ซัวซไดย ขแมร์ ตอนที่ 4 ขาขวิดในนครธม ![]() ขอแนบแผนที่สิ่งก่อสร้างในเขตนครธมกันอีกครั้ง (ขอได้รับความขอบคุณจากสำนักงานอุทยานการเรียนรู้) เราผ่านจุดหลักที่ใหญ่ที่สุดกันไปแล้ว คือ บายน ต่อไปคือ Baphuon หรือ คนไทยเรียกว่า ปราสาทบาปวน (จุดสีชมพูนะครัช) ปราสาทบาปวน เป็นศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์ ที่พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ โปรดให้สร้างขึ้นประจำราชธานี มีรูปแบบศิลปะจัดอยู่ในแบบบาปวน อายุราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๗ แผนผังปราสาททั้งหมดมีระเบียบได้สัดส่วนงดงาม ประกอบด้วยปราสาทหลังเดียวตั้งอยู่บนฐานขนาดใหญ่ที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่ปราสาทที่ตั้งอยู่บนฐานชั้นบนสุดพังทลายลงเหลือเพียงส่วนฐานเท่านั้น ![]() " เธอเห็นท้องฟ้านั้นไหม...ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ...." แสรดดดด แม้ว่าด้านข้างจะดูร่มรื่น แต่ทางเดินที่ทอดยาวนั้นไม่ได้ร่มรื่นเลย ร้อนมากกก....นี้กี่โมงแล้วนะ ห๊ะ...4 โมงงง ร้อนไปไหน ลม..นิ่งสนิท หึหึ พี่ขอพักแปร๊บบบบบ พี่ไม่พร้อม ถ้าจะร้อนให้พี่ท้าแดดขนาดนี้ ขอแปร๊บบบ....โฉมเอย...โฉมงามอร่ามแท้...แลตะลึง เยสสสส ตะลึงที่เมิงนั่งโบกครีมกันแดดนี้สิ ![]() เรดี้......โกๆๆๆๆ ป่ะ สวยโลกตะลึงกันแล้ว ก็ย่างขากันได้แล้ว นั่งจนเห็ดโคนจะงอกเป็นเพื่อนแล้ว พี่แค่นั่งทาครีม ญี่ปุ่นข้างหลังพี่ แมร่งถึงขั้นเสียชีวิต....หลับเฉยเบย ![]() จากจุดนี้ หันหลังกลับไปมองยังทางเดิน ก็มีข้อสงสัยว่า ทำไมต้องมีจุดพักระหว่างทางเดิน คือมีทางเดินช่วงหนึ่ง แล้วก็เป็นลักษณะคล้ายป้อม แล้วก็เป็นทางเดินเข้าปราสาท มันคือ ที่พักนายเวรยามทหาร เอาไว้ตรวจคนเข้าปราสาท?? หรือทางเดินหินมันร้อน คนสมัยก่อนไม่ใส่รองเท้า เลยต้องมีจุดพัก?? คำถามที่ต้องไปตามหาคำตอบอีกแล้ว หันไปหาต่างด้าวอีก 2 ตัว ดูหนังหน้ากันแล้ว "อย่ามายุ่งกะกรุ....กรุร้อนและเมื่อยมากกกก" ![]() ด้านบนปราสาทบาปวนนั้นช่างสูงและชันเหลือเกิน ชะนีสองนางเลยส่งหนุ่มสุดฮอตไปลาดตะเวน "เห้ย...ไม่ขึ้นจิงอ่ะ" เสียงจากหนุ่มสุดฮอต "ไม่" ชัดเจน มีไม่ลังเลอะไรทั้งนั้น (กรุเหนื่อย กรุขาสั่น กรุขึ้นไม่ไหววว) นายไปแตะขอบฟ้าเหอะ เด๋วเราถ่ายรูปจากข้างล่างนี้ ดูน่าจะสวยกว่านะ 555+ ถ้าให้จิตนาการเองแบบมโนล้วนๆ คงคิดว่า วิหารนี้บูชาพระจันทร์ หรือ พระอาทิตย์แน่ มีวงกบ 4 อัน ทำมุมสวยงาม ถะ...ถะ....ถุยยยย เมิงโคตรมั่วเลย เรื่องจิงแบบไม่มั่วคือ "เครื่องบนของโคปุระ ทำด้วยเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ซึ่งผุผังไปตามกาลเวลา โดยมีร่องรอยของการเจาะคานไว้บนหน้าบัวของโคปุระ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของศิวลึงค์ทองคำ สัญลักษณ์แทนพระศิวะ แต่ได้สูญหายไปนานแล้ว" ..... วิกิพีเดียกล่าวไว้ จุดต่อไปที่เราเดินกันแบบควายขวิด เวลาไม่พอ เหนื่อย หมดแรง หมดสิ้นแรงเสน่หาอารยธรรม จุดนี้ไข้ขึ้น คือ ปราสาทพิมานอากาศ เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ตรงกลางพระราชวังหลวงสันนิษฐานว่า ปราสาทหลังนี้คงจะเป็นศาสนบรรพต ที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ โปรดให้สร้างขึ้นรอบฐานชั้นบนสุดล้อมรอบด้วยระเบียงคดที่มีขนาดเล็ก แคบ และเตี้ย เพราะเป็นระเบียงหลังแรกในสถาปัตยกรรมเขมรที่มุงหลังคาด้วยศิลาทราย ปราสาทหลังเดียวที่อยู่ข้างบนหักพังไปเกือบหมด เหลือให้เห็นแต่ส่วนฐานที่มีแผนผังเป็นรูปกากบาท ![]() แล้วต่างด้าวทั้ง 3 ก็เดินผ่านไป การไม่ทำการบ้านมา เริ่มเห็นเป็นแค่กองหิน ความเหนื่อเข้าครอบงำ ตอนนี้คืออยากเจอบักแว๊นน้อย.....หิวน้ำ แล้วเราก็เดินไปโผล่ที่ ฐานช้าง หรือ ลานพระเสด็จ (จุดสีน้ำเงิน อ้างอิงจากแผนที่ด้านบน) ศิลปะแบบบายน มีลักษณะเป็นฐานขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาทราย ผนังด้านหน้าของฐานตลอดแนวมีภาพสลักนูนเป็นรูปขบวนช้างเรียงเป็นแนวยาว จึงเรียกกันว่า ฐานช้าง สันนิษฐานกันว่าอาจจะเป็นส่วนฐานของพลับพลาที่ประทับ ที่สร้างด้วยไม้เพื่อใช้ในวโรกาสที่พระราชาเสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้า หรือเมื่อมีงานพระราชพิธีหลวง ![]() ต่อไปก็เป็นฐานพระเจ้าขี้เรื้อน (จุดสีดำ อ้างอิงจากแผนที่ด้านบน) เสียใจไม่ได้ถ่ยรูปมา เพราะไม่รู้ว่าคืออะไร สวย แต่ไม่ถ่ายรูปมา เพราะหมดแรงจริงจัง ดังนั้น รูปต่อไปนี้ คือ รูปที่ไปหยิบยืมคนอื่นมาอีกแล้วววว ![]() ในฐานพระเจ้าขี้เรื้อนสามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้ น่าเสียดายที่เราไม่ได้เดินเข้าไป เพราะมันเหนื่อยเกินจะเดินไหว จุดสุดท้ายคือ พระราชวัง สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ปัจจุบันเหลือให้เห็นแต่เพียงร่องรอยของขอบเขตที่เป็นกำแพงซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก พระราชวังนี้ใช้เป็นที่ประทับของพระราชาเขมรองค์ต่อๆ มารวมถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โดยตัวปราสาทน่าจะสร้างจากไม้ และผุพังตามกาลเวลาไม่เหลือร่องรอยเช่นปราสาทหินต่างๆ ส่วนของพระราชวังน่าจะกลายเป็นส่วนที่ชาสบ้านจับจองตั้งเป็นร้านขายของที่ระลึก ![]() ป.ล. หากข้อมูลที่ลงผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอขอบพระคุณ ภาพและแผนที่ ที่ได้หยิบยืมมา เครดิตได้บางอัน เพราะเซฟเก็บไว้ ขอโทษเจ้าของภาพด้วย หากไม่ได้ลงเครดิต |