bloggang.com mainmenu search


เมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องมันเริ่มจากอีเมล์ฉบับหนึ่งค่ะ จ่าหัวง่ายว่า 'ชวนเที่ยว' ด้วยข้อความเพียงแค่สามบรรทัด จากพี่สาวคนหนึ่ง

Backpack แชงกรีล่า-ต้าหลี่-ลี่เจียง-จงเตี้ยน 9 วัน 16-24 ก. ค. 48 ว่างไหม ไปเที่ยวกัน

แค่เนี๊ยะ...คุณว่าอิชั้นใจง่ายไหมคะ ไม่ถามไม่ไถ่ ตกลงว่า...ไปค่ะ โยนโครงการอินเดียลงตระกร้าทันใด คว้าหมับทริปนี้ไว้แบบไม่มีกังขา

เคยได้ยินมานานแล้วว่างามนักหนา แชงกรีลา ว่าแต่...มันอยู่ส่วนไหนของจีนหว่า

เห็นว่าติดกับทิเบตไอ้เราก็เดาว่าคงเหนือแน่เลย แต่ป่าวค่ะ จริงๆ แล้วแชงกรีลาอยู่ในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ทางการจีนประกาศให้บริเวณเมืองจงเตี้ยนกับเต๋อชิง เป็นดินแดนที่เรียกว่าแชงกรีลา เพราะมีความใกล้เคียงตามหนังสือที่หนังสือนวนิยายของ เจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษ เรื่อง Lost Horizon หรือ "รักสุดขอบฟ้า" ตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ. 1933 ได้บรรยายเอาไว้

แชงกรีลา ( Shangri la ) เป็นภาษาธิเบต หมายถึง ทางนำไปสู่ดวงตะวันและดวงจันทร์โดยดวงจิต หรือ ดินแดนอีกด้านหนึ่งของโลก หรือ แดนสวรรค์บนโลก

พอตกลงใจไปโดยไม่รู้ชะตากรรมแม้แต่เพื่อนร่วมทริปเป็นใครบ้างด้วยซ้ำ พวกเราก็ออกเดินทางกันวันที่ 16 ก.ค. 48 ไปเจอหน้าเหล่าคนแคระผจญโลกกว้างกันที่ดอนเมืองค่ะ

ทั้งหมด 5 ชีวิต สามคนอิชั้นรู้จักแล้วเพราะเคยไปเนปาลด้วยกัน แต่อีกหนึ่งหนุ่มผู้เดียวในคณะนี้เพิ่งได้เห็นหน้ากันวันนี้แหละ แต่คนอ่านก็คงสงสัยว่าทำไมมีแค่ห้าแต่ดันเป็นคนแคระทั้งหก(แถมยักษ์อีก) ขอบอกว่าการเดินทางเพิ่งเริ่มต้นค่ะ พอลงเครื่องที่คุนหมิง ดั่งโชคชะตาซัดให้เราเก็บตกเพื่อนร่วมทางได้อีกสองคน เป็นสองสาวจากปักษ์ใต้ที่ออกเดินทางแบกเป้มาครั้งแรก และกำลังเคว้งๆ อยู่ว่าจะไปทางไหนดี ถามไถ่พอได้ความว่าจะไปแชงฯเหมือนกัน เท่านั้นแหละ คณะนี้ก็เติมเต็มเป็น 7 ชีวิต พอดิบพอดีค่ะ หกสาวกับหนึ่งหนุ่ม (กลายเป็นคนแคระทั้ง 6 กับยักษ์อีก 1 ตนพอดี )

โอเย่...และแล้วก็เริ่มการผจญภัยกันเลย



พอลงจากเครื่องก็เจอนายหน้าเข้ามามะรุมมะตุ้มใหญ่เลยค่ะ เราต้องการจะไปซื้อตั๋วรถสลิปปี้งบัส แต่ไปกันไม่ถูก เลยโดนลากยื้อไปยื้อมาด้วยข้อเสนอจะจัดหารถให้ ทว่าพอตามไปแล้วค่ารถมันไม่ถูกเลยสิคะ พวกเราเลยตัดสินใจให้ล่ามประจำกลุ่ม ซึ่งเป็นสาวคนเดียวที่พูดภาษาจีนได้ช่วยถามคนพื้นที่แถวนั้นให้ ได้ความว่าจะไปสถานีรถ แค่ขึ้นรถเมล์ตรงป้ายหน้าแอร์พอร์ตไปหนึ่งหยวนก็ถึงแล้วค่ะ

พวกเราตัดสินใจไปลี่เจียงกันคืนนี้เลย เพื่อประหยัดค่าที่พักไปหนึ่งคืน นอนเอาในรถ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงค่ะ มีเวลาเหลือก่อนขึ้นรถเล็กน้อยเลยไปเดินเที่ยวในตัวเมืองคุนหมิง รถออกตอนสองทุ่ม อืม ฟ้ายังสว่างโร่อยู่เลย...เข้าไปในบัสแล้วก็ดันโดนเจ้าถิ่นพี่จีนแย่งที่นอนหน้าด้านๆ พี่แกไม่ยอมลุกเสียดื้อๆ ทั้งที่ตั๋วก็ระบุว่าที่เรา เค้ายืนกรานจะนอนใกล้เพื่อนเขาอ่ะ (ได้ไงฟะ เราก็จะนอนกับเพื่อนเราเหมือนกันนี่หว่า อยากได้ที่ดีก็มาจองตั๋วแต่เช้าสิเฟ้ย) แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพี่แกล่ะค่ะ ไม่งั้นเถียงกันคนละภาษาไม่รู้เรื่องทั้งคืน

หลังจากรถออกไปได้สักพักก็เกิดรถชนค่ะ โดยรถบัสเราไปจิ้มท้ายรถอะไรสักอย่างข้างหน้า เป็นเรื่องเป็นราว กว่าตำรวจจะมาจะเคลียร์กันได้ปาเข้าไปสองชั่วโมงถึงได้เดินทางต่อ คนบนรถก็นอนหลับรอเพลินไปเลย



ไม่รู้ว่าอิชั้นนับเวลาผิด รึคนขับตีนผี แต่เราก็ไปอรุณเบิกฟ้าถึงลี่เจียงตอน 6.30 น.พอดี จ้างรถมาส่งด้วยราคา 10 หยวน ด้วยพวกเราและข้าวของทั้งหมด นึกว่าจะไกล เพราะต่อราคาแล้วโชเฟอร์แกไม่ให้ ที่ไหนได้บื้อเลย นั่งมาแค่โค้งเดียวเท่านั้นก็ถึงเมืองเก่า

เดินหาที่พักวนไปวนมาจนได้ห้อง เมื่อเห็นราคาเราเลยขอต่อหน่อยตามระเบียบ อีตาคนให้เช่าไม่ลดแต่ยื่นข้อเสนอจูงใจว่าแถมอาหารสองมื้อด้วยนะ เช้าเย็นบอกเวลามาเรียบร้อย ลดไม่ได้เพราะรวมอาหารไว้แล้ว พวกเราหวั่นๆ อยู่ว่าห้องจะเต็มเหมือนที่อื่นซึ่งสำรวจมา เลยตกลงเอาก็เอา ค่าห้องรวมกันหารเจ็ด ตกคนละประมาณสามสิบหยวนค่ะ

จากนั้นก็ไปประเดิมอาหารเช้ากันที่ร้านซึ่งนั่งรถผ่านตอนขามา อยู่บริเวณหน้าเมืองเก่านี่เอง ขายดิบขายดีคนเข้าออกเยอะแยะ น้ำเต้าหู้อร่อยสดมาก ซาลาเปา ปาท่องโก๋ยักษ์ แผ่นแป้งทอดมีไส้หวานกับไส้จืดกินแกล้มกับพริกค่ะ รสชาติน้ำพริกเขาเค็มๆ ไม่เผ็ด อร่อยดี



กังหันยักษ์ สัญลักษณ์ของเมืองมรดกโลก หมู่บ้านต้ายั่น(Dayan) แห่งลี่เจียง ใครไปก็ต้องถ่ายมา เดี๋ยวหาว่าไม่ถึงจริง




ฟ้าใสๆ ยามเช้าของหายากในทริปนี้ นอกนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆ หมอกตลอดรายการค่ะ



เดินเล่นในเมืองเก่าตอนเช้านิดหน่อยค่ะ ตลอดเวลาตั้งแต่ออกจากเกสเฮาส์มา ก๊กของพวกเราต้องผจญกับป้ามหาภัยที่ตามประกบพยายามให้เราใช้รถของแก ที่จัดหามาให้ ซึ่งก็ตกลงราคากันไม่ได้สักที ป้าพูดราคาอย่างหนึ่ง แต่พอไปเจอคนขับรถก็กลายเป็นราคาอีกอย่างหนึ่ง ยื้อไปมาตกลงกันไม่ได้อยู่หลายชั่วโมง จนในที่สุดเราตัดสินใจไปหารถเอง และแล้วก็ได้รถมาคันหนึ่ง

โดยพวกเราไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเพราะรถคันนี้...



บริเวณหน้ากังหันยักษ์อีกฟากหนึ่ง ก็จะมีสาวๆ และไม่สาว มาแต่งชุดสวยสด รอเป็นแบบให้ถ่ายรูป



ผลไม้ที่เห็นวางขายอยู่ทั่วไป น่ากินใช่ม๊า...
มีครั้งหนึ่งพี่ในทริปซื้อองุ่นมาให้เป็นเสบียงตอนเดินขึ้นเขา

เกดน้อย : พี่ล้างยังอ่ะ

ป้าแก้ว : ยัง

เกดน้อยเหงื่อตก กินไปได้สองสามลูกแล้ว คายแทบไม่ทัน : หง่า เรื่องสารเคมีน่ะไม่กลัวนะ แต่กลัวปุ๋ยพี่แกมากกว่า

ป้าแก้ว : วุ้ย ไม่มีหรอก มันอยู่บนร้าน ไม่ได้อยู่บนพื้น

เกดน้อย : ..........

แต่ระหว่างทางเห็นไร่องุ่น เราก็ไม่เห็นมันจะอยู่เหนือพื้นสักเท่าไรนะ

ผ่านไปหลายวัน ตอนขากลับจะไปต้าลี่ ระหว่างนั้นผ่านไร่นา
ป้าแกหันไปมองข้างหน้าต่าง แล้วรีบควับกลับมาแซ่ดต่อ

ป้าแก้ว : นี่ๆ เมื่อกี้พี่เห็นมันกำลังตักปุ๋ยราดน่ะ เป็นกระบวยออกมา สีเหลืองอ๋อยเชียว

เกดน้อย : .......... แล้วจะบอกทำไมฟะ

ว่าจ้างรถป๊อกๆ สีขาวคันที่หาได้ไปภูเขาหิมะมังกรหยก รถขนาด 7 ที่นั่งพอดีไม่รวมคนขับ เหมือนฟ้าลิขิตให้เรามากันครบคนเท่านี้จริงๆ

ระหว่างทางไปภูเขาหิมะฯ รถพาแวะวัดยวี่เฟิงซื่อ หรือวัดคามิเลียหมื่นดอก แต่ตอนที่ไปไม่มีจั๊กดอก เลยไม่เข้าค่ะ เพราะมันต้องเสียค่าเข้าอ่า เลยถ่ายมาแค่ประตูวัด



ในภาพคณะเรากำลังต่อรองขอเข้าฟรีอย่างเมามัน แต่ก็ไม่สำเร็จค่ะแหะๆ

ถึงถ่ายภาพมาไม่ได้ แต่เราก็มีรูปจากโปสการ์ดมาให้ดูค่ะ



ต้นชาภูเขาหมื่นดอก หรือ คามิเลียนี้ ปลูกมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง อายุประมาณ 500 ปี เป็นต้นชาสองต้นที่เกาะเกี่ยวพันกันจนดูเหมือนเป็นต้นเดียว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ต้นคู่สมรัก ว่ากันว่าถ้าใครได้มาถ่ายรูปใต้ซุ้มชานี้จะมีรักยืนยาวและอายุมั่นขวัญยืน ต้นชาจะออกดอกประมาณเดือนกุมภา-พฤษภา ว่ากันว่าเป็นต้นคามิเลียที่ออกดอกต้นแรก ก่อนต้นอื่นใดในโลกค่ะ

แหม ไม่ได้เห็นของจริงตอนสะพรั่งเสียดายจัง อยากลงจากค๊าน...



จากนั้นแวะดูวัฒนธรรมตงปาค่ะ
สัญลักษณ์ของที่นี่คือมีเสาไม้สลักเป็นรูปภาพและเทพเจ้าอายุกว่าพันปีแล้วล่ะ

เสียค่าเข้าคนละ 15 หยวน จะมีเจ้าหน้าที่แต่งชุดพื้นเมืองเดินบรรยายให้เราด้วย

แต่ว่าเป็นภาษาจีนนะคะ เธอเลยต้องเซย์บ๊ายบายกับเรา เพราะไม่มีใครฟังรู้เรื่องสักคน

ก็กลับมาค้นเอาได้สิน่า...

‘ตงปา’ (东巴文化) เป็นภาษานาซีแปลว่า ผู้มีปัญญา วัฒนธรรมตงปาที่แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของชาวนาซี

ชนชาตินาซี(纳西族) ที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมที่นี่ มีวัฒนธรรมประจำถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ มีอักษรภาพ ดนตรี ศิลปะ ตลอดจนประเพณีชีวิตที่สืบทอดต่อกันมายาวนานพันกว่าปี เรียก วัฒนธรรมตงปา



วัฒนธรรมตงปา มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อในศาสนาตงปา ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อเรื่องการนับถือผีของชนชาติน่าซี มาตั้งแต่สมัยต้นราชวงศ์ถัง(ค.ศ.618-907) ซึ่งได้ซึมซับวัฒนธรรมทางศาสนาของชนชาติทิเบตเข้าไว้ด้วยกัน โดยปรากฏอยู่ในรูปพิธีกรรมทางศาสนา คัมภีร์ทางศาสนา ตำราความรู้ ภาพวาดงานศิลปะ ดนตรี อักษรภาพ ประเพณีการเต้นรำ

และจากที่กล่าวมาทั้งหมด อักษรภาพตงปาที่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,400 กว่าตัว ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น ‘โลกของอักษรภาพที่มีชีวิต’ เนื่องจากยังคงความสมบูรณ์ที่สุดในโลกมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีการใช้อยู่ในคัมภีร์ทางศาสนา ตำราวิทยาการด้านธรรมชาติวิทยา สังคมวิทยา ตลอดจนวรรณกรรมตงปาแนวโรแมนติกและเรียลิสติก อาทิ เทพนิยาย เนื้อร้องเพลงพื้นเมือง เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก //www.manager.co.th ค่ะ



เจ้าหน้าที่นำชมในชุดพื้นเมืองค่ะ เสาไม้สลักมีปีก ทำให้เราคิดไปว่าวัฒนธรรมตงปานี่คล้ายๆ กับเผ่ามาย่ อินคาอะไรแบบนั้นเลยนะ ตามนิสัยคนเพ้อเจ้อเลยยิ่งจินตนาการไปว่าสมัยโบราณทั้งสองแผ่นดินอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ได้ ว้าว ดูลึกลับดีแท้



ภาพสลักหินทอดยาวราวกับจะหายลับเข้าไปสู่ประตูของเทพเจ้าแห่งขุนเขา



พอก่อนค่ะ เริ่มตาลาย ไว้จะมาเล่าการขึ้นภูเขาหิมะมังกรหยกต่อในตอนที่ 2 นะคะ
Create Date :27 กรกฎาคม 2548 Last Update :23 กันยายน 2552 4:09:40 น. Counter : Pageviews. Comments :15