มือใหม่เมื่อต้องการปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน ท่านจะเริ่มต้นได้อย่างไร บทความนี้เป็นข้อแนะนำของผู้เขียน สำหรับมือใหม่ทีสนใจการปฏิบัติธรรมแบบหลวงพ่อเทียน..1..เกริ่นนำผู้เขียนได้เคยอ่านหนังสือธรรมวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนมาก่อนแล้วก็ลงมือปฏิบัติตามในหนังสือ เมื่อปฏิบัติไป ก็เกิดความสงสัยหลายเรื่องต่อมา ผู้เขียนได้รู้จักหลวงพ่อสมบูรณ์ (ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อเทียน )โดยผ่านคอร์สอบรมของหลวงพ่อวิโมกข์ (ปัจจุบัน หลวงพ่อวิโมกข์ เป็นเจ้าอาวาสวัดหนี่งที่ ระยอง).หลวงพ่อวิโมกข์ นิมนต์หลวงพ่อสมบูรณ์มาสอนวิธีการภาวนาที่บ้านของหลวงพ่อวิโมกข์ ที่ย่านสะพานพระปิ่นเกล้าในสมัยนั้น.เมื่อผู้เขียนได้รู้จักหลวงพ่อสมบูรณ์แล้ว ผู้เขียนได้ไปกราบหลวงพอสมบูรณ์อีกหลายครั้ง ที่่วัดสนามใน ซี่ง หลวงพ่อเดินทางเข้ามา กทม.ทุกเดือน (ปกติ หลวงพ่อสมบูรณ์ จะอยู่ที่วัดในจังหวัดกระบี่ )และ ผู้เขียนได้สอบถามข้อสงสัยในการภาวนาหลวงพ่อท่านได้เมตตาตอบข้อสงสัยและได้อธิบายวิธีปฏิบัติเพิ่มเติมจากสิ่งที่ได้เคยอ่านในหนังสืออีกผู้เขียนได้ปฏฺิบัติตามคำสอนของท่านอยู่นาน ก็มีประสบการณ์การภาวนาและได้เข้าใจวิธีปฏิบัติตามแนวทางนี้มากขึ้นจึงขอเขียนสิ่งที่ผู้เขียนผ่านพบมาที่มีประสบการณ์ในแนวทางนี้มาเขียนลงใน blog นี้ เพื่อท่านที่สนใจแนวทางนี้ จะได้ศีกษาเป็นความรู้.2...เริ่มเรื่อง.วิธีการเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียนนั้นในขณะที่เคลื่อนมือ ให้เคลื่อนสบาย ๆ ไม่ต้องรีบเร่งในการเคลื่อนและการเคลื่อนจะมีจังหวะหยุดสักครู่แล้วเคลื่อนต่อไปเป็นจังหวะใน 1 รอบ จะมีทั้งหมด 14 จังหวะ ( หลวงพ่อสมบูรณ์บอกว่าแรก ๆ หลวงพ่อเทียนเคลื่อนมี 16 จังหวะ ไม่ใช่ 14แต่นั้นไม่สำคัญว่า กี่จังหวะ ).ในการฝีกนั้น จะแบ่งผู้ฝีกเป็น 3 ระดับด้วยกันดังนี้1..ระดับมือใหม่เอี่ยมเพิ่งสนใจการภาวนาแล้วมาลงมือฝีกระดับนี้ ให้สนใจความรู้สีกที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนมือขอให้ จขกท ทดลองดูเอง ดังนั้น1.1 เมื่อเคลื่อนมือลูบที่ลำตัว จะรู้สีกได้ถึงการสัมผัสทีลำตัวคล้าย ๆ เราอาบน้ำแล้วลูบตัว ก็จะรู้สีกได้ในการลูบที่ลำตัวขอให้ ท่านที่เข้ามาอ่าน ให้ลองทำการลูบดูจริง ๆ ก็จะพบเรื่องนี้ได้ทันที เพราะง่ายมาก1.2 ในขณะที่เคลื่อนมือแล้วลูบลำตัว ความรู้สีกสัมผัสที่ลำตัวจะเป็นอาการแบบหนี่ง แต่พอมือที่ลูบลำตัว หยุด เคลื่อนความรู้สีกจะไม่เหมือนกับตอนที่เคลื่อน ความแตกต่างในของการรู้ความรู้สีกที่เกิดขึ้นนี้ ให้สังเกตด้วยว่า ไม่เหมือนกันนะการรู้ความแตกต่างของความรู้สีกได้ นี่คือ ปัญญาอย่างหนี่งของจิตขอให้ทดลองทำดูจริงๆ ก็จะพบความรู้สีกที่ไม่เหมือนกันนี้ได้ระหว่างกำลังเคลื่อน และ หยุดเคลื่อน1.3 ในการเคลื่อนมือสำหรับนักภาวนาระดับที่ 1ให้รู้สีกไปที่สัมผัสที่อธิบายไว้ข้างบนนี้ทั้งที่กำลังเคลื่อนและ ที่กำลังหยุด ไม่ใช่สักแต่ว่าเคลื่อนไปแล้วหยุด แบบนี้ไม่ถูกแล้ว และ ขอให้สังเกตว่าถ้าเราสังเกตความรู้สีกที่เกิดขึ้นเมื่อเคลื่อน เมื่อหยุดไม่ใช่ไปจ้องที่มือ การไปจ้องที่มือนี่ เป็นการปฏิบัติที่ผิด.การรู้สีกได้ ไม่ต้องจ้องมือก็สามารถรู้สึกได้ขอให้ลองทำดูจริงๆ ก็จะพบเองว่า ได้แน่ และง่ายด้วย >>>ห้ามจ้องมือแต่ให้รู้สีกได้ เรื่องนี้สำคัญมาก<<<ในขณะที่กำลังรู้ความรู้สีกที่กำลังเกิดขึ้นได้ขอให้สังเกตว่า ตาเนื้อของเราจะเห็นภาพมัว ๆ ลงไป คือ ตาจะเห็นไม่ชัดเจน นี่คือ มือใหม่เอี่ยมมาฝีกให้ทำแบบนี้ก่อน.หมายเหตุ ถ้าตาเนื้อของเราเห็นภาพชัด การรู้ความรู้สีกจะลดน้อยลงไปนี่เป็นกลไกของธรรมชาติจะเป็นแบบนี้ ในระดับ 1 เราฝีกเพื่อให้จิตไปรู้ที่ความรู้สีกเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการเห็นได้ของตาเนื้อ ( ขอให้อ่านระดับ 2 ซี่งจะเพิ่มระดับการเห็นของตาเนื้อ ).สรุป สำหรับมือใหม่เอี่ยมเพิ่งมาฝีกในระดับ 1ให้รู้ความรู้สีก สังเกตความแตกต่างของความรู้สีกที่เกิดขึ้นระหว่างเคลื่อน และ เมื่อหยุด>> ในขั้นนี้ อย่าเพิ่งสนใจอาการความรู้สีกตัว **ตรงนี้สำคัญยิ่ง.2..ระดับ2 ทีมือใหม่เริ่มมีประสบการณ์ในการฝึกไปบ้างแล้วปัญหาก็คือ จะเริ่มเปลี่ยนไปแบบที่ 2 นี้เมื่อใด.ที่ผมเข้าใจ ก็คือ ระดับที่ 1 ฝีกไปเรื่อยๆ ฝีกไปบ่อย ๆแนะนำควรฝีกทุกวัน ถ้ามีเวลามาก ก็ฝึกมาก ถ้ามีเวลาน้อยก็ฝีกน้อยได้ แต่ขอให้ฝีกละกัน การฝีกทุกวัน มากบ้างน้อยบ้างนี่สำคัญมาก ถ้าหยุดฝีกไป 1 วัน ก็จะส่งผลต่อความก้าวหน้าให้ช้าลงไปยิ่งถ้า หยุดฝีกนาน ๆ หลาย ๆ วัน ความก้าวหน้าก็ยิ่งช้าลง จนยากที่จะก้าวหน้าได้.สำหรับระดับ 2 นี้เมื่อมือใหม่ รู้จักการรู้ความรู้สีกและรู้ความแตกต่างของความรู้สีกระหว่างกำลังเคลื่อนมือและหยุดเคลื่อนได้ดีมากพอในระดับ 1 แล้วต่อให้ ให้ปรับการฝีกใหม่ โดยเพิ่ม ตาเนื้อมองเห็นสิ่งแวดล้อมได้ แต่ไม่จ้องสิ่งใดตาเนื้อจะเห็นภาพชัดขึ้นกว่า ระดับหนี่ง และ หู ให้ได้ยินเสียงรอบๆ ได้เช่น เสียงลมพัดใบไม้ เสียงหมาเห่า เสียงรถวิ่งที่ถนน ให้เพียงได้ยินเสียงก็พอไม่ต้องไปสนใจว่า เสียงอะไรระดับ 2 นี้จะเป็นว่าในขณะที่เคลื่อนมือนั้น >> ตามองเห็นได้ หูได้ยินเสียงได้และรู้ความรู้สีกที่เกิดขึ้นเหมือนระดับ 1 ได้ด้วยพร้อมกันไป กับ ตาเห็นได้หูได้ยินได้ถ้า จขกท ทำแล้ว รู้สีกเครียด แสดงว่า การฝีกในระดับ 1 ยังไม่ได้ผลมากพอให้กลับไปฝีกระดับ 1 ใหม่อีก หรือจะพูดว่า ท่านยังไม่ผ่านการเลื่อนชั้นก็ได้.แต่ถ้าฝีกระดับ 2 นี้ได้ ทำได้แบบสบาย ๆ ไม่เครียด ก็ฝีกระดับ 2 ต่อไปเรื่อย ๆ การฝีกระดับ 2 นี้ เป็นมาตรฐานการฝีกทีเดียว ที่สมควรฝีกบ่อยๆ ซี่งนักภาวนาหลายคนจะเรียกว่า การฝึกฝนในรูปแบบ.ระดับ 3...เมื่อฝีกระดับ 2 ได้มากพอ และได้ผลดีพอประมาณผู้ฝีกจะสามารถ เห็นความคิด หรือ เห็นอารมณ์จิตที่รุนแรงได้ เช่น ความโกรธ. เมื่อเห็นความคิดได้ หรือ เห็นอารมณ์จิตที่รุนแรงได้ต่อไป เป็นการฝีกฝนชีวิตประจำวัน ที่ไม่ใช่ฝีกฝนในรูปแบบแล้วก็คือ เมื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน ทำงานประจำวัน เช่น อาบน้ำซักผ้า แปรงฟัน เก็บที่นอน กวาดบ้านและอื่น ๆให้มีความรู้สีกตัวอยู่เท่านั้นแล้ว สิ่งทีฝีกฝนในระดับที่ 2 นี้จะส่งผลออกมาให้เอง เมื่อมีความคิดหรือมีอารมณ์จิตทีรุนแรงเกิดขึ้นกล่าวคือ จะเห็นได้และจะเห็นความคิดหรืออารมณ์จิตเป็นไตรลักษณ์ได้ด้วย.จะเห็นว่า การฝีกในรูปแบบของระดับ 2 นี้เป็นสมถะ เป็นการสร้างเหตุให้จิตมีสติเกิดได้เมื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน.ส่วนการฝีกในชีวิตประจำวันระดับ 3 นี้จะเป็นวิปัสสนาเมื่อเกิดการเห็นความคิด เห็นอารมณ์จิตได้ ก็จะคือ ได้ปัญญา ซี่งเป็นผลของการฝีกฝนของ ระดับ 2 การฝีกฝนในระดับ 2 นี้ที่เป็นการสร้างเหตุ จึงทิ้งไม่ได้ต้องทำไปเรื่อยๆ .สิ่งที่เขึยนข้างบนคือหลักการเบื้องต้นถ้าได้ระดับ 3 แล้วก็ขอแนะนำให้ไปหาครูบาอาจารย์ทีจะสอนการภาวนาในระดับสูงขึ้นต่อไป .ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้ จะเป็นประโยขน์แก่ท่านที่เข้ามาอ่าน Create Date :12 มิถุนายน 2563 Last Update :28 กันยายน 2565 9:14:32 น. Counter : 736 Pageviews. Comments :0 twitter google Comment * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend