การแก่ตัวอย่างรวดเร็วของประชากรไทย เมื่อปลายเดือนก.ค. ที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติได้จัดทำรายงานล่าสุดเกี่ยวกับประชากรของโลก ซึ่งสำนักข่าว Bloomberg ได้นำเอามาเสนอข่าวเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับประเทศไทย (เมื่อ 25 ก.ค. 2019) ว่าประเทศไทยนั้นมีความเหมือนกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์และฟินแลนด์ในเรื่องเดียวคือ มีการแก่ตัวของประชากรที่รวดเร็วเหมือนกัน แต่เรื่องอื่นๆ นั้น ไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงกันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสถานะทางเศรษฐกิจ เพราะในขณะที่ประเทศไทยประชาชนมีรายได้ต่อหัวเท่ากับประมาณ 2 แสนบาทต่อปี (แต่คนส่วนใหญ่จะมีรายได้ต่ำกว่านี้มากเพราะความเหลื่อมล้ำทั้งในเชิงของรายได้และความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ประชาชนมีรายได้ต่อหัวประมาณ 2.44 ล้านบาทต่อปี และประเทศฟินแลนด์ประชาชนมีรายได้ต่อหัวประมาณ 1.51 ล้านบาทต่อปี การแก่ตัวอย่างรวดเร็วของประชากรไทยนั้นเป็นผลมาจากความสำเร็จในการรณรงค์เพื่อให้คนไทยมีลูกน้อยลงตั้งแต่ทศวรรษ 70(หลายคนจะจำคำขวัญ “มีลูกมากจะยากจน” ได้) ซึ่งในขณะนั้นประชากรไทยมีอัตราการเกิดใหม่ (fertility rate) ประมาณ 6.6 คน (ต่อพ่อ-แม่ 2 คน) และต่อมาก็ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือ 2.2 คนในช่วงทศวรรษ 90 ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราต่ำสุดที่จะรักษาให้ขนาดของประชากรไม่ลดลง (ซึ่งจะต้องมีการเกิดใหม่ไม่ต่ำกว่า 2.1 คน) แต่ปรากฏว่าอัตราการเกิดใหม่ของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องไปอีกเหลือเพียง 1.5 คนในปัจจุบัน ซึ่งต่ำกว่าประเทศจีนที่ 1.7 คน ประเด็นคือการเกิดใหม่ที่ต่ำเช่นนี้จะทำให้จำนวนคนไทยที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 68 ล้านคนจะเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยในอีก 5-10 ปีข้างหน้าที่ประมาณ 69 ล้านคน แล้วลดลงอย่างต่อเนื่องถึง 34.1% ในปี 2100 (อีก 81 ปีข้างหน้า) ทำให้ประชากรไทยมีเหลือเพียง 45.5 ล้านคน การลดลงในระยะยาวของประชากรโดยรวมนั้น ก็มีด้านดีที่น่าจะทำให้ความแออัดในเมืองใหญ่ลดลงและน่าจะเป็นการช่วยลดปัญหามลพิษ การรุกล้ำป่า การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ การขาดแคลนน้ำและอาหารฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันอุปสงค์ก็จะลดลงในทุกมิติด้วย รวมทั้งความต้องการใช้บริการสาธารณะ เช่น การขนส่งมวลชน ตลอดจนความต้องการอสังหาริมทรัพย์และสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือยอดขายของธุรกิจทุกประเภทที่มี แต่จะต้องเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีนั้น ต่อไปการรักษายอดขายไม่ให้ตกในแต่ละปีก็จะเป็นเรื่องที่ท้าทายผู้ประกอบการอย่างมาก |
บทความทั้งหมด
|