bloggang.com mainmenu search

 

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น ทีมนักแสดงของ The Wolverine เปิดตัวหนังในรอบปฐมทัศน์
R.I.P.D. หนังที่ล้มเหลวที่สุดในปีนี้
วิล สมิธ ยอมรับหลังทำหนังได้เงินมาร่วม 20 ปี After Earth คือหนังเจ๊งเรื่องแรกของเขา
ผกก. ID4 ล้มเหลวกับการถล่มทำเนียบขาวใน White House Down
เด็ปป์ ผลักดันโปรเจ็ค The Lone Ranger เต็มที่แม้นายทุน Disney จะไม่ค่อยอยากสร้างหนังคาวบอยเรื่องนี้นัก สุดท้ายหนังก็ล้มเหลวจนได้
Pacific Rim ไม่ถึงกับล้มเหลว แต่ก็ยังต้องลุ้นหนักถ้าไม่อยากขาดทุน โดยเฉพาะในตลาดเอเซียที่อาจจะอินกับหนังหุ่นยนต์ยักษ์แบบนี้มากกว่า

เอเอฟพี - แม้จะไม่ได้ทำรายได้สูงเหมือนหนังภาคก่อน แต่รายได้สัปดาห์แรกมากกว่า 55 ล้านเหรียญฯ ของ The Wolverine ภาคล่าสุดของหนังชุด X Men ก็ทำให้ฮอลลีวูดได้ลืมตาอ้าปากบ้าง หลังในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีหนังฟอร์มใหญ่ล้มเหลวติดต่อกันหลายเรื่อง
       
       หนังที่นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน ทำเงินไปได้มากกว่า 55 ล้านเหรียญฯ ตั้งแต่เริ่มฉายในวันพฤหัสจนถึงตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนรายได้ในตลาดต่างประเทศก็ไปไกลถึง 86 ล้านเหรียญฯ ถึงขั้นที่ Variety เรียกว่านี่น่าจะเป็นหนังที่เปิดตัวได้สวยที่สุดเรื่องหนึ่ง ในช่วงฤดูร้อนแห่งความเลวร้ายของฮอลลีวูดปีนี้
       
       ซึ่งปกติซัมเมอร์จะเป็นฤดูกาลของหนังฟอร์มใหญ่ทุนสูง และทำเงินมหาศาล แต่สำหรับปี 2013 กลับมีหนังล้มเหลวติดต่อกันหลายเรื่อง นับจาก After Earth ที่นำแสดงโดย วิล สมิธ ซึ่งปกติเป็นชื่อดาราที่สามารถการันตีรายได้ว่าหนังจะต้องทำเงินสูงแน่ ๆ แต่หนังไซไฟที่เขาแสดงนำร่วมกับลูกชายกลับทำเงินเพียง 59 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างสูงถึง 130 ล้านฯ
       
       White House Down ที่ใช้ทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญฯ ก็ทำเงินไปได้แค่ 68 ล้านฯ ส่วน The Lone Ranger หนังคาวบอยที่นำแสดงโดย จอห์นนี เด็ปป์ และด้วยทุนสร้าง 250 ล้านเหรียญฯ ก็ทำให้หนังเรื่องนี้คืองานที่ผลาญงบไปมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ แต่กลับทำเงินไปได้แค่ 81 ล้านฯ เท่านั้น
       
       Pacific Rim เป็นอีกเรื่องที่น่าผิดหวังด้วยรายได้ถึงตอนนี้ 72 ล้านหรียญฯ จากทุนสร้าง 180 ล้านฯ แต่ที่เลวรายที่สุดก็คือ R.I.P.D.ที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลราว 180 ล้านฯ แต่กลับทำรายได้ในการฉาย 3 วันแรกเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนแค่ 15 ล้านฯ เท่านั้น
       
       คำทำนาย “สปีลเบิร์ก” ใกล้เป็นจริง? - ฮอลลีวูดนับถอยหลังสู่ความตกต่ำ
       
       และดูเหมือนว่าช่วงเวลาอันเลวร้ายของฮอลลีวูดในหน้าร้อนนี้ จะเกิดขึ้นหลัง “สตีเฟน สปีลเบิร์ก” และ “จอร์จ ลูคัส” เพิ่งจะกล่าวแสดงความเห็น ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์กำลังเข้าสู่อนาคตอันมืดมน ถึงขั้นล่มสลาย ในอนาคตอันใกล้นี้
       
       “มันจะเกิดความย่อยยับขึ้น ที่จะมีหนังล้มเหลวให้เห็น 3-4 เรื่อง และอาจจะถึง 6 เรื่องเลยทีเดียว กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น” สปีลเบิร์ก กล่าวเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ที่เขาและ จอร์จ ลูคัส ได้ทำนายเอาไว้ว่า ฮอลลีวูดจะเปลี่ยนแปลงไป จะมีหนังล้มเหลวมากมาย วงการหนังจะเจอปัญหาจาก เทคโนโลยี, ประเด็นทุนหนังเฟ้อ, ราคาตั๋ว และนโยบายของสตูดิโอ

สุดท้ายราคาค่าตั๋วก็จะพุ่งขึ้นไปอีก จนลงเอยที่จะทำให้เหลือหนังไม่กี่ประเภทในโรงภาพยนตร์ ส่วนงานที่มีเนื้อหาแปลกแตกต่างคงต้องไปหาช่องทางในการเผยแพร่ทางโทรทัศน์แทน
       
       อย่างไรก็ตามสำหรับมุมมองของ เคทธริน อาร์โนลด์ โปรดิวเซอร์ และผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจภาพยนตร์ มองว่าปัญหาไม่น่าจะเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโดยรวมเท่านั้น แต่ความล้มเหลวของหนังหลายๆ เรื่อง ก็มาจากคุณภาพของตัวหนังเองด้วย
       
       “สตูดิโอพยายามจะเข้าถึงตลาดโลก และบางครั้งก็เชื่อว่าพวกเขาจำเป็นต้องย่อยเรื่องให้ง่าย และยัดเยียดฉากแอ็กชั่นไปในหนัง เพื่อตลาดซึ่งคนดูไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ” อาร์โนลด์ กล่าว “แต่คนเดี๋ยวนี้ฉลาดขึ้น มีทางเลือกเยอะ และพวกเขาสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก สตูดิโอต้องเรียนรู้ ที่จะไม่เปลี่ยนเนื้อหาหนังกันง่ายๆ แบบนี้ สำหรับหนังฟอร์มใหญ่”
       
       ความหวังยังพอมี
       
       ในซัมเมอร์ 2013 ไม่ได้มีแต่ด้านแห่งความล้มเหลว เพราะในเวลาเดียวกันก็ยังมี Fast and Furious 6, World War Z และ Iron Man 3 ที่ไปได้สวย ทำเงินได้ดีทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ เช่นเดียวกับหนังที่นำเสนออะไรแปลกใหม่ให้กับคนดูอย่างงานใหม่ของ แบรดด์ พิตต์ ที่ตอนนี้กวาดเงินเฉียด 200 ล้านฯแล้ว .. “เมื่อไหร่ที่สตูดิโอทำหนังฟอร์มใหญ่ที่มีเนื้อหาดีด้วยแบบ World War Z ซึ่งมีอะไรใหม่ๆ ให้กับคนดู มีการยกระดับหนังไปอีกขั้น มันก็จะประสบความสำเร็จ” เคทธริน อาร์โนลด์ ให้ความเห็น
       
       ฝ่ายผู้เชี่ยวชาญวงการหนัง และนักวิเคราะห์บ็อกซ์ออฟฟิศอย่าง เจฟฟ บอคก์ ก็มองว่า “ถึงแม้ After Earth, Lone Ranger, White House Down, Pacific Rim และล่าสด RIPD จะล้มเหลวในการฉายที่สหรัฐฯ แต่หนังฟอร์มใหญ่ ๆ ก็สำคัญสำหรับบ็อกซ์ออฟฟิศต่อไป และไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ด้วยความสำเร็จของหนังพวกนี้ ก็คงจะทำให้ฮอลลีวูดทุ่มกับหนังภาคต่อ และพยายามสร้างอะไรแบบนี้ขึ้นมาอีก”
       
       แต่ เคทธริน อาร์โนลด์ ดูจะไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าฮอลลีวูดยังต้องพึ่งหนังภาคต่อเป็นหลักเพียงอย่างเดียว และย้ำว่าคนในวงการหนังต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น “มันจะทำให้พวกเขาหยุดคิดบ้าง เมื่อลองมองเห็นความสำเร็จของหนังอย่าง Magic Mike, Silver Linings Playbook, Identity Thief และ The Heat หนังพวกนี้ใช้ทุนสร้างต่ำกว่า 50 ล้านฯ ด้วยนักแสดงที่ดี, มีเรื่องที่ดี, สามารถสื่อสารกับคนดูได้ ทำให้เกิดกระแสปากต่อปาก และผลก็คือความสำเร็จทางธุรกิจ”
       
       ภาคต่อ / เพลย์เซฟต์ - ความจำเป็นฮอลลีวูดยุคทุนสร้างเฟ้อ
       
       ฝ่าย เจสัน บลูม โปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จกับการสร้างหนังสยองขวัญ Paranormal Activity, Insidious และ Sinister ที่ใช้ทุนสร้างน้อย แต่กำไรมาก โดยเฉพาะหนังประเภททุนต่ำ ที่บางครั้งอาจจะทำเงินมากกว่าทุนสร้าง 10 เท่า หรือมากกว่า 20 หรือ 40 เท่าเลยทีเดียว ก็ให้มุมมองว่า ยิ่งลงทุนมากขึ้นเท่าไหร่ ฮอลลีวูดก็ต้องระวังตัวมากตามไปด้วย และโอกาสจะเห็นอะไรใหม่ ๆ ก็คงยากขึ้นเต็มที
       
       “เมื่อผมทำสำเร็จ ก็จะได้ทุนมากขึ้น และเมื่อคุณเริ่มใช้เงินมากขึ้น คุณก็ไม่อยากเสี่ยงอะไรอีกแล้ว คุณฆ่าตัวแสดงนำไม่ได้แน่ มีอะไรหลายๆ อย่างที่คุณทำไม่ได้ แต่ถ้าคุณทำหนังเล็กๆ ก็มีอะไรเพี้ยนๆ ให้ลองทำเพียบเลย” เจสัน บลูม กล่าว

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ

Create Date :30 กรกฎาคม 2556 Last Update :30 กรกฎาคม 2556 7:54:37 น. Counter : 2764 Pageviews. Comments :0