เที่ยวสิงคโปร์ฉบับสถาปนิกครั้งที่ 1




ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนานเลย คราวนี้กลับมาพร้อมบล็อกท่องเที่ยว

คราวนี้น้ำตาลกับคุณสามีไปเที่ยวสิงคโปร์กันค่ะ ประเทศเล็กๆที่ไม่ไกลจากบ้านเราเท่าไหร่

หลายคนน่าจะเคยไปมาแล้ว บางคนก็ไปบ่อยเพราะมันใกล้

หรือบางคนก็ชอบไปช้อปปิ้งนี่นั่น

ทริปนี้ที่ไปความตั้งใจคือไปดูสถาปัตยกรรมค่ะ ไม่เน้นช้อปปิ้งโน๊ะ แต่ก็มีกรุบกริบตามประสา

เริ่มต้นการเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ น้ำตาลเลือกบินกับ Tiger Air 

ราคาไปกลับตกราวๆ 5,200 บาทค่ะ และมีซื้อน้ำหนักเพิ่มกะเลือกที่นั่งก็เพิ่มอีกนิดหน่อย

เลือกมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิเพราะใกล้บ้านกว่าดอนเมือง และที่สำคัญคือ

duty free ที่สุวรรณภูมิมีของเยอะกว่า แหะๆ

เครื่องออกประมาณ 8.40 น. น้ำตาลไปถึงสนามบินประมาณ หกโมงครึ่งค่ะ

พอมีเวลาช้อปปิ้งกินข้าวเช้าเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง



เครื่องแลนด์ดิ้งที่สนามบินชางงีประมาณ 11.30 น. เวลาไทย ที่สิงค์เวลาจะเร็วกว่าไทย 1 ชม.

ก็คือ 12.30 น. กว่าจะผ่าน ตม. รับกระเป๋า อะไรเสร็จก็บ่ายโมงกว่า

แวะซื้อซิมโทรศัพท์สำหรับใช้อินเตอร์เนตที่บูทแลกเงินของ ธนาคาร UOB ค่ะ

เค้ามีซิมขายราคา 18$ ใช้ได้ 2 GB ซึ่งไป 4 วันเหลือๆค่ะ

ให้เค้าเปลี่ยนซิมเซตค่าให้ได้ด้วย แค่บอกเค้าให้ช่วยทำให้หน่อยก็เรียบร้อยค่ะ

( 1$ = 25 บาทไทยโดยประมาณนะคะ ทริปนี้แลกเงินสดไป 600$)

แนะนำว่าให้หยิบแผนที่เมืองจากที่สนามบินไปด้วยนะคะ มันช่วยได้มากในการเดินทาง

หยิบๆไปให้หมดค่ะ แล้วไปเลือกเอาว่าแผนที่อันไหนเวิร์ก



จากนั้นก็เดินขึ้นรถไฟเข้าเมืองค่ะ โดยไปติดต่อซื้อบัตร Ezy link ซะก่อน

มันมีขายแบบ 20$ ใช้กี่เที่ยวก็ได้ 3 วัน +ค่ามัดจำบัตร 10$ = 30$

จะได้เงินคืนเมื่อคืนบัตรตอนขากลับโน๊ะ

แต่น้ำตาลซื้อแบบบัตรเติมเงินธรรมดา มีค่าธรรมเนียมบัตร 5$ และเติมเงินไป 25$

เป็นราคา 30$ ไปเลยค่ะ อันนี้ตัดเงินตามการใช้งานจริง บัตรมีอายุ 5 ปี

ไปอีกก็เอาไปใช้ได้อีก เลือกแบบนี้เพราะกะจะไปอีกนั่นแหละค่ะ

30$ ที่ใส่ไปจะมีเงินที่ใช้ได้จริง 25$ นะคะ แค่นี้ก็ใช้จนวันกลับก็ยังเหลืออีก 8-9$

จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถค่ะ ก็ไปตามป้ายที่เค้าบอกนั่นแหละ


น้ำตาลจองโรงแรมมาแล้วชื่อ Hotel G ค่ะ อยู่ Middle Road ย่าน Bugis

ก็ขึ้นรถจากสนามบินไปต่อรถอีกขบวนที่สาย EW4 เพื่อนไปลงสถานี EW12 

แล้วต่อไปสาย Downtown 1 สถานีขึ้นที่ DT13 ใกล้โรงแรมที่สุด

เดินออกจาสถานีประมาณ 300 เมตรก็จะถึงโรงแรมค่ะ ระหว่างทางก็มีโบสถ์คริสต์สวยชิคๆ





เดินแป๊บเดียวไม่ทันเหนื่อยก็ถึงโรงแรมแล้วค่ะ แต่ด้านล่างเป็นร้านอาหาร

เราก็เลยจะงงๆหน่อยว่าจะเข้าทางไหนวะ เดินทำหน้างงๆ พนักงานที่ร้านก็บอกทางให้

มันต้องขึ้นไปที่ lobby ชั้น 2 ค่ะ ทุกอย่างที่นี่เล็กๆน่ารัก และมีทุกอย่างที่จำเป็นครบค่ะ





มาดูห้องพักกันค่ะ น้ำตาลจองแบบห้องเตียง King Size ที่แพงกว่า Queen Size นิดนึง

เพื่อการนอนตีแปลง แต่ขนาดห้องน่าจะเท่ากัน คือเล็กจิ๋วหลิ๋วเท่ากัน

หัวเตียง ปลายเตียง ชนผนัง มีทีวีแปะฝา ข้างเตียงมีโต๊ะทำงาน และชั้นวางของแขวนข้างฝา

ห้องน้ำกระจกและอ่างล้างหน้าในห้อง ทุกอย่างใส่ถุงแขวนผนังหมดค่ะ 

มีสบู่ แชมพู โลชั่นทุกอย่างครบ ไดร์เป่าผมมี ไม่แขวนเสื้อพร้อม

ใต้เตียงเป็น cave เอาไว้วางกระเป๋าเดินทางค่ะ เก็บทุกอย่างได้ครบไม่เกะกะ 

เพราะห้องแม่งเล็กมากจริงๆ สนนราคา 3 คืนอยู่ที่ราวๆ 12,000 บาทค่ะ








ในห้องที่นี่จะมี Handy ที่เป็น Smart Phone ให้ใช้ด้วยค่ะ สามารถใช้ 4G ได้ด้วย

และเอาออกไปใช้ข้างนอกได้ แค่วันเช็ตเอาท์เอามาวางคืนที่เดิมก็พอ อันนี้ฟรี

คือไม่จำเป็นต้องซื้อเนตเลยก็ได้ มาใช้ Handy เค้าก็โอเค แต่เราซื้อมาแล้ว ใช้ของตัวเองก็สะดวกดี



และที่เรารู้ๆกันค่ะว่าที่สิงคโปร์น้ำดื่มแพงมาก แบบที่บ้านเราขวดละ 10 บาท 

ที่นี่ขวดละประมาณ 40 บาทค่ะ คือแพงจริง แพงจนควรกินน้ำอย่างอื่นเพราะราคาเท่ากัน

ที่โรงแรมก็เลยมีบริการตู้กดน้ำและน้ำแข็งให้ฟรีๆค่ะ แค่หาขวดหรือกระติกมารอง

เอาพกไปกินระหว่างวันได้ ไม่เปลืองเงินค่ะ น้ำตาลก็เอาขวดน้ำจากห้องพักนั่นแหละค่ะ

มากรอกและพกไปทานระหว่างวัน

และในห้องพักก็มีถังใส่น้ำแข็งให้ด้วย เอาไปกดน้ำแข็งมาทานได้ตามใจชอบ








เช็ตอินเสร็จก็หิวหน้ามืดตาลาย ก็หาอะไรกินแถวโรงแรมนั่นแหละค่ะ

โชคดีข้างโรงแรมมีร้านอาหารตามสั่งแบบอาหารจีน ก็สั่งผัดเนื้อผัดไก่ราดข้าวมาคนละจาน

อิ่มหนำสบายท้องกันไป ราคาก็เอาเรื่องอยู่ 2 จานบวกน้ำก็ 13$ ค่ะ

วันแรกที่มาถึงนี้ โปรแกรมของน้ำตาลก็ไม่มีอะไรค่ะ เราจะเดินไปที่ Bras Basah เพื่อช้อปปิ้ง

พอดีช่วงที่ไป มีร้านหนังสือที่นั่นลดราคา 20-60% ค่ะ นี่ก็ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเผื่อไว้เลย






เส้นทางใกล้ๆแต่ด้วยไม่คุ้นเคยก็เลยเดินหลงไปหลงมา หลงจนจะเดินไปออก Orchard 

แต่ก็ดีค่ะได้เจออะไรต่อมิอะไรเพียบเลย


Chijmes Church


National Library


หลังจากช้อปปิ้งหนังสือที่ Bras Basah จนหนำใจแล้ว ก็ไปต่อที่ Bugis ค่ะ

เดินไปหน่อยเดียวเอง หิ้วของด้วยก็ยังเดินสบายๆค่ะ

ไปถึง Bugis แล้วก็เดินดูตึกซะก่อน งานออกแบบของ WOHA ไม่ทำให้ผิดหวังเลยค่ะ

Illuma Shopping Mall Bugis+





ข้างในคุ้นๆเนอะ เหมือนเกตเวย์เอกมัยบ้านเราเลย 5555++

ที่นี่มีร้านให้ช้อปปิ้งเพียบ โดยเฉพาะ sephora ลั้นลาซื้อได้สบายใจ

แถมให้ทำ vat refund ได้ด้วยง่ายมากๆ

แล้วก็กลับโรงแรมเอาของไปเก็บค่ะ พักแป๊บนึงแล้วลงไปทานข้าวเย็นค่ะ

มื้อที่สองเลือกทานอาหารแขกข้างโรงแรมอีกเช่นกัน

กลิ่นเครื่องเทศมันจัดจ้านหอมน่ากินมาก เลยสั่งมา 2-3 อย่าง

มีมะตะบะไก่ โรตี และแกงกะหรี่แพะ




มะตะบะชิ้นใหญ่มากๆ คือขนาดจานเปลล้นๆ กินกันแทบตาย

อาหารรสชาติดีมากค่ะ ไม่เผ็ดเกินไป อิ่มแบบจุกๆ สนนราคามื้อนี้ราวๆ 11$ ค่ะ

แกงกะหรี่แพะอร่อยมาก นี่ก็วางแผนซื้อกลับบ้านวันกลับด้วยเลย


พอท้องอิ่มเรี่ยวแรงก็มา จะเข้าโรงแรมนอนก็ไม่ใช่อ่ะ หาเรื่องเดินเล่นกันดีกว่า

เลยว่าจะไปเดินเล่นรอบๆ Marina Bay กัน 





เริ่มต้นที่สถานี EW12 ไปที่ EW14 แล้วเดินออกไปที่ The Clifford Pier ค่ะ

ก็เดินหลงไปหลงมาตุปัดตุเป๋แป๊บนึง เพราะขึ้นจากใต้ดินแล้วงงทิศ

พอเจอท่าเรือแล้วก็ง่ายแล้วค่ะ เดินไปเรื่อยๆดูไฟ ดูตึกยามค้ำคืน ละลานตาสุดๆ



เห็น Marina Bay Sand แต่ไกล ดีใจมากเพราะเดินหลงงงไปมาอยู่

เดินไปดู Merlion ค่ะ ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก

เดินบน Jubilee Bridge ก็มีแต่คนเยอะแยะไปหมด นักท่องเที่ยวทั้งนั้น

มีแก๊งค์หนุ่มญี่ปุ่นหน้าตาดี 5-6 คน มาขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ ป้าก็จัดไป

เดินไปอีกก็เจอสาวญี่ปุ่นน่ารัก 3 คนมาขอให้คุณสามีช่วยถ่ายรูปให้

เลยเปรยเล่นๆว่า เราควรมารับจ้างถ่ายรูปกันนะ ท่าจะรวย 55555



Merlion




View From Jubilee Bridge




Esplanade Building


เดินไปจนเจอตึกทุเรียนค่ะ Esplanade- Theatre on the Bay  

โอ้โห กลางคืนมันสวยกว่ากลางวันอีก สวยทุกมุม ดีเทลเพียบ เดินดูตึกด้วยความเพลิดเพลินมาก

และที่เจ๋งกว่าตึกคือ Landscape รอบๆตึกค่ะ คิดมาทุกมุม มี detail กุ๊กกิ๊กเต็มไปหมด





ปลายทางหัวมุมถนนมีทางลงสถานีรถไฟใต้ดิน ก็เดินลงไปเลยค่ะ เดี๋ยวหาทางกลับได้

EW13 City Hall เป็นสถานีที่ใต้ดินยาวมากๆ และมีห้างใต้ดิน

อีนี่ก็ช้อปปิ้งเลยสิคะ จะรออะไร ได้รองเท่า Charles & Kieth ลดราคามาคู่นึง 500 บาท

ซื้อ Garrett Popcorn มากินเล่นถุงนึง ถุงเล็กที่นี่ถูกกว่าไทย แต่ถุงใหญ่แพงกว่า


แล้วก็ลากสังขารกลับที่พักค่ะ....จบปิ้งสำหรับวันที่ 1 เดินขำๆ 24,xxx ก้าว ราวๆ 15 กิโลเมตรค่ะ





อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 วันนี้โปรแกรมของเรามีดังนี้ค่ะ

กินต่ำซำร้าน Tak Po ที่ China town

ซื้อ Ticket ทั้งหลายจากร้าน Agency ใน China Town

Nanyang Technology University

Park Royal Hotel

บะกุ๊ดเต๋ร้าน Song Fa

Clark Quey

Handerson Wave

Forest Walk

Interlace Building

ข้าวมันไก้ Boon Tong Kee

โปรแกรมยาวมาก.....จะได้รึเปล่าไม่รู้ไปลุยกันค่ะ



City View for Hotel G 16th floor



Prinsep Street Presbyterian Church


เดินไปลงสถานีใต้ดิน DT13 ไป China town ที่ DT19 ค่ะ





เดินขึ้นมางงทิศนิดหน่อย แล้วคลำทางหาร้าน Tak Po Dimsum ก่อนเดินประมาณ 50 เมตรก็ถึง

เป็นโชคดีที่ไปปุ๊บได้ที่นั่งเลยไม่ต้องยืนรอ ก็สั่งอาหารเลยค่ะ เพื่อนบอกว่าอร่อยทุกอย่าง

ร้านนี้คุณหมอเติ้ลเพื่อนรักแนะนำมาว่า "มึงต้องไปกินไม่งั้นมึงจะเสียใจ"

เมนูร้านนี้มีภาษาไทยค่ะ สบายๆจิ้มได้ไม่มีผิดแน่นอน

สั่งโจ๊กหมูรวม ขนมจีบ ฮะเก่า ฟองเต้าหู้ห่อกุ้งทอด คะน้าฮ่องกง

ชาจีนมะลิอีกป้านนึง.....อิ่มจุก 26$ ค่ะ



ขออภัยถ่ายรูปไม่ทัน กว่าจะนึกได้คือหมดแล้ว 5555++



แล้วเราก็จะเดินไปที่ People's Park Plaza ไปที่ร้าน SEAWHEEL Travel

เพื่อไปซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆในราคาที่ถูกกว่าไปซื้อที่บูททางเข้า

แต่เดินๆไป.....เอ้าเห้ย Park Royal Hotel อยู่ข้างหน้านี่หว่า

เออๆ....ดูซะหน่อยเก็บไปตึกนึงก่อน เด๊่ยวค่อยไปดูตั๋ว

โรงแรมนี้ออกแบบโดย WOHA อีกแล้ว จุดเด่นของอาคารนี้คือ สวนที่ประดับตึก

และการออกแบบที่เป็นชั้นๆ Contour เหมือนเอากระดาษลังมาตัดซ้อนๆกัน







จริงๆมันมีสวนข้างบนชั้น 5 ที่สวยแต่เราขึ้นไม่ได้ค่ะ เลยได้แต่อาฆาตไว้ว่า

เดี๋ยวคราวหน้าแม่จะมานอนที่นี่ซะเลย จะถ่ายรูปมันทุกซอกทุกมุม เอาให้หนำใจ 555++


แล้วก็เดินข้ามถนนไปที่ห้าง People's Park Plaza ชั้น 3 เพื่อซื้อตั๋วต่างๆ

ร้านนี้มีภาษาไทยและคนขายเป็นคนไทย สบายล่ะกู

สามารถรูดการ์ดได้แต่ชาร์จ 3% นะคะ น้ำตาลจ่ายเป็นเงินสดหมดเพราะลืม

ตั๋วที่ซื้อไปมีดังนี้ค่ะ

SEA Aquarium  25$

Garden by the Bay 2 Dome 18$

OCBC sky walk 5$

Cable Car 2 way 18$

total 66$ = 1650 บาท

ซึ่งราคานี้จะถูกกว่าราคาเต็มประมาณ 40-50% เลยค่ะ นี้เป็นราคาต่อคนนะคะ

ตั๋วทั้งหมดที่ซื้อ เป็นบัตรจริงใช้ได้เลย ไม่กำหนดวันเวลา เพียงแต่ต้องใช้ภายในวันที่กำหนด

สะดวกมากที่ไม่ต้องไปต่อแถวซื้อตั๋วด้วยค่ะ


เราจะไปต่อกันที่มหาวิทยาลัยนันยางเพื่อไปดู 2 อาคารด้วยกันค่ะ

เริ่มต้นลงสถานี DT19 เพื่อขึ้นรถสาย NE4 ไป NE3 เพื่อเปลี่ยนสายไปนั่ง EW16

แล้วนั่งยาวไปลงที่สถานี EW28 Pioneer พอรถไฟเริ่มออกนอกเมืองจะขึ้นมาบนดิน

สองข้างทางก็เป็นอาคารย่านที่พักอาศัยค่ะ ดูวิว ชมตึกกันเพลิดเพลิน

ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากนั้นก็จะต้องต่อรถประจำทางไปอีกหน่อยนึง

แต่เราเห็นเด็กนักศึกษายืนเป็นแถวเหมือนรออะไร ก็เลยไปถามว่าจะเข้าไปนันยางไปไง

นางตอบว่า ต่อแถวนี้เลย เดี๋ยวมี Shuttle Bus ของมหาลัยมารับส่งฟรี

โอ๊ย.....ดีจัง ยืนรออยู่ 5 นาที รถก็มา ได้นั่งรถฟรีเว้ยเห้ย นั่งประมาณ 10 นาทีก็ถึงค่ะ

พอเข้าในเขตมหาวิทยาลัยแล้วเราจะลงที่ป้ายที่ 3 นะคะ


อาคารแรกที่จะไปดูคือ Green Roof Building ที่เป็น School of Art, Design and Media













เดินดูจนหนำใจแล้ว ก็ออกเดินไปที่อีกตึกนึงค่ะ เค้าเรียกว่า Dim Sum Building

มันมีชื่อจริงว่า Learning Hub ออกแบบโดย Heaherwick Studio

เป็นอาคารสำหรับนักศึกษามานั่งทำงาน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ มีห้องให้แบ่งเป็นเซลล์

มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบ Printer, White Board ห้องประชุมย่อย

ร้านกาแฟ ร้านขายของเล็กๆ คือน่านั่งทำงานมากๆ

หน้าตาตึกมันเหมือนเข่งติ่มซำจริงๆด้วยค่ะ ตึกนี้ดูเพลิน มีรายละเอียด Detail เยอะมาก

เทคนิกการก่อสร้างก็หวือหวา ดูสนุกสุดๆ ใช้เวลากับที่นี่นานมากค่ะ ร่วมชั่วโมงได้









เดินดูทุกชั้นและถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็ได้เวลากลับค่ะ เริ่มหิวแล้วด้วย

ก็ไปรอรถประจำทางที่ป้ายค่ะ คราวนี้เราก็สามารถกลับรถ Shuttle Bus ก็ได้

แต่สาย 179 มาก่อนก็ขึ้นเลยค่ะ ใช้บัตร EZy link แตะจ่ายเงินได้เช่นกัน

ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็มาถึงสถานี EW28 Pioneer 

ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกหิวข้าวมาก พกแต่น้ำมาไม่ได้พกขนมเลย รู้สึกพลาดมาก

คิดแต่ตอนนี้ต้องไปกินบะกุ๊ดเต๋ร้าน Song Fa ก่อน

จาก EW28 - EW16 เปลี่ยนสาย NE3 - NE5

NE5 Clark Quay อ่านว่า คล้าก คีย์ นะคะอย่าออกเสียงเป็นอื่นไป

ตรงข้ามสถานีทางขึ้น ข้ามถนนไปจิ๊ดเดียวก็จะเจอร้าน Song Fa แล้วค่ะ

ร้านนี้ขอใช้คำว่า.....ต้องมากินให้ได้ค่ะ

หมอเติ้ลอีกเช่นกันที่ย้ำมารัวๆว่า "มึงต้องมากินให้ได้ สั่งผักดองด้วยไม่งั้นมึงจะเสียใจ"

บะกุดเต๋หรือกระดูกหมูตุ๋นยาจีนที่ร้านนี้สั่งมา 1 ชาม เติมซุปได้เรื่อยๆไม่อั้น

ผักดองอร่อยจริง ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ไส้พะโล้ไม่โอเท่าไหร่ ล้างไส้ไม่ดีมีทรายกุบๆไม่ชอบอ่ะ








แต่ที่พีคและฟินสุดๆต้องจานนี้ค่ะ ท้องหมูพะโล้

คือมันหอม นุ่มนวล เข้มข้น และละลายในปาก....เมนูนี้ไม่ควรพลาดจริงๆ

อ้อ....ร้านอาหารที่นี่จะแจกผ้าเย็นให้เช็ดมือ เค้าคิดเงินนะคะ ถ้าไม่เอาปฏิเสธได้

เพราะปกติน้ำตาลพกกระดาษเปียกอยู่แล้ว

มื้อนี้ราคาประมาณ 30$ ค่ะ.....แต่ฟินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


อ่อพอท้องอิ่มก็มีแรงแต่ยังเบลอ คิดแค่ไปเดิน Clark Quay ก็ข้ามถนนไป

เดินๆๆๆ.....ดูแล้วงั้นๆ มันเป็นอาคารริมน้ำที่ตกแต่งสีๆ และมีร้านอาหาร, บาร์, ร้านกาแฟ

มีแต่ฝรั่งนั่งกินเบียร์ เดินแผล็บเดียวก็ทั่วแล้วค่ะ




แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ไป Handerson Wave เลย แต่ยังงงว่าจะไปไงวะ

เปิด google map แม่งก็จะให้ไปรถเมล์กะแท็กซี่ลูกเดียว อีนี่เลยต้องกาง Map ออก

แล้วเห็นสถานีใต้ดินตรงนั้นพอดี เอาวะ....เดี๋ยวไปรถไฟนี่ก่อนแล้วค่อยไปต่อรถเมลล์

NE5 Clark Quay - NE1 Harbour Front 

แล้วไปต่อรถเมลล์สาย 145 เพื่อไป Handerson Wave ใช้เวลารอรถประมาณ 10 นาที

นั่งรถก็ 5 นาทีถึงค่ะ แต่เดินไม่ไหว การจราจรที่นี่คล่องตัวมาก แป๊บเดียวถึง

สังเกตุไม่ยาก เห็นสะพานแต่ไกลเลยค่ะ แต่ถ้าไม่มั่นใจบอกคนขับรถให้ช่วยบอกทางได้ค่ะ




เมื่อไปถึงเราก็จะเจอบันไดค่ะ บันไดที่จะขึ้นไปบนสะพานนั่นแหละค่ะ

แต่เห็นก็รู้สึกหอบแล้ว อากาศที่นี่เป็นแบบร้อนอบอ้าวและชื้นมาก หายใจลำบาก

แต่ก็อดทนเดินขึ้นไป เหนื่อยก็พักหายใจแล้วเดินต่อค่ะ



นั่นไง Handerson Wave เป็นสะพานที่เชื่อม Mount Faber Park กับ Telok Blangah Hill Park

จุดชมวิวของเมือง มองเห็นอ่าวชัดเจน วันที่ไปอากาศมัวซัวมากเลยไม่เห็นพระอาทิตย์ตกที่นี่

สะพานนี้เป็นเหมือนสวนสาธารณะของเมืองค่ะ ตอนเย็นๆจะมีคนมาเดินเล่น มาวิ่ง มาออกกำลังกาย








พอเดินลงมาด้านล่างอีกฝั่งก็เป็นสวนสาธารณะ มีลานเต้นแอโรบิก ชกมวยและเครื่องออกกำลังกาย

คล้ายๆสวนลุมพินีบ้านเราเลยค่ะ น้ำตาลก็เดินต่อไปอีก เพราะเรากำลังมุ่งหน้าไป Forest Walk ค่ะ





เราก็เดินไปตามป้ายค่ะ เพื่อไปให้ถึง Forest Walk 

เดินไปเรื่อยๆ ขึ้นๆลงๆเนินเขาใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ

เราจะเดินผ่านสวนสาธารณะบ้านเค้า ก็มีลานออกกำลังกาย เหมือนสวนลุมบ้านเรา

เดินไปตามป้ายบอกทาง ก็จะเจอสถานที่เหมือนบังเกอร์ทหาร ล้อมรั้ว และมียามเฝ้า

มันคือ reservoir หรือ ที่เก็บน้ำใต้ดินของเมืองค่ะ




ตรงนี้แหละที่เป็นทางเข้าและจุดเริ่มต้นของ Forest Walk ค่ะ

Forest Walk เป็นทางเดินโครงสร้างเหล็ก บนยอดไม้ ระยะทาง 2.1 -2.5 กิโลเมตร

ทางเดินจะขึ้นๆลงๆ ผ่านต้นไม้ต่างๆ เนินเขาที่เต็มไปด้วยเฟิร์น น่าตื่นตาตื่นใจ

มีเด็กๆและคนมาวิ่งออกกำลังกายบนทางนี้ไม่น้อยเลยค่ะ 












ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะจบแค่ที่ Handerson Wave ค่ะ

เดินบน Forest Walk ไปจนเกือบสุดทาง แต่เราเดินออกตรง Preston Road

เป็นถนนเส้นเล็กๆย่านที่พักอาศัยแบบบ้านเดี่ยวทรงคลาสสิก

ที่นี่ใครอยู่บ้านเดี่ยวถือว่ามีฐานะมากค่ะ เพราะที่ดินราคาแพงโคตรๆ คนส่วนใหญ่อยู่อพาร์ทเมนต์

หรือคอนโดมิเนียมซะมากกว่า

ปลายทางของเราเห็นมาแต่ไกลเลยค่ะ นั่นคือ Interlace โครงการที่พักอาศัยขนาดใหญ่

ออกแบบโดย OMA, designer and partner-in-charge Ole Shareen

คนเดียวกับที่ออกแบบตึกมหานครบ้านเรานั่นแหละค่ะ






อาคารวางตัวสลับกันไปมาดูหวือหวา และโครงการใหญ่มากค่ะ ดูจากรูปไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้

แต่เนื่องด้วยเป็นอาคาร Residential จึงต้องมี Security เราเลยไม่สามารถเดินเข้าไปดูได้

ได้แต่เมียงมองถ่ายรูปจากด้านนอกเท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ


แล้วก็นั่งรอรถเมลล์ตรงป้ายหน้าคอนโดนั่นแหละค่ะ รอประมาณ 20 นาทีกว่ารถจะมา

สาย 175 จะพาเราวิ่งอ้อมเมือง ทะลุทะลวงตลอดถนน Orchard 

อันนี้ตั้งใจนั่งรถดูเมืองค่ะ เพราะขี้เกียจเดินแล้ว ดูถนนสายห้างแบบไม่ลงเดิน

แล้วก็ไปลงแถวย่าน Bugis เพื่อเดินกลับโรงแรมแบบหมดสภาพ หาอะไรแถวๆนั้นกิน

ซึ่งไปกินบะหมี่ที่ไม่อร่อยเลย แต่ก็กินค่ะ 55555

กลับขึ้นห้องนอนสิ้นสภาพ เตรียมลุยต่อพรุ่งนี้



วันที่ 3 นี้เรายังไม่มีแผนใดๆมากไปกว่า ไปในสิ่งที่เราซื้อตั๋วไว้เมื่อวานให้ครบ

เริ่มด้วยไป SEA Aquarium ซะก่อน แล้วค่อยไป Garden by the Bay

เช้านี้กินอะไรง่ายๆอย่างขนมปังสังขยาร้าน Yakun Kaya Toast ค่ะ

หวานแสบคอ....กินได้ไม่มากเลยเอาพกติดตัวมาด้วย เผื่อหิวรองท้องไว้จะได้ไม่หมดแรง


ก็เริ่มต้นนั่งรถใต้ดินจาก DT13 - DT19 เปลี่ยนขบวน NE4 - NE1

ขึ้นที่สถานี HabourFront เพื่อไปขึ้น Cable Car ไปเกาะ Sentosa ค่ะ

พอไปถึงที่สถานี Cable Car ก็เจอคิวซื้อตั๋วยาวเหยียดเลยค่ะ

โชคดีที่เราซื้อตั่วมาเรียบร้อยแล้วแค่เดินไปขึ้นลิฟต์เท่านั้นเอง

Cable Car นี้มี 2 สายค่ะ สายจาก Faber Mount Station - Sentosa

และสายภายใน Sentosa เอง.....ซึ่งตั๋วที่เราซื้อมา 18$ นั้นได้ครอบคลุมทุกสาย ทุกเส้นทาง

พอเราเดินไปขึ้นลิฟต์เจ้าหน้าที่ก็กั้นไว้แล้วบอกว่า บนสถานีคนเต็มมากให้รอก่อน

คืองี้ สถานีมันเรียงกันงี้ค่ะ

Faber Mount  - HarbourFront - Sentosa

ตอนนี้เราอยู่ที่ HarbourFront ที่จะมุ่งหน้าไป Sentosa แต่คนล้นสถานี

ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าเราจะนั่งไป Faber Mount ก่อนแล้วค่อยวนไป Sentosa ได้ไหม

เค้าก็ว่าได้ไม่มีปัญหา ก็เลยขึ้นเลยค่ะ นั่ง Cable Car ขึ้นเขาก่อนแล้วค่อยวนไปที่เกาะอีกที

HarbourFront - Faber Mount - HarbourFront - Sentosa










Cable Car อยู่สูงมากค่ะ เล่นเอานิ้วเท้าหดเลยล่ะ แต่ไม่ได้น่ากลัวนะคะ

แถมคันที่นั่งก็ว่างแบบเป็น Private Car กันเลย แต่ตอนขาลงมีแวะรับคนเพิ่มไปด้วยกัน

เป็นครอบครัวญี่ปุ่นพ่อแม่และลูก 2 คน น่ารักเชียวค่ะ

ถึงเกาะ Sentosa แล้วก็ลง คนขายตั๋วว่าเดิน 5 นาทีถึง SEA Aquarium ก็เลยลองเดินกัน

เดินไปแป๊บนึงเริ่มงงๆ...ทำไมไม่มีคนเดินเลยวะ แล้วทางก็ดูรกแปลกๆ เหมือนเค้าไม่เดินกัน

เลยเดินกลับไปที่ป้ายรถเมลล์......โถอิงั่ง เค้ามี Shuttle Bus iับส่งฟรีเว้ย

มี 2 สาย....ไปสายไหนก็ได้ที่เขียนว่าไป Resort World ค่ะ

ถ้าไม่แน่ใจให้ถามคนขับรถเค้าจะบอกเราได้ว่าต้องลงตรงไหน รถเมลล์ที่นี่ต้องเค้าคิวขึ้นนะคะ

ใครวิ่งมาแบบไปวิ่งตามรางคิว คนขับแม่งตะโกนไล่ให้ไปวิ่งตามรางคิวมาใหม่ 

นานแค่ไหนก็จอดรอค่ะ....โคตรพีค 55555++


พอไปถีง Resort World ก็เดินตามป้ายไป SEA Aquarium ได้ง่ายๆไม่ยากเลย

แต่คิวเข้ายาวมาก ต้องเข้าแถวยืนรอประมาณ 20 นาทีได้ค่ะ

เราดันไปวันที่ 1 พค. วันแรงงาน เป็นวันหยุดของเค้าเหมือนกัน

มีทุกชาติ เด็กทุกวัย......ปวดกบาลมาก ถ้าเลี่ยงได้ไปวันธรรมดานะคะ








Aquarium ที่นี่ใหญ่โต มีเกือบทุกอย่าง Display จัดได้ดีมาก

ที่เป็นไฮไลท์คือบ่อใหญ่กระจกกว้างหลายสิบเมตร มี Manta Ray ตัวเบิ้มกว้าง 6 เมตร

กระจกหนาถึง 75 เซนติเมตร มีบรรยายที่นี่ เด็กและผู้ใหญ่นั่งดูกันเพลินเลยค่ะ

ปลากระเบนทั้ง Sting Ray และ Manta Ray นี่ขี้เล่นมากค่ะ ชอบว่ายมาทำจ๊ะเอ๋ด้วย




ออกจาก Aquarium แล้วก็ได้เวลาไปนั่ง Cable Car รอบ Sentosa ค่ะ

ไหนๆก็ซื้อตั๋วมาแล้ว นั่งซะให้ครบดูให้ทั่วเกาะ

สายของ Cable Car บนเกาะมี 3 สถานีค่ะ

Siloso Point - Imbiah Lookout - Merlion

โดยที่สถานี Imbiah นั้นจะเชื่อมต่อกับสถานี Sentosa ค่ะ

โอเค.....เราเริ่มตรงที่นั่งรถ Shuttle Bus จาก Resort World ไปที่ Siloso Point

และนั่ง Cable Car จากตรงนั้นค่ะ ลูปก็จะเป็นไปตามนี้


Siloso Point - Imbiah Lookout - Merlion - Imbiah Lookout











เมื่อครบลูปชมวิวได้ทั่วแล้วก็นั่ง Cable Car กลับค่ะ จาก Sentosa - HarbourFront ตามเดิม

แล้วก็ไปหาของกินค่ะ หิวจนจะเป็นลมแล้ว....กลับไปที่ร้าน Song Fa เจ้าเดิม

กินเมนูเดิม เพราะคุณสามีติดใจมาก ขอไปซ้ำค่ะ ก็นั่งรถไฟไปกินตรง Clark Quay เหมือนเดิม

เพิ่มเติมคือร้านตรงหัวมุมที่ทานเมื่อวานปิดค่ะ แต่มีอีกสาขาถัดไป 2 ห้องเปิดอยู่

ร้านนี้อร่อยสู้ร้านหัวมุมไม่ได้ แต่ที่ดีต่อใจคือ เด็กเสิร์ฟหล่อมว๊าาาากกก 55555++




ท้องอิ่มแล้วก็ไปต่อค่ะ มุ่งหน้าสู่ Garden by the Bay

NE5 - NE4 เปลี่ยนสาย DT19 - DT16 

ขึ้นที่สถานี  Bayfront ค่ะ ขึ้นมาก็เจอเลยมันมีทางเดินมุดๆมาถึง

ขึ้นมาก็เจอ Marina Bay Sand ตั้งตระหง่านอยู่ มุมนี้ถ่ายรูปออกมาได้ ยานแม่ลงจอดมากๆ












เดินเล่นถ่ายรูป Pavilion ด้านหน้าอย่างเพลิดเพลิน แล้วค่อยๆเดินเข้าไปข้างในค่ะ

เรากำลังมุ่งหน้าไปที่ Flower Dome และ Cloud Forest Dome 

ถ้านั่งรถลากก็คนละ 3$ ถ้าเดินก็ 15 นาที

เราสองคนงกค่ะ ยอมเดินเพราะจะได้ดูสวนไปด้วย มีสวนหลากหลายแบบ

สวนจีน สวนญี่ปุ่น สวนฝรั่ง เดินดูไปฟรีไม่มีค่าเข้าประตู

เทียบกันแล้วก็คล้ายๆสวนหลวง ร.9 บ้านเรานี่ล่ะค่ะ




มาถึงแล้วค่ะ Flower Dome 












ข้างใน Dome หนาวมากๆค่ะ อากาศเย็นสุดๆ เย็นขนาดเอาทิวลิปมาปลูกได้อ่ะค่ะ

ลูกเด็กเล็กแดงห่อกันเป็นมัมมี่เลย และข้างในหอมกลิ่นดอกไม้ด้วย 

ดอกไม้และต้นไม้ข้างในคือเยอะมากๆหลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งจากอเมริกา อังกฤษ

หรือดอกไม้ต้นไม้จากแอฟริกาด้วยค่ะ

ด้านบนของโดมเป็นต้นไม้โบราณและกระบองเพชรแบบต่างๆ ดูเพลินแม้คนจะเยอะมาก

เด็กเพียบ....มีเสียงเด็กร้องไห้ทุกๆ 3 วินาที 5555++




ดูจบครบแล้วก็ไปต่อที่ Cloud Forest Dome ค่ะ

ตะกี้เป็นโดมดอกไม้เมืองหนาว นี่มาค่ะ ต้นไม้ป่าเขตร้อนชื้น คิดถึงอเมซอนเข้าไว้ค่ะ

เดินเข้าประตูไปก็เจอน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลลงมากจากภูเขาต้นไม้ สวยตะลึงมากค่ะ





ที่เด็ดไปกว่านั้น ช่วงเวลาที่เข้าไปประมาณ 5.30 น. ได้เวลารดน้ำค่ะ

จะมีละอองน้ำพุ่งออกมาในโดมทุกทิศทุกทาง เป็นหมอกน้ำรอบตัว ทั้งชื้นและเย็น

แต่สวยพีคมากค่ะ






ภูเขาต้นไม้นั้นข้างในมีลิฟต์ พาขึ้นไปที่ชั้น 6 และค่อยๆเดินลงมา

มีโถงนิทรรศการเป็นระยะ ที่เด็ดสุดก็ไอ้ทางเดินสไปเดอร์แมนนี่แหละค่ะ ที่สวยเก๋และเท่มาก

ควรค่าแก่การมาและขึ้นไปเดิน แม้จะต้องต่อคิวขึ้นลิฟต์ประมาณ 15 นาที

ที่นี่เค้าเน้นย้ำให้คนตะหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลกที่ร้อนขึ้น

ธรรมชาติที่มีจะเสียสมดุลยังไง คนสิงค์โปร์นี่เอะอะต้นไม้จริงๆค่ะ





เดินวนจนครบแล้วก็ออกมาค่ะ ไปที่ Super Tree เพื่อที่จะไปเดิน OCBC Sky Walk

มาถึงแล้วยังต้องยืนต่อคิวเพื่อขึ้นลิฟต์ไปด้านบนอีกประมาณ 20 นาทีได้ค่ะ

คือจ่ายเงินซื้อตั๋วขึ้นไปเดินแล้วไง เลยต้องอดทน ไม่งั้นเผ่นไปที่อื่นแล้วค่ะ

พยายามกะเวลาให้ออกมาตอนราวๆ 6.30 - 7.00 น. นะคะ ไฟก็จะเปิดพอดี ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน











พอได้ขึ้นและเดินลงมาแล้ว ก็กำลังตัดสินใจกันว่า จะไปไหนต่อดี

กินข้าวมันไก่ หรือยังไง กะเหรี่ยงสองคนผัวเมียกำลังงง และเห็นคนมานั่งๆนอนๆเต็มสนามหญ้า

เค้ามาทำอะไรกันนะ แล้วก็มีเสียงประกาศ

Lady & gentleman please welcome enjoy to the show.

อ๊ะอ้าว.....มีการแสดงไฟบนต้นไม้ Super Tree ค่ะ

เราก็รีบวิ่งไปนาที่นอนดูบนสนามหญ้าเลย ไม่ต้องกลัวนอนทับขี้หมาหรือน้ำลาย

สิงคโปร์สะอาดมากจริงๆค่ะ นอนได้ไม่ต้องกังวล






จบการแสดงแล้ว คนก็แยกย้ายกลับกัน นี่ก็กลับค่ะ แต่กลับโดยการเดินไปต่อค่ะ

เดินไปเรื่อยๆเพื่อที่จะไปดู Helix Bridge หรือสะพาน DNA 

และเดินเล่นรอบอ่าว Marina Bay ยามค่ำคืน เพราะอ่าวซีกนี้ยังไม่ได้มาเดินเลยค่ะ







เดินวนจนหนำใจและลากขาต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็กลับลงสถานีใต้ดินตรงตึก Esplanade 

เพื่อไปยังโรงแรมที่พัก.....วันนี้เหนื่อยจัดค่ะ ไม่แวะทานข้าวเย็นแล้ว

มีแค่แวะซื้อขนมไปกินที่ห้องเลย ไม่กินแล้วข้าวเขิ้ว ร่างกำลังจะแหลก

กินพอรองท้องแล้วก็อาบน้ำนอนสลบเหมือดค่ะ เดินไป 16 กิโลกว่าๆเท่านั้นเอง




วันสุดท้ายก่อนกลับบ้านค่ะ

วันนี้โปรแกรมไม่มีอะไรมาก แค่ไปกินข้าวมันไก่ ไปดูสถานี Bras Basah  ที่ WOHA ออกแบบ

และช้อปปิ้งค่ะ.....เย้

เริ่มต้นที่ China Town อีกครั้งค่ะ DT13 - DT18

เราจะไปกินข้าวมันไก่ร้าน Tian Tian ตรง Maxwell Food Court  ค่ะ

เดินหลงวนไปวนมาดูตึกใน China Town ไปเรื่อยๆก็เพลินดี





จนไปถึงร้าน.....โชคดีมากที่ไปถึงตอนไม่มีคิวเลยค่ะ

สั่งข้าวมันไก่คนละจาน + ผักลวกราดน้ำมันหอย น้ำไม่ต้องเราพกมาเอง

ไก่นุ่มจริง อร่อยจริง แต่น้ำจิ้มบ้านเราแซ่บกว่าเย๊อะะะ



พอทานเสร็จว่าจะซื้อใส่กล่องไปฝากน้องชาย

คุณพระ....แค่กินข้าวหมดจานไม่น่าเกิน 10 นาที......ดูคิวสิคะ

อ้วนอดนะพี่ต่อคิวไม่ไหว ไปล่ะ







ว่าจะไปดูวัดแขก Sri Mariamman แต่ฝนตกลงมาห่าใหญ่มากค่ะ

เปียกกันหมด กางเกง รองเท้า.....เละค่ะ 555++

ช่างมันวันสุดท้ายแล้ว มุ่งหน้าไปที่สถานี CC2 Bras Basah กันค่ะ




DT19 - DT15 เปลี่ยนสาย CC4 - CC2 

ก็มาถึงแล้วสถานี Bras Basah คือใหญ่มาก อลังมาก และไม่ต้องออกจากประตูค่ะ

ดูเพลินถ่ายรูปไม่ยั้ง สาแก่ใจอิช้อยนัก 







หมดเวลาร่าเริงแล้วค่ะ กลับโรงแรม ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้

แล้วเผ่นไปสนามบินกันค่ะ.....ระหว่างทางแวะซื้อซาลาเปายักษ์ลูกละ 4$ ไว้

กะกินเป็นอาหารกลางวันที่สนามบินค่ะ ซื้อมา 2 ลูก

แต่ด้วยขนาด.....คือกิน 2 คนลูกเดียวก็จุกแล้วค่ะ 555++





จบทริปสิงคโปร์ครั้งที่ 1 อย่างสวยงาม.....แต่ยังเก็บตึกที่จะดูไม่ครบ

ครั้งที่ 2 ต้องมีค่ะ อิอิอิ




-----------------------------------

การเดินทางครั้งนี้และที่พักไม่มีสปอนเซอร์ใดๆนะคะ



Create Date : 28 พฤษภาคม 2560
Last Update : 30 พฤษภาคม 2560 0:23:59 น.
Counter : 2879 Pageviews.

2 comments
"วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร โปรดมองมาทางนี้ เธอจะเห็นใครคนหนึ่งที่รอเธอ" คนผ่านทางมาเจอ
(10 เม.ย. 2567 23:49:39 น.)
✿ Food For Fun :: Hot Wok Return #94 :: กินเพลินเกินห้ามใจ " ปีกไก่ทอด " ✿ เนินน้ำ
(9 เม.ย. 2567 13:57:01 น.)
ถนนสายนี้..มีตะพาบ ( 349) วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร peeamp
(8 เม.ย. 2567 12:38:27 น.)
ตะวันยอแสง ที่ ภูคกงิ้ว พายุสุริยะ
(7 เม.ย. 2567 18:27:17 น.)
  
เห็นแล้วอยากไปสิงคโปร์อีกจังค่ะ
โดย: honeynut วันที่: 30 พฤษภาคม 2560 เวลา:11:19:36 น.
  
แหล่มมากก....คิดถึงสิงคโปร์ขึ้นมาเลย
โดย: หมูเดินทาง (หมูเดินทาง ) วันที่: 31 พฤษภาคม 2560 เวลา:11:17:20 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sugarandbananaleaf.BlogGang.com

bemynails
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 69 คน [?]