
- มีห้องครัว (บางแห่ง)
- ได้มีโอกาสเจอเพื่อนที่มาแบคแพคเหมือนกัน และได้คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้หายเหงากันชั่วคราว
- พนักงานโฮสเทลส่วนมากเป็นวัยรุ่น มีข้อมูลท่องเที่ยว มีหนังสือให้แลกเปลี่ยน

ข้อเสีย
- ความปลอดภัยน้อยกว่านอนโรงแรม (แน่นอน) 
- ต้องนอนรวมกันหลายคน อาจมีคนกรน ตด ละเมอ เมา ทำเสียงดัง ฯลฯ แล้วแต่ชะตากรรมค่ะ 
- ความสะดวกสะบายน้อยกว่าโรงแรม  
- ฯลฯ

-------
เล่าจากประสบการณ์ค่ะ 
- ที่พักในมองโกเลีย โฮสเทลถูกมากค่ะ คืนละไม่ร้อยกว่าบาทเอง
- แต่ถ้าไปถึงมองโกเลียแล้วไม่นอนใน เกอร์ ก็กะไรอยู่ เกอร์เป็นที่พักประจำชาติของชาวมองโกเลียน โดยส่วนตัวโบว่ามันดูเหมือนกระดองเต่า (ที่ตอนเด็กๆดูการ์ตูน แบบว่าคุณเต่าหุบตัวเข้าไปในกระดองแล้วเป็นห้องมีเตียง มีเก้าอี มีทีวี)
- ถ้าจะนอนเกอร์ เกอร์ส่วนมากจะอยู่นอกเมืองไปค่ะ แล้วพักแบบHome stay รวมอาหาร๒มื้อ ๓มื้อก็อยู่ที ๒๕ ถึง ๓๐ USD  
- ที่พักในเมืองจีน ถ้าเป็นโฮสเทลจะถูกค่ะ ไม่น่าจะเกินสามร้อยบาทต่อคืน พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้
- ที่พักในจีน ถ้าเป็นโรงแรมแบบถูกๆ ไม่เอาไรมาก ก็ตั่งแต่ ห้าร้อยถึงพันนึงค่ะ (พนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้) และก็แบบหรูเลยก็ที่เป็นแบรนต่างชาติก็แพงระดับชาติค่ะ ^^
- ที่พักในรัสเซีย อันนี้ถึงเป็นโฮสเทลค่อนข้างสูงค่ะ อยู่ที่ ๕๐๐ ถึง๘๐๐ ราคานี้ส่วนมาโฮสเทลจะมีอาหารเช้าให้



การเตรียมตัว ๕ - แลกเงิน 

จีน มองโกเลีย และรัสเซีย ใช้เงินกันคนละนามสกุลกันนะคะ ดังนั้นถ้าใครจะสะดวกแลกเงินไปเลย หรือถือดอลล่าห์ไปแลกด้านใน หรือถือบัตรเดบิต ATM กดเงินสด ก็ตามสะดวกค่ะ ^^

การเตรียมตัว๖ - ภาษา

- ชาวจีนไม่พูดภาษาอังกฤษค่ะ ชาวเซี่ยงไฮ้มีพูดได้บ้าง ชาวปักกิ่งพูดได้น้อยนิด เมืองอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง 
- ชาวมองโกเลีย อันนี้๕๐-๕๐ค่ะ แต่ไม่ได้หมายถึงจำนวนคนที่พูดได้นะ แต่หมายถึงระดับความคล่องของภาษาค่ะ เพราะถ้าพูดได้นั่นหมายถึง พูดได๊ พูดได้ เจ้าของภาษาในร่างมองโกเลี่ยน
- ชาวรัสเซีย ถึงเค้าจะหน้าตา "ฝรั่ง" แต่พูดอังกฤษไม่ได้ค่ะ 

ตอนนี้้ถ้าพร้อมแล้วก็ออกเดินทางก็ให้สนุกค่ะ



Create Date : 25 กรกฎาคม 2556
Last Update : 3 กันยายน 2558 17:40:02 น.
Counter : 18198 Pageviews.

9 comment
16. บทส่งท้าย


เส้นทางรถไฟสายTrans-Siberian เป็นสิ่งที่เราใส่เข้าไปในสิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ตั่งแต่ได้รู้จักกับมันเป็นครั้งแรก ตอนนั้นน่าจะเป็นปี 2551 น่าจะเป็นหลังจากที่เราเรีนยจบได้ไม่นาน

จริงๆแล้วสิ่งที่เราใส่เข้าไปในลิส ฟังดูแล้วเหมือนเป็นสิ่งที่เรา "คิด"ว่าอยากจะทำเสียมากกว่า แต่บางอย่าง มันก็ดูจะไกลเกินไป จนถ้าคนอื่นมาล้อว่าคงจะเป็นได้ความฝัน เราก็คงไม่ได้รู้สึกคัดค้านมากมายอะไรในใจ 

การเดินทางบนรถไฟข้ามทวีปแบบนี้ ตอนที่เราเล่าให้คนอื่นฟัง ก็มีแต่เสียงบ่นว่า "โห แล้วทำไมไม่นั่งเครื่องบินไปหละ หรือว่านั่งรถไฟถูกกว่า แต่พอเราบอกรายละเอียดคร่าวๆไปว่า ค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ที่เท่าไหร่ เค้าก็จะบอกเราว่า แล้วทำไมไม่นั่งเครื่องบินไปหละ อยู่ดี 

ปีนี้ เรามีโอกาสไปแลกเปลี่ยนวัฒนะธรรมและฝึกงานที่ปักกิ่ง พอจบโปรแกรมเมื่อเดือนสิงหาคม เราก็ตัดสินใจ ถึงแม้จะไม่มีใครร่วมเดินทางไปกับเรา เราก็คงจะไปคนเดียวเพราะไหนๆ ก็อยู่ครึ่งทางตั่งปักกิ่งแล้ว



การเดินทางครั้งนี้ เลยมีแต่เราคนเดียว แต่มีเพื่อนชาวมองโกเลียที่รู้จักผ่านเพื่อนที่จีน ช่วยนำทางพาเที่ยวในอุลาบาต๊อก (เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย)
ช่วงเวลาสิบสี่วันที่ เราเดินทางคนเดียว อยู่กับตัวเอง พอได้อยู่นิ่งๆสงบๆ ได้คุยกับตัวเองมากขึ้น มันก็เหมือนกับว่าเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเพิ่มมากขึ้นด้วย ได้สังเกตสิ่งรอบตัว ที่เราคงจะไม่สังเกตเห็น ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และได้เติบโตขึ้นมาอีกนิด 

จตุรัสแดงเป็นสถานที่สุดท้ายที่เราได้เยี่ยมชม เรานั่งรถไฟครั้งสุดท้ายเพื่อเดินทางไปที่สนามบินร่างกายเราเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนล้าที่เราไม่คิดจะบ่นให้ใครฟังเลยแม้แต่น้อย 

เวลาสิบสีวัน ที่เราเดินทางจากปักกิ่งจนมาถึงณ.จุดนี้ มีสิ่งต่างๆที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย มีกี่ครั้งไม่รู้ต่อกี่ครั้้งที่เราคิดถึงที่นอนของตัวเองในบ้านของตัวเอง กี่ใครที่เราฝันว่าถ้าตื่นขึ้นมา แม่จะทำข้าวต้มร้อนๆ หมูทอดกับไข่เจียวเตรียมไว้ให้ มีกี่ครั้งที่เราคิดว่าถ้าหลงทางก็จะโทรศัพท์ขอให้พ่อขับรถมารับกลับบ้าน แต่ถึงจะมีความคิดถึงแบบนั้นเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ กลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกท้อถอยที่่จะเดินทางต่อไปเลย แต่เรากลับเฝ้าขอบคุณ ถึงความโชคดีของตัวเอง ที่ได้ออกเดินทาง ขอบคุณถึงสิ่งต่างๆที่เราได้เรียนรู้มา และถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้เติบโตขึ้นเหมือนอย่างที่เราหวังไว้ เราก็ยังรู้สึกขอบคุณอยู่ดี :)





Create Date : 25 กรกฎาคม 2556
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 18:46:38 น.
Counter : 793 Pageviews.

0 comment
15. จตุรัสแดง ที่ไม่ได้มีความหมายเหมือนชื่อ
วันที่ 14 กันยายน 2554
อากาศแจ่มใส
กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย




รถไฟจอดที่สถานีมอสโค เช้าวันนี้เราไม่อยากจะตื่นจริงๆ อาจเป็นเพราะเริ่มรู้สึกชินกับการนอนในรถไฟซะแล้ว

เมื่อคืนนี้ มีคู่รักคู่หนึ่ง ดูแล้วคาดว่าน่าจะค่อนข้างมีอายุแล้วต้องเดินทางจากกัน ฝ่ายผู้ชายเดินทางมาส่งพร้อมดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง ทั้งสองนั่งคุยกันสดใสร่าเริง จนกระทั่งถึงเวลาที่รถไฟใกล้ออก เจ้าหน้าที่มาเรียกให้บุคคลทีไม่ใช่ผู้โดยสารเดินออกจากโบกี้ขบวนรถไฟ

จากนั้นฝ่ายผู้ชายก็เดินออกไปจากขบวนรถ แล้วมายืนมองตรงกระจก จนกระทั่งรถไฟก็เริ่มเคลื่อนออกอย่างช้าๆ ทั้งสองค่อยๆจากกันไป...

การเดินทางด้วยรถไฟ ทำให้เราได้ห็นการจากลาของใครหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่เดินทางมาส่งลูก หรือคู่รักที่ต้องล้างลาจากกัน เพื่อนที่ต้องเดินทางไกล ทั้งหมดนี้ มันจะเริ่มด้วยความสดใส แต่พอเมื่อรถไฟเคลื่อนออก ใจกลับหายวาบทิ้งไว้ให้กับคนบนชานชาลา และจากนั้นก็กลายเป็นความทรงจำและอดีตที่ผ่านไป

พอรถไฟจอด ตอนนั้นเป็นเวลาตีห้าตรง เราใช้เวลาอย่างใจเย็นเดินทางเข้าไปในสถานี ตั้งใจจะรอให้รถไฟฟ้าเปิด ซึ่งเป็นเวลาตีห้าครึ่ง แล้วค่อยเดินทางไปยังจตุรัสแดงในเวลาที่ชาวมอสโคยังหลับไหลอยู่

พอโบฝากกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินมาที่เก้าอี้เพื่อใช้เวลาอ่านทบทวนแผนการที่เตรียมไว้ค่ะ ที่นั่งใกล้ๆกับเราเป็นชายสูงอายุคนหนึ่ง พอเค้าเห็นเรากำลังจะนั่ง ก็เสนอยื่นกล่องกระดาษให้เรานั่งทับเพราะเก้าอี้ที่สถานนีเป็นเก้าอี้แสดนเลสที่แข็งและเย็นเฉียบ เราได้แต่ยิ้มกว้างเป็นการของคุณในน้ำใจที่ชายคนหนึ่งหยิบยื่นให้แก่คนแปลกหน้า


ที่มาของชื่อจตุรัสแดงนี้
มาจากกำแพงเมืองหรือเคลิมที่มีสีแดงนี่เอง ซึ่งอันที่จริง Red ในภาษารัสเซียแปลว่าสวยงาม ดังนั้น ความหมายของ เรด สแควน่าจะแปลว่ากำแพงเมืองที่สวยงามมากกว่า แต่ว่าเนื่องจากเป็นสีแดงด้วย
ทุกอย่างเลยคล้องและพ้องกันไปจนเหมาะเจาะเลย 


ได้เวลาเก้าโมงครึ่ง เราซื้อบัตรเข้าเคลิมเพราะต้องการเข้าชมห้องเก็บสมบัตร หรือ อามารี่ในช่วงสิบโมง

ด้านในเคลิมแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคืออามารี่หรือตึกที่เก็บสมบัติและของใช้ของพระราชวังครั้งที่ยังเป็นระบอบกษัตริย์อยู่ รวมทั้งห้องไดมอลที่ต้องซื้อตั๋วแยกต่างหากอีกทีด้วย และอีกส่วนที่อยู่ภายในกำแพงสีแดงคือโบสถ์ที่มีมากมายเรียงรายติดกันอยู่ด้านในรวมทั้งสวนสวยขนาดย่อมภายในอีกด้วย


นักท่องเที่ยวส่วนมากจะซื้อตั๋วสองใบค่ะ คือตั๋วเข้าชมเคลิมเพื่อเข้าไปด้านในและชมโบสถ์และในส่วนของอามารี่การเข้าชมภายในเคลิมอย่างเดียวนั้นไม่ค่อยยุ่งยาก

อาจยากหน่อยตอนซื้อตั๋วและต่อแถวเข้าคิว แต่ที่เราว่ายุ่งยากมีพิธีมากจริงๆนั่นก็คือห้องเก็บสมบัตรอามารี่ ซึ่งอนุญาตให้เข้าชมเป็นรอบๆ เช่นถ้าจะเข้าชมรอบสิบโมงเช้าต้องซื้อตั๋วตั่งแต่ตอนเก้าโมงครึ่ง และมายืนต่อแถวยาวเหยียด ถ้าซื้อตั๋วรอบเก้าโมงครึ่ง แต่ถ้าไม่ยอมเข้าเลย เดินทอดน่องชมอย่างอื่นจนเลยเวลาที่อนุญาตให้เข้าชมไปก็จะมีปัญหา เพราะมีเวลาระบุไว้ชัดเจนที่ตั๋ว ไม่สามารถใช้รอบอื่นได้ เท่ากับเสียเงินฟรี และภายในอามารี่นี้มีทั้งหมดสองชั้นค่ะ


ชั้นที่หนึ่งแสดงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอาพรอันสวยงาม ชุดที่เรายังจำได้ถึงตอนนี้คือชุดราตรียาวของผู้หญิง ซึ่งหางเสื้อยาวเหยียดไปหลายเมตร ตลกดีเพราะเราคิดว่า เวลาเดินไปไหน พื้นตรงนั้นก็คงจะสะอาดเป็นทาง เพราะได้รับการกวาดจนสะอาดเอื่ยมจากหางชุดราคาแพงระยัง

แต่จุดที่เราโปรดปรานมากที่สุดก็คือจุดแสดงรถม้าพระที่นั่ง ขอบอกว่าสวยอย่างเหลือเชื่อจริงๆ

ส่วนชั้นที่สองจะเป็นห้องแสดงเครื่องใช้ต่างๆ ตั่งแต่เครื่องใช้ทางศาสนาซึ่งเป็นศาสนาคริสต์ เครื่องใช้และเครื่องป้องกันการสงคราม เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องประดับมากมาย และอื่นๆ

โดยสรุปโบคิดว่าถึงตั๋วเข้าชมห้องนี้จะแพง แต่ก็คุ้มค่าที่ได้เห็นของที่ถูกสร้างมาด้วยความวิจิตรปราณีตเช่นนั้น


โบสถ์ในเคลิมมีอยู่หลายโบสถ์ เลือกเข้าเอาสักสองที่ก็เพียงพอแล้ว แต่ด้วยความงกเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าตั๋ว เราเลยเข้าให้ครบทุกที่ ซึ่งจริงๆแล้วด้านในก็ดูคล้ายกันไปหมด คือเป็นโบสถ์แบบออทอด็อกซ์ เคร่งครึ่มและสง่างาม มีจิตรกรรมฝาฝนังเป็นรูปทางศาสนา





Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 18:30:40 น.
Counter : 652 Pageviews.

0 comment
14. วันฝนตกกับพระราชวังฤดูร้อน
วันที่ 13 กันยายน 2554
ฝนตก
พระราชวังฤดูร้อน พีเตอร์ ฮอฟ


วันนี้เราตื่นแต่เช้าตั้งใจมาทำการบ้านเรียนรู้วิธีการเดินทาง รวมทั้งประวัติศาสติกี่ยวกับพระราชวังปีเตอร์ฮอฟให้พอเข้าใจหอมปากหอม 
พอนั่งเล่นอยู่ได้แค่นิดเดียวก็เกิดหิวขึ้นมา แย่หละ มองนาฬิกาพึ่งจะแปดโมงเช้าเอง

เราเลยออกไปซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง พอผลักประตูโฮสเทลออกไป ก็พบว่าฝนกำลังตกพรำๆอยู่ มันชวนให้รู้สึกเหงาหงอยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก... วันนี้เป็นวันที่ ๑๓ ของการเดินทางเพียงลำพัง

ขอพูดถึงลักษณะบ้านเรือนในประเทศรัสเซียหน่อย ที่พักอาศัยของชาวรัสเซีย โดยส่วนมากจะเป็นอพาทเมนต์และตึกแถว จะเห็นบ้านเป็นหลังๆได้ ก็ตอนนั่งรถออกไปนอกเมืองแล้ว และบ้านที่เห็นจะเป็นบ้าน ไม้ที่สร้างไว้เรียบๆ ด้านหน้าบ้านจะมีสวนและแปลงปลูกผักน่ารักดี (เท่าที่เห็นนะจ๊ะ)

ส่วนตึกในตัวเมืองจะเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลเจ้าของบ้านได้สิทธิ์เช่าที่กับรัฐ ไม่สามารถเป็นเจ้าของถาวรได้ ทำให้เราย้อนคิดถึงไปถึงประเทศจีน เป็นเรื่องที่ชาวจีนเล่าให้ฟังว่า การซื้อบ้านที่จีนก็คือการเช่าระยะยาวกับรัฐบาล ส่วนว่ายาวนานแค่ไหน ก็แค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้นเอง ในทางกลับกันราคาที่พักอาศัยในเมืองใหญ่ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้ หรือ ปักกิ่งกับแพงลิบลิ่ว

กลับไปที่เรื่องของอาหารเช้า ขนมที่เราซื้อมาเป็นแผ่นแป้ง นิ่มๆใส่ไส้ชีส
มายองเนส ไก่และมะเขือเทศนิดหน่อย (แต่ในรูปผักอย่างเยอะ) หน้าตาคล้ายๆคาบั๊บ ต่างกันตรงที่ขนมนี้มีขีสเยอะกว่ามากโข 
เพราะคนรัสเซียเป็นขนชาติที่เติบโตมากับชีสประเทศหนึ่งเลยหละ พวกเขามีชีสชนิดแปลกๆ เยอะมาก วันนี้เลยกินชีสซะจนแปร้

เราถือขนมเดินหลบฝนกลับไปถึงที่พัก เวลาที่ฝนตกพรำๆแล้วเราต้องเดินตากฝน เราชอบคิดว่าตัวเองเป็นแมวที่ไม่อยากเปียกโดนน้ำฝน แต่ต้องรีบเดินหน่อยเพราะฝนเริ่มจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

พอถึงห้องทานอาหารก็เจอกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนีที่พึ่งเช็คอินเข้ามาใหม่ และกำลังนั่งจิบชาคุยกันอยู่ เสียงดังพอดู พวกเราทำความรู้จักกันตามแบบฉบับนักท่องเที่ยวแบกแพคเกอร์ คุยไปมาเลยรู้ว่าชาวเยอรมันกลุ่มนี้ออกเดิน ทางท่องเที่ยวไม่ได้กลับประเทศมามากกว่าห้าปีแล้ว เที่ยวไปทำงานไป หยุดพักไป เรียนรู้วัฒนธรรมไป พวกเขาหยุดที่ไทยปีนึงด้วยนะ

หลังจากซักพักใหญ่ๆ ฝนตกน้อยลงมาก ถ้ามัวแต่รอให้ฝนหยุดสนิทคงอาจไม่ได้ไปไหนเลยก็ได้ เรานั่งรถไฟฟ้ามาต่อรถมินิบัส ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆจากที่พักก็ถึงพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ


การเดินทางไปปีเตอร์ฮอฟออกจะง่ายนิดเดียว แค่มองหารถตู้ที่มีป้าย คำว่า"น้ำพุ" เขียนอยู่ (เป็นภาษารัสเซียนะจ๊ะ) ในตอนแรก เรานึกสงสัยว่าทำไมถึงไม่เขียนว่า"ปีเตอร์ฮอฟ" ทั้งๆที่ตัวพระราชวังเองน่าจะเป็นจุดเด่นมากกว่า 
แต่พอได้เห็นด้านในทั้งหมดแล้ว เลยไม่สงสัยเลยว่าทำไมรถตู้จึงเลือกเขียนคำว่า "น้ำพุ"

ถ้าจะให้เปรียบเทียบพระราชวังในเซนต์ปีเตอร์เบริก พระราชวังฤดูหนาว
คงมีจุดเด่นตรงตัวพระราชวังและงานศิลปะที่เต็มอยู่ด้านใน

พระราชวังฤดูร้อนคงเป็นเรื่องของสวนและบ่อน้ำ-ความสดชื่นของฤดูร้อน

ส่วนพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ แน่นอนว่าเป็นเรื่องของน้ำพุ


พระราชวังและสวนแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งพระราชวังที่ถูกเผาทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ครั้งที่เยอรมันบุกเข้ายึดเซนปีเตอร์ให้เป็นเมืองท่า 
ดังนั้นตัวพระราชวังและสวนจึงเป็นการสร้างเลียนแบบของเก่าที่ถูกเผาทำลายไป 

การซื้อตั๋วเข้าปีเตอร์ฮอฟต้องซื้อสองครั้งนะคะ ครั้งแรกเป็นตั๋วที่เข้าไปด้านในซึ่งจะเป็นในส่วนที่รวมทั้งหมดยกเว้นด้านในตัวพระราชวัง ถ้าต้องการเข้าไปชมพระราชวังจะต้องซื้อตั๋วเพิ่มแยกต่างหากอีกทีค่ะ

ภายในสวนมีน้ำพุติดตั้งเป็นจุดๆทั่วเต็มสวนไปหมด จุดหลักที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว น้ำพุที่งามอลังการ ตระการตา และพ่นน้ำได้สูงที่สุดนั้น ตั้งอยู่ติดกับตัวพระราชาวัง

น้ำพุที่พระราชวังนี้นอกจากจะมีจุดเด็นตรงสวยงามอลังการแล้วยังมีความวิเศษตรงที่น้ำพุที่พุยิงขึ้นมาเกิดจากการคำนวนแรงดันตามธรรมชาติอีกด้วยด้วยความเลื่อมใสในความฉลาดนี้เอง พระราชวังปีเตอร์ฮอฟจึงถูกจัดให้เป็นมรดกโลกไปในที่สุด



นอกจากน้ำพุจะหรูหรา สง่างามและชาลฉลาดแล้ว บางครั้งน้ำพุก็ทำให้ประหลาดใจเหมือนกัน เช่นน้ำพุที่เป็นรูปดอกกุหลาบในพุ่ม หรือน้ำพุที่ติดอยู่หลังเก้าอี้ม้านั่ง ที่จะฉีดน้ำขึ้นมาเป็นครั้งคราวหลอกให้คนไปนั่งพักเปียกเล่น หรือทางเดินที่ถ้าหลงเดินไปผิดจังหวะน้ำพุก็จะฉีดขึ้นมา ทำให้เปียกแน่นอนเพราะเป็นทางเดินแสนกลขี้เล่นที่ค่อนข้างยาว วิ่งยังไงก็ไม่พ้นเปียก




Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 17:10:42 น.
Counter : 913 Pageviews.

0 comment
13. ขอเชิญรับชม รัสเซียบัลเล่ต์
วันที่ 12 กันยายน 2554
เป็นเวลากลางคืน อากาศเย็น ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
เซนต์ ปีเตอร์เบริส



เวลาเก้าโมงสิบห้านาทีในตอนเช้า ตอนที่เราเก็บตั๋วชมบัลเล่ต์เรื่องSwan Lake ที่มีโปรแกรมแสดงคืนนี้ ใส่ลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง
"สำหรับคืนนี้ มีตั๋วเหลือแค่๕ใบสุดท้ายค่ะ ถ้ามาคนเดียวตั๋วใบนี้เป็นที่นั่งที่สวยเลยทีเดียว" คนขายเชียร์บอก 

เวลาประมาณหกโมงกว่าๆ บริเวณริมแม่น้ำ เราเดินเล่นรอเวลาที่ บัลเล่ต์จะเริ่มแสดง เดินมาเรื่อยๆแล้วก็หยุดที่ริมแม่น้ำแห่งนี้ บริเวณที่พื้นน้ำกลายเป็นสีทอง ใช่แล้ว เป็นสีทอง เพราะแสงแดดที่สาดกระทบมายังกระจกที่ตึกข้างๆ และแสงนั้นสะท้อนเป็นสีทองจัดลงมาที่ผืนน้ำ เรา
ถอนสายตาออกจากภาพแบบนี้ได้ยากจริงๆ



พอเวลาใกล้ๆจะหนึ่งทุ่ม เราก็พร้อมจะไปดูบัลเล่ต์ เรามาเร็วถึงโรงละครก่อนที่การแสดงจะเริ่ม เลยนั่งรออยู่พรางคิดไปว่า เราน่าจะติดชุดที่สวยกว่านี้มา  

ระหว่างที่เรานั่งรอการแสดงอยู่นั้นเอง มีเด็กน้อยคนหนึ่ง เธอแต่งตัวสวยน่ารักเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยๆตัวจริง มองดูแล้วท่าทางเหมือนว่า เธอคงเคยเรียนบัลเลต์ เพราะเธอได้ฝึกเขย่งขาซ้อมเต้นไปพลางๆ โดยระหว่างนั้นคุณแม่ของเธอก็เผ้ามองอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับรอยยิ้มสนับสนุน

ความทรงจำครั้งเท่าที่เราจะมี กับนิทาเรื่องสวอนเลค คงเป็นตอนที่ดูการ์ตูนบาร์บี้ครั้งล่าสุด และนั่นก็นานมาแล้ว แต่จำเนื้อเรื่องย่อๆก็คือ

...เจ้าหญิงโอเด็ตถูกพ่อมดร้ายสาปให้กลายเป็นหงส์ ซึ่งจะกลายคืนร่างเป็นมนุษย์ได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น 

มีเจ้าชายองค์หนึ่งออกเดินทางเพื่อมาล่าหงส์ ในระหว่างการล่า เจ้าชายกลับได้พบกับหงส์ตัวหนึ่ง ที่กลายร่างเจ้าหญิงสาวและเกิดหลงรักเธอเข้า

ความรักของเจ้าชายนี่เอง จะเป็นสิ่งที่แก้คำสาบและทำลายเวตมนต์ของพ่อมด พ่อมดจึงคิดแผนการให้ลูกสาวของเค้า ที่มีชื่อว่าโอดีนแปลร่างให้เหมือนเจ้าหญิงหงส์และปรากฎกายขึ้นในงานเต้นรำของเจ้าชาย

เจ้าชายผู้ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวปลอม เลยประกาศความรัก ขอแต่งงานกับโอดีน โดยระหว่างนั้นเจ้าหญิงโอเด็ตก็ทรงเห็นและพยายามที่จะบอก แต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะเจ้าชายได้ประกาศความรักกับหญิงนางอื่น และเจ้าหญิงโอเด็ตต้องอยู่ในร่างหงส์ตลอดไป.........

แล้วเจ้าหญิงโอเด็ตจะแก้คำสาบได้อย่างไร เจ้าชายจะหลงกลพ่อมดร้ายหรือไม่ ก็คงจะต้องติดตามกันเอาเอง

บัลเล่ต์ เป็นการแสดงที่ต้องใช้ท่าทางและสัญลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญในการเล่าเรื่อง โดยในเรื่องสวอนเลคจะใช้โดยเฉพาะการใช้สีขาวแทนความดี และสีดำแทนความชั่วร้าย





Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 16:42:09 น.
Counter : 1571 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

อย่าลังเล
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]