bloggang.com mainmenu search






ธรณีรูปลักษณ์ (Geoglyph) ของธรณีภาพ (Bunjil)
ที่ยายังส ลารา ออสเตรเลีย
โดยแอนดรูว์ โรเจอร์
สัตว์ตำนานมีปีกกว้างถึง 100 เมตร
และใช้หินในการสร้างทั้งหมด 1500 ตัน





ภาพจากดาวเทียมของ “หลุมโรเดน” (Roden Crater)
ซึ่งเป็นงานมูลดินที่ยังคงแปรเปลี่ยน
โดยเจมส์ เทอร์เรลล์
นอกเมืองแฟลกสตาฟ แอริโซนา




ขบวนการ “ธรณีศิลป์” เริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ในปี ค.ศ. 1968 โดยการแสดงงานศิลปะมูลดิน (Earthwork) ที่หอศิลป์ดวานในนิวยอร์ก ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1969 ศิลปินและภัณฑารักษ์ของห้องแสดงศิลปะวิลเลอบี ชาร์พก็จัดงานแสดงศิลปะมูลดินขึ้น ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแอนดรูว์ ดิคสัน ไวท์ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ที่อิทาคาในมลรัฐนิวยอร์ก

ศิลปินที่เข้าร่วมการแสดงก็ได้แก่: Walter De Maria, Jan Dibbets, Hans Haacke, Michael Heizer, Neil Jenney, Richard Long, David Medalla, Robert Morris, Dennis Oppenheim, โรเบิร์ต สมิธสัน และ กุนเทอร์ เอิคเคอร์

ศิลปินผู้อาจจะเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในบรรดาศิลปินกลุ่มนี้ ก็เห็นจะเป็นศิลปินอเมริกันโรเบิร์ต สมิธสันผู้ที่ในปี ค.ศ. 1968 เขียน “ตะกอนความคิด: โครงการศิลปะมูลดิน” (The Sedimentation of the Mind: Earth Projects)

ซึ่งเป็นงานที่วางรากฐานอันสำคัญสำหรับขบวนการ ที่เป็นปฏิกิริยาต่อความห่างเหินของลัทธิสมัยใหม่นิยม จากปัญหาสังคมตามที่กล่าวโดยนักวิพากษ์ศิลป์เคลเมนท์ กรีนเบิร์ก

งานธรณีศิลป์ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของโรเบิร์ต สมิธสัน คืองาน “กำแพงทะเลขมวดหอย” (Spiral Jetty) ที่สร้างในปี ค.ศ.1970

สมิธสันสร้างงานชิ้นนี้โดยการจัดหิน ดิน และ สาหร่าย ที่ยาวราว 1500 ฟุตเป็นกำแพงทะเล (jetty) ที่ขมวดวนยื่นออกไปในทะเลสาบเกรตซอลต์ ในยูทาห์ การปรากฏของงานชิ้นนี้ให้เห็นมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับระดับน้ำที่ขึ้นลง

งานของโรเบิร์ต สมิธสันอีกชิ้นหนึ่งคือ “วงแตกและเนินขมวด” (Broken Circle and Spiral Hill) ที่สร้างในปี ค.ศ. 1968 ก็เป็นงานอีกชิ้นหนึ่งที่เป็นตัวอย่างของงานธรณีศิลป์

แต่งานธรณีศิลป์ “กระจกกรวดกับรอยแตกและฝุ่น” (Gravel Mirror with Cracks and Dust) ที่สร้างในปี ค.ศ. 1968 เป็นงานที่ตั้งแสดงในห้องแสดงภาพ แทนที่จะตั้งอยู่ภายนอกตามธรรมชาติ

งานชิ้นนี้เป็นกองกรวดที่ตั้งอยู่ติดกับผนัง ส่วนที่เป็นกระจกของห้องแสดงภาพ ความปราศจากความซับซ้อนของรูปทรง และการเน้นความงามของวัสดุที่ใช้สร้างงาน ทำให้งานธรณีศิลป์มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับศิลปะจุลนิยม และกับศิลปะสมถะ (Arte Povera)

ตรงการใช้วัสดุที่ตามปกติแล้ว ไม่ถือว่าเป็นวัสดุที่ไม่เหมาะแก่การสร้างงานศิลปะ หรือ เป็นวัสดุที่ “ขาดคุณค่า”

ศิลปินธรณีศิลป์ส่วนใหญ่มักจะเป็นศิลปินอเมริกัน ที่รวมทั้งศิลปินผู้มีชื่อเสียงจากสาขาอื่นที่รวมทั้งแนนซี โฮลท์, วอลเตอร์ เดอ มาเรีย, ฮันส์ ฮาคเคอ, แอลิซ อายค็อค, เดนนิส ออพเพนไฮม์, ไมเคิล ไฮเซอร์, แอนดรูว์ โรเจอร์, แอแลน ซันฟิสต์ และ เจมส์ เทอร์เรลล์

เทอร์เรลล์เริ่มสร้างงานในปี ค.ศ. 1972 ที่อาจจะเป็นงานธรณีศิลป์ชิ้นที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยทำกันมาที่เปลี่ยนรูปทรงของแผ่นดิน ในบริเวณรอบหลุมโรเดนซึ่งเป็นหลุมภูเขาไฟที่ดับแล้วในแอริโซนา

ศิลปินธรณีศิลป์ผู้มีชื่อเสียงที่ไม่ใช่ชาวอเมริกัน ก็ได้แก่ศิลปินอังกฤษคริส ดรูรีย์, แอนดี โกลด์สเวิร์ทธี, ริชาร์ด ลอง และประติมากรออสเตรเลียแอนดรูว์ โรเจอร์ส

งานบางชิ้นของคริสโตและฌอง-โคลด (ผู้มีชื่อเสียงในการห่อสิ่งก่อสร้าง อนุสาวรีย์ และภูมิทัศน์ด้วยผืนผ้า) ก็ถือกันว่าเป็นงานธรณีศิลป์โดยนักวิพากษ์บางท่าน แต่ตัวศิลปินเองเห็นว่าเป็นการจัดกลุ่มที่ไม่ถูกต้อง

ความคิดของโยเซฟ บอยส์เกี่ยวกับ “ประติมากรรมเชิงสังคม” (social sculpture) มีอิทธิพลต่องาน “ธรณีศิลป์” ในโครงการ “โอ้ค 7000 ต้น” (7000 Oaks) ที่บอยส์ทำการปลูกต้นโอ้ค 7000 ต้นในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับกระบวนการสร้าง “ธรณีศิลป์”

“จังหวะชีวิต” (Rhythms of Life) โดยประติมากรออสเตรเลีย แอนดรูว์ โรเจอร์ส เป็นงานธรณีศิลป์ร่วมสมัยชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ประกอบด้วยประติมากรรมหิน หรือธรณีรูปลักษณ์ที่ต่อเนื่องกันเป็นโซ่รอบโลก 12 ที่

ที่แต่ละแห่งก็จะแปลกแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ตั้งแต่บริเวณต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ไปจนถึงบริเวณที่สูงขึ้นไปกว่า 4,300 เมตร และธรณีรูปลักษณ์อีกสามแห่งที่มีขนาดใหญ่ขึ้นไปถึง 40,000 ตาราเมตร

ศิลปินธรณีศิลป์ในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้อุปถัมภ์ที่มีฐานะดี หรือองค์การส่วนบุคคลในการให้ทุนสนับสนุนโครงการซึ่งมักจะมีราคาสูง

เมื่อเศรษฐกิตตกต่ำอย่างกระทันหัน ราวกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 ทุนสำหรับโครงการเหล่านี้ก็เหือดแห้งตามไปด้วย และเมื่อโรเบิร์ต สมิธสันมาเสียชีวิตไปกับเครื่องบินตกในปี ค.ศ. 1973 ขบวนการธรณีศิลป์ที่สูญเสียผู้นำคนสำคัญก็ค่อยสลายตัวไป

เจมส์ เทอร์เรลล์ยังคงทำโครงการหลุมโรเดน แต่โดยทั่วไปแล้วธรณีศิลป์ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะประชาคม (public art) และในบางกรณีคำว่า “ธรณีศิลป์” ก็นำมาใช้กันอย่างไม่ถูกต้อง ในการหมายถึงศิลปะไม่ว่าจะชนิดใดก็ตามที่เกี่ยวกับธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับความหมายของศิลปินธรณีศิลป์ที่วางไว้

งานธรณีศิลป์พบโดยทั่วไปในแทบจะทุกประเทศ ในยุโรปและอเมริกา ในแอฟริกาธรณีศิลป์เป็นประเภทของงานศิลปะที่เริ่มจะแพร่หลาย โดยมี Strijdom van der Merwe จากแอฟริกาใต้ เป็นผู้นำ

งานธรณีศิลป์ชิ้นหนึ่งในแอฟริกาใต้เป็นงานประวัติศาสตร์โบราณชื่อ “Mama Africa” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวนพฤกษชาติ ซึ่งเป็นมูลดินสูง 3 เมตร ยาว 16 เมตรและกว้าง 7 เมตร


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


สิริสวัสดิ์จันทรวาร สิริมานรมเยศค่ะ
Create Date :20 พฤษภาคม 2553 Last Update :19 พฤศจิกายน 2553 1:01:01 น. Counter : Pageviews. Comments :0