12. พุชกิ้น
วันที่ 12 กันยายน 2554
เมฆมาก
พระราชวังแคทเธอรีน พาเลซ หรือ หมูบ้านพุชกิ้น



เช้าวันนี้เราวางแผนไปเที่ยวที่หมู่บ้านพุชกิ้นเพื่อชมพระราชวังแคทเธอรีน วิธีไปหมู่บ้านพุชกิ้นมีสองวิธี คือนั่งรถเมล์หรือนั่งรถไฟ

เราตั้งใจจะนั่งรถเมล์ไป แต่ว่าดันหาป้ายรถที่ว่าไม่เจอ เลยเปลี่ยนแผนไปทางรถไฟแทน เพราะเราคิดเอาเองว่าหมู่บ้านพุชกิ้นไม่น่าจะหายากเย็นอะไรเนื่องจากเป็นแห่งท่องเที่ยวสำคัญ... ระหว่างที่คิดแบบนั้น
ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงกว่าๆเข้าไปแล้ว เราก็นั่งรอรถไฟมาได้เกือบชั่วโมง แผนการที่เตรียมมาไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ เลยเสียเวลาไปมากโขเลยทีเดียว

ความตรึงเครียด  ความรู้สึกกลัว ว่าจะกลับมาเซ็นปีเตอร์ไม่ทัน แล้วจะพลาดดูบัลเลตรอบตอนสองทุ่

จริงๆแล้วเราเป็นคนเครียดง่ายมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีเวลาเป็นข้อจำกัดแล้วด้วย ไม่ต้องพูดถึง เพราะโดยธรรมชาติข้อนี้แล้ว เราจึงไม่เหมาะกับการแบกเป้ เที่ยวไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น แต่ว่าจริงๆ จะลองซักครั้งก็ดีเหมือนกันนะ

เจ้าหน้าที่ประกาศว่าถึงสถานีพุชกิ้นแล้ว แต่เธอประกาศด้วยสำเนียงรัสเซีย เค้าออกเสียงไม่ค่อยเหมือนกับที่เราเคยรู้เคยได้ยินมา เลยไม่แน่ใจ แต่ว่าตอนนั้นมีคนลงที่สถานีนี้เยอะมาก เราเลยลองถามคุณป้าที่นั่งข้างๆดู โดยเขียนคำว่าพุชกิ้นเป็นภาษารัสเซียแล้วยื่นไปให้ดู คุณป้าก็พยักหน้า เราหอบข้าวของออกจากรถไฟ ถ้าช้ากว่านี้แค่ 15วินาที เราคงมาไม่ถึงพุชกิ้นเป็นแน่แท้

จากสถานีรถไฟต้องนั่งรถเมล์หรือรถตู้ต่อไปถึงตัวพระราชวัง เมื่อไม่มีเวลาให้เดินเด๋อด๋า เราก็ใช้ความมั่ว โดยขึ้นรถไป แล้วถามพนักงานขับว่า "พุชกิ้น" เสียงสูง แสดงความเป็นประโยคคำถาม แต่แล้วคนขับก็ตอบเดาได้ความว่าาประมาณว่า "ก็ที่นี่แหละพุชกิ้น พุชกิ้นคือชื่อหมู่บ้านนะจ๊ะ อีหนูคนนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยใช่มั๊ย"

อ้าว แล้ววันนี้จะถึงมั๊ยเนี่ย...

แต่แล้วก็มีคุณป้าใจดีอีกคนนึง แสดงตัวเข้ามาช่วยเหลือ เรายื่นแผ่นกระดาษให้ดู คุณป้าก็พยายามบอกว่า ใช่แล้วจ้า รถเมล์คันนี้แหละ และในระหว่างทางเราก็ได้รับความช่วยเหลือจากคุณป้าคนนี้ตลอด จนถึงป้ายรถที่ควรจะลง เราโบกมือบ๊ายบายคุณป้า ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะได้รับความช่วยเหลือมากมายจากคุณป้าสูงอายุ

พระราชวังแคทเธอรีนโดยตัวของเค้าเองแล้วนับว่าสวยจัด ดูอลังการตามความเป็นพระราชวัง แต่เพราะตลอดเวลาที่เราเดินชมพระราชวังอยู่นั้น เราก็ได้แต่คิดว่า "ถ้าเปรียบพระราชวังแคทเธอรีนกับพระราชวังฤดูหนาวที่เซ็นต์ปีเตอร์แล้ว พระราชวังฤดูหนาวสวยกว่าตั่งเยอะ" พอเราคิดซะแบบนี้ ความรู้สึกเสียดายเวลาและค่ารถก็เกิดขึ้น สงสัยคำพูดที่ว่า "ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะการเปรียบเทียบ"  คงจะจริงไม่น้อย





Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 16:42:28 น.
Counter : 1280 Pageviews.

0 comment
11. เซ็นต์ ปีเตอร์เบริกส์ กับ พระราชวังฤดูหนาว
วันที่ 11 กันยายน 2554
ฟ้าใส อากาศดี
เซนต์ ปีเตอร์เบริก



เขามองจ้องลงมาอยู่อย่างนั้น 
ส่งสายตาเหมือนจะบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น...หรือแค่เค้าเพียงแต่หว่านเสน่ห์ไปทั่วกันแน่นะ?

ถ้าใครอยากสัมผัสความรู้สึกพิเศษ ว่ามีหนุ่มกรีกโบราญหน้าตาหล่อเหลาขนาดไหน ขอเชิญทางนี้เลยค่ะ ที่ี่พระราชวังฤดูหนาว ณ เซนต์ปีเตอร์เบิรก บริเวณชั้นที่๑ ห้องที่เท่าใหร่จำไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าเขาคนนั้นจะยังรอคอยอยู่ ตลกดีที่เราตกหลุมรักนิดๆกับ หนุ่มรุปปั้นกรีกโบราญ 

ย้อนกลับไปเมื่อรุ่งเช้า เกือบจะแปดโมงเช้าแล้ว ฟ้าที่เซนต์ปีเตอร์เบิรกยังไม่สว่างเลยซักนิด เซ็นต์ปีเตอร์เบริกพระอาทิตย์ขึ้นช้าเหลือเกิน เราเดินแบกเดินลากกระเป๋าอย่างอ่อนล้าไปยังโฮสเทลที่จองเอาไว้ เดินวนเวียนอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เพราะหาที่พักไม่เจอ อ่อนล้าพร้อมกับมีความต้องการเข้าห้องน้ำเป็นอย่างมาก จะว่าไปแล้วนี่อาจจะเป็น ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราปวดชิ้นฉ่องมากขนาดนี้ ย้อนคิดกลับไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทนไปได้ยังไง 

เราก็ตั้งใจใช้มุขประหยัดเหมือเดิมคือ ฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วออกไปหาข้าวหาปลากิน เดินย่อยชมวิว จากนั้นค่อยกลับมาcheck in ตามเวลาที่โฮสเทสกำหนดไว้ คือหลังบ่ายสองโมง แต่ก็โชคดีอีกแล้วที่เจอรีเซฟชั่นใจดี บอกว่าให้เข้าพักได้เลย เพราะมีเตียงว่างอยู่แล้ว เราเลยจัดการอาบน้ำ หลังจากที่ไม่ได้อาบมาหลายวันมาก เราก็เล่นอาบซะนาน พอออกมาก็เจอรีเซฟชั่นอีกคน 
เราเข้าไปพูดคุยทักทายกับเธอ เธอคนนี้เป็นชาวรัสเซียเชื้อสายเกาหลีที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สองรุ่นแล้ว และอาจเพราะว่าเราอาจจะคิดถึงคนเอเชีย เราเลยนั่งคุยกับเธอนานเสียหน่อย แล้วเธอก็บอกว่า "รู้มั๊ย ชั้นรู้สึกสนิทกับเธอเป็นพิเศษเลยนะ เพราะว่าเธอหน้าตาคล้ายพี่สาวชั้นเลย" ไม่อยากจะเชื่อเลย แม้มาเยือนรัสเซียก็ยังมีคนมาทักว่าเราหน้าโหล 

เราออกไปเดินเล่นด้านนอกได้แค่เดี๋ยวเดียวก็รู้สึกล้า แม้พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว แต่ฟ้าก็ยังไม่สว่างเพราะมีเมฆมาคลุมอยู่ เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง
แถมอากาศยังขมุกขมัวไม่สดใสอีกด้วย และความขี้เกียจ เราเลยตั้งใจว่าจะพักอยู่ในห้องไม่ทำอะไรซักพัก เติมพลังให้กลับมาอึดและถึกเหมือนเดิม

แต่พอนั่งสักพักใหญ่ๆก็มีแสงแดดอุ่นๆสาดเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นเหมือนจะเตือนให้โบจำว่า "เวลาก็เหมือนแสงแดด ถ้าไม่ใช้ก็หมดไป ไม่มีอะไรอยู่รอเราตลอด" โบเลยมีแรงแข็งขันขึ้นมาแล้วพร้อมจะออกเดินทางอีกครั้ง


พระราชวังสีเขียวอ่อนแห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางกรุงเซนต์ปีเตอร์เบิรก ความรู้สึกผูกพันธ์ที่เรามีกับพระราชวังนี้คือ วังในการ์ตูนเรื่องอานาเตเชีย ขอสารภาพว่าในตอนแรกเราไม่คิดว่าจะมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับพระราชวังนี้ แน่นอนว่าภายในตัวพระราชวังเองคงสวยงามอลังการตามแบบฉบับของเซนต์ปีเตอร์
เมืองที่พระเจ้าซาร์สร้างตั้งใจสร้างให้สวยงามทัดเทียมกับประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป แต่กระนั้น เราก็ยังมีความรู้สึกเรียบเฉยต่อพระราชวังนี้อยู่ดี


แต่พอได้เข้าไปสัมผัสภายในสักพักจึงเข้าใจว่า พระราชวังแห่งนี้ นอกจากจะมีความสวยงามในตัวเองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมแล้ว ด้านในยังเป็นพิพิธภัณฑ์และห้องแสดงผลงานศิลปะในยุคและประเทศต่างๆ

เราเริ่มจากชั้นที่หนึ่งที่เล่าเรื่องราวของศิลปะยุคก่อนคริสศักราช มีงานศิลปะของอียิปแสดงผ่านข้าวของเครื่องใช้สมัยที่ครั้งอียิปยังรุ่งเรือง รวมทั้งยังจัดแสดงมัมมี่ตัวจริงเสียงจริงอีกด้วย

ถัดไปอีกห้องหนึ่งในชั้นเดียวกันเป็นจัดแสดงรูปปั้นกรีกโรมันโบราณ เราจมอยู่กับห้องนี้เป็นเวลานานพอสมควร เพราะนอกจากจะแอบตกหลุมรักเล็กๆ กับรูปปั้นหนุ่มแล้ว เรายังหลงไหลและทึ่งถึงความเป็นอัจฉริยาทางด้านศิลปะ ว่าทำไมรูปปั้นมีสีขาวเหล่านี้ถึงสามารถบอกเล่าเรื่องราวถ่ายทอดอารมณ์ความรูสึกออกมาได้ดีมากขนาดนี้ ถ้ามีใครเคยดูหนังฝรั่งเรื่อง lie to me ที่ได้บอกว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้ามีความมัหศจรรย์ที่สามารถบอกอารมณ์ ความรู้สึก และถ้าถูกฝึกให้จ้องมองดูดีๆ เราจะมีความสามารถบอกได้ว่าคนอื่นมคิดอะไรอยู่ แต่การศึกษากล้ามเนื้อบนใบหน้าคงมีมานานแล้ว ผ่านทางจิตรกรอัจฉริยะเหล่านี้ รูปปั้นเหล่านี้จึงแสดงสีหน้าได้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ขึ้นไปชั้นที่๒ เป็นห้องจัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆแบ่งตามประเทศในทวี ยุโรป รวมทั้งยังมีผลงานรูปถ่ายที่ออกจะอาร์ตๆหน่อยอีกด้วย เหมาะสำหรับเอาใจคนรักศิลปะทุกรสนิยม

สิ่งที่ทำให้เราตกตลึงไม่ได้มีแต่เพียงผลงานศิลปะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมทั้งตัวห้องที่จัดแสดงผลงานเองก็สวยงามจัดเป็นงานศิลปะเสียเองด้วย


สุดท้ายเราใช้เวลาจม
ขลุกอยู่ในพระราชวังไปเกือบห้าชั่วโมงแต่ก็ยังรู้สึกอยู่ได้อีกเรื่อยๆไม่เบื่อเสียที ถ้าจะให้เราอธิบายความสวยงามของห้องต่างๆ เราคงอธิบายได้ว่า "สง่างาม เพลิดเพลิน เจริญตา เจริญใจ สวยงาม" ถ้ายังคิดไม่ออกว่าอ่านแล้วควรจะรู้สึกยังไงดี ขอแนะนำว่าให้ลองค้นหาภาพในกูเกิ้ลดูเพราะภาพแทนความหมายได้ดีกว่าคำพูดมาก หรือดีกว่านั้นลองมาสัมผัสด้วยตัวเองเลยน่าจะดีกว่า



เซนต์ปีเตอร์เบริก ยังเป็นที่สถิติของรูปพระแม่คาซาน (พระแม่มารียา) ที่ขุดขึ้นมาจากเมืองคาซานตามความบอกเล่าจากความฝันของเด็กหญิงคนหนึ่ง

เด็กหญิงคนนี้ฝันว่ามีรูปพระแม่ฝังอยู่ใต้ดินในเมืองคาซานให้รีบไปขุดขึ้นมา ไม่อย่างนั้นไฟจะไหม้เมืองคาซาน ชาวเมืองก็ไปขุดกันขึ้นมา และก็พบว่ามีรูปภาพนี้อยู่จริงๆตามคำบอกของเด็กหญิงคนนั้น 
ซึ่งรูปนี้เอง มีความศักดิ์สิทธิ์ตรงที่ จะถูกเชิญไว้บนเรือยามที่เรือต้องออกทำการสงครามและนำชัยชนะมาให้เสมอ 

ซึ่งรูปนี้ก็ถูกเชิญมาไว้ที่เซนต์ปีเตอร์ฯ ครั้งที่ยังเป็นเมืองหลวงเก่าส่วนโบสถ์ที่ดูคล้ายกับโบสถ์หัวหอมในมอสโคเป็นจุดที่พระเจ้าซาร์ถูกลอบปรงพระชนค่ะเลยมีการสร้างโบสถ์ทับไว้ตรงจุดนี้





Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 17:23:37 น.
Counter : 1456 Pageviews.

0 comment
10. ถนนของมอสโค
วันที่ 10 กันยายน 2554
ฝนตก
กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย



มีโบสถ์แห่งหนึ่งเข้าตรงหัวมุ
มถนน เราตัดสินใจเดินเข้าไปดู... ด้านในมีควันและกลิ่นธูปหอมและความขลังของผู้นับถื
คริสนิกายออร์โธดอกซ์อยู่เต็มไปหมดไม่แพ้ต่อกลิ่นควันธูป แล้วเราก็หันไปสบตากับคุณยายหลายคนที่หันมามองเรา มันไม่ใช่สายตาแสดงความรักเกียจหรือกีดกัน มันไม่ใช่สายตาที่ขับไล่หรือเชิญชวน มันเป็นสายตาปนไปด้วยความประหลาดใจกับงุนงง มันเป็นความรู้สึกตรึงเครียดแบบแปลกๆ ความรู้สึกที่ว่าเราทำอะไรผิดไปรึเปล่าเกิดขึนอยู่ข้างในเต็มไปหมด เราจึงรีบหนีออกมา หลังว่าจะไม่มีใครซักคนเดินมามาเพื่อบอกว่าเราทำอะไรซักอย่างผิด



จากนั้นเราเดินตามสีทองของยอดโบสถ์แห่งนึง ที่เห็นอยู่ลับตา เดินมาซักพัก
ก็โบสถ์ ที่มีชื่อว่าThe cathedral of Christ the Savior เต็มไปด้วยงานวาดศิลปะ เรื่องราวก็เกี่ยวพันกับศาสดาและศาสนาคริสต เดินอยู่ข้างในซักพัก ก็มีผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง คงจะเป็นชาวรัสเซีย เค้าพูดกับเราเป็นภาษารัสเซีย เราฟังไม่ออกสักคำ แต่ถ้าให้เดาจากน้ำเสียงและเหตุการณ์แล้ว คิดว่าน่าจะมาขออะไรซักอย่างจากเรา


ซักพักใหญ่ๆฝนก็ตกลงมา จากเม็ดเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเดินต่อไปไม่ได้ เราเลยหบลบเข้ามุม มุมหนึ่งของจตุรัสแดง มองเข้าไปก็พบว่าภายในถ้ำมีเจ้าสาวเจ้าบ่าวอยู่สองคู่ที่น่าจะมาถ่ายพรีเวทดิ่ง กำลังหลบฝนอยู่เหมือนกัน

ฝนตกมาได้สักพักค่ะ แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แอบเหลือบเหลือบมองเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดแต่งงาน ทั้งขาวสะอาดและสวยเลิศ พวกเค้าดูไม่มีท่าทีจะหงุดหงิดหรือโมโหต่อฝนที่อยู่ๆก็ตกลงมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลัยดูสดชื่นรื่นรมย์ไปพร้อมกับสายฝน 
แล้วอยู่ๆก็มีใครคนหนึ่งร้องเพลงขึ้นมาเป็นภาษารัสเซีย แล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่หนึ่งก็เริ่มเต้นรำกัน แล้วชวนให้อีกคู่นึงร้องรำทำเพลงเต้นรำไปกับพวกเข้าด้วย  แล้วอีกเพียงคู่เดียว ก็มีใครซักคนเปิดแชมแปนเพื่อเฉลิมฉลองที่พวกเราติดฝนอยู่ด้วยกัน ลองกลับมาคิดดูแล้ว มันรู้สึกเหมือนกับว่า เราได้เข้าไปร่วมฉลองงานแต่งงานกับพวกเขาด้วยเลย

พอฟ้าเริ่มสว่างขึ้นผู้คนทั้งหมดรวมทั้งเราด้วยก็เริ่มทยอยเดินออกมาไป รวมทั้งเราด้วย แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นไปกับเราคือรอยยิ้มและทัศนคติที่ว่า  "ความสุขมันอยู่ที่ใจ ถึงฝนฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจ แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว มันก็ไม่ได้ทำให้ความสุขในวันพิเศษลดน้อยลงเลย"






Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 18:32:20 น.
Counter : 1082 Pageviews.

0 comment
9. คาซาน ที่เหมือนเทพนิยาย
วันที่9 กันยายน 2554
อากาศดี มีแดดบ้าง
คาซาน ประเทศรัสเซีย



แล้วพอเวลาเกือบจะบ่ายสาม รถไฟก็เทียบชานชาลา เรา
มีเวลาแค่ห้าชั่วโมงเท่านั้นในการเที่ยวคาซาน ซึ่งก็น่าจะพอสำหรับเมืองเล็กๆที่น่ารักเมืองนี้ หลังจากจัดการฝากกระเป๋าไว้ในสถานีเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางเทียวชมเมือง หันซ้ายหันขวา ก็เห็นกำแพงสีขาวที่ทอดยาว เด่นเป็นสง่าอยู่ทางเหนือด้านตะวันตกของสถานีรถไฟ กำแพงนี้คงจะเป็นอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก "กำแพงเมืองคาซาน" ที่เป็นสัญญาลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองนี้

ใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีก็เดินถึงกำแพงเมืองและด้านในกำแพงก็คือมัสยิทที่ทาด้วยสีขาวสว่างตาตัดกับโดมสีฟ้าเด่นสดใส ในระหว่างที่เดินมุ่งหน้าเข้าไป เราสังเกตเห็นคู่แต่งงานบ่าวสาวไม่ต่ำกว่าสิบคู่ยืนโพสท่าถ่ายรูปกันอย่างอารมณ์ดี มีรถลีมูซีนคันยาวจอดเรียงรายอยู่ คิดๆดูแล้วก็เหมือนกับ เจ้าหญิงกับเจ้าชายในเทพนิยายเลย 



เมืองคานซานนี้เป็นเมืองที่มีตำนานเรื่องนึง ที่เราได้ฟังแล้วติดอยู่ในใจอยู่มาก จะพูดว่าชอบหรือประทับใจคงไม่ตรง เท่าไหร่นัก เรียกว่าติดอยู่ในใจเพราะอะไรซักอย่างน่าเหมาะซะมากกว่า

เรื่องเล่ามีอยู่ว่า...
"มีเจ้าหญิงผู้เลอโฉมองค์หนึ่งแห่งแคว้นทาท่า ซึ่งเป็แคว้นดั่งเดิมก่อนที่อีวานจอมโหดจะบุกเข้ายึดเมือง เจ้าหญิงองค์นี้มีนามว่า "Suyumbike" เมื่ออีวานจอมโหดบุกเข้ายึดเมืองได้แล้ว ก็บังคับให้เจ้าหญิงแต่งงานด้วย

แต่เจ้าหญิงจะยอมรับการแต่งงานได้อย่างไร ในเมื่ออีวานเป็นศัตรูตัวร้าย ที่ยึดเมืองของตัวเองไป นอกจากนี้เค้ายังเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้ายผิดมนุษย์มนาอีกด้วย

เจ้าหญิงจึงหาวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงาน และทรงประกาศออกไปว่า จะยอมแต่งงานก็ต่อเมื่ออีวานสามารถสร้างตึกทีสูงที่สุดในเมืองได้ภายในเวลาเจ็ดวัน

แต่เป็นเพราะความรัก ความหลงไหล หรืออาจะเป็นแค่อยากจะเอาชนะเมื่อถูกท้าทาย หลังจากนั้นเพียงเจ็ดวัน อีวานก็สร้างหอคอยขึ้นมาได้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองในเวลานั้น

เจ้าหญิงไม่มีทางเลือกอื่น เพราะได้ประกาศออกไปแล้ว แต่จะทำใจอย่างไรได้ในเมื่ออีวานเป็นศัตรูและเขาก็โหดเสียด้วย

เจ้าหญิงจึงตัดสินใจปีนหอคอยที่พระองค์เป็นคนร้องขอให้ว่าที่สามีเป็นคนสร้าง จากนั้นกระโดดจากหอคอย เพื่อฆ่าตัวตายปริดชีวิตตัวเอง"

จากนั้นหอคอยนั้นจึงถูกเรียกตามชื่อขององค์หญิงค่ะ นั่นก็คือ Suyumbike
Tower นี่เอง


เดินห่างออกมากจากมัสยิทไม่ไกล พบว่าตึกส่วนใหญ่ถูกออกแบบในลักษณะ สถาปัตยกรรมตามฝั่งยุโรปเสียงมาก นอกจากนี้ ในทางเท้ายังมี ต้นสน ปลูกเรียงรายประดับประดา อยู่ริมสองทางเท้า ถ้ามาเยือนคาซานในช่วงคริสมาสต์คงจะสวยไม่น้อย เราคิดแบบนั้น


แต่เมื่อเรายิ่งเดินออกห่างออกไปไกลจากกำแพงเมือมากขึ้นเท่าไหร่ ก็สังเกตเห็นว่าตึกมีการออกแบบในลักษณะของคอมมินิสมากยิ่งขึ้น นั่นคือตึกสูงทรงสี่เหลี่ยมเรียบๆ สีทึมๆ มีหน้าต่างบานกว้างๆ ส่
วนตัวแล้ว เราก็แอบชอบตึกพวกนี้ไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะหน้าตาไม่สวย เทียบไม่ได้กับตึกทรงยุโรป แต่ตึกแบบนี้มีมนต์เสน่ห์และเรื่องเล่าในตัวของมันเอง ถ้าได้มีเวลาเรียนรู้สอบถามหน่อย คงจะมีเรื่องสนุกๆให้ค้นหาอยู่ไม่น้อย



เดินไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ก็ถึงBauman street ซึ่งเป็นถนนคนเดินเล็กๆ (แต่พอให้รถสวนเข้าออกได้ โดยไม่ต้องหลบให้กันค่ะ) ที่มีร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านค้าตั้งอยู่เรียงรายเต็มถนนสายเล็กๆนี้ รวมทั้งบนถนนสายนี้ยังมีรูปหล่อทองแดงรูปสัตว์ต่างๆที่วางอยู่เป็นระยะอีกด้วย





Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 17:40:50 น.
Counter : 843 Pageviews.

0 comment
8. สปาซิบ้าบนรถไฟ
วันที่ 7-8 กันยายน 2554
ท้องฟ้าสวย
บนรถไฟที่มุ่งหน้าไปพร้อมกับตะวันที่ตก



เตียงนอนของเราอยู่ใกล้กับสองสามีภรรยาชาวรัสเซียคู่หนึ่ง ทั้งสองคนมีความพิเศษตรงที่ เค้ามีน้ำใจกว้างขวาง ให้แก่คนแปลกหน้ามากมาย ไม่ใช่แค่กับเราคนเดียวนะ แต่ว่ากับเพื่อนร่วมทางคนอื่นด้วย บ่อยครั้งที่เค้าเสนอชาหรือขนมบิสกิสให้กับคนแปลกหน้า ถึงตอนนี้ เรายังจำภาพนี้ได้อยู่ในใจ

มันเป็นความโชคดี ที่เรามีคนที่เมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้ว สามารถทักทายอรุณสวัสดิ์ แบ่งปันรอยยิ้มให้กันได้


ฝ่ายภรรยาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่มากพอที่จะทำการสนทนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องได้ แต่ก็ความมีน้ำใจมันก็ไม่ใช่เรื่องของภาษาเลยซักนิด 

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถไฟจอดพักเป็นเวลา๔๐นาที เราก็ออกไปเดินเล่นเพื่อยืดเส้นยืดสาย คุณลุงก็พยายามบอกเราว่า อย่าออกไปไหนไกล เค้าเป็นห่วงกลัวเราจะพลาดตกรถไฟ แล้วซักพักใหญ่ๆคุณลุงเดินหาเรา พร้อมกับสะกิดคว้าแขนไว้ เรียกให้เดินไปอีกทางหนึ่ง ในปลางทางจุดหมายนั้น คุณป้าถือถุงไอศกรีมยื่นให้เรา ในนั้นมีไอศกรีมอยู่สองแท่ง!! เค้าซื้อไอติมให้เราถึงสองเท่ง 

อีกครั้งนึง เป็นตอนเช้า หลังจากที่เรานอนกลิ้งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงแคบๆ
แล้วเราก็เหลือบไปเห็น ส้มซีกหนึ่งลอยขึ้นมาข้างๆเตียงนอนเรา (เรานอนด้านบน) เป็นคุณลุงนี่เอง ที่เอาส้มมาทักทาย พอชะโงกหน้าไปมองลงไปดู เราก็เห็นรอยยิ้มของทั้งสอง ทักทาย แล้วชวนให้เราทานอาหารเช้าด้วยกัน

มันช่างเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่ทำไมความธรรมดามันถึงได้อบอุ่นหัวใจขนาดนี้






Create Date : 13 มิถุนายน 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 17:14:02 น.
Counter : 1064 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

อย่าลังเล
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]