บันทึกลับของ แอนน์ แฟร้งค์
หลังจากอ่าน the reader จบ บวกกับสถานการณ์โลก(อิสราเอล กับปาเลสไตน์) ทำให้อยากจะรู้จักยิวขึ้นมา ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะเริ่มศึกษาจากตรงไหนดี อยู่ๆ ในหัวก็แว่บถึงหนังสือเรื่อง บันทึกของแอนน์ แฟรงค์ เพราะจำได้ลางๆ ว่า เป็นหนังสือที่พิมพ์ขึ้นจากบันทึกของเด็กหญิงชาวยิวที่บันทึกไว้ ขณะสงครามโลกครั้งที่2
บันทึกของแอนน์ แฟร้งค์ พิมพ์ขึ้นจากบันทึกประจำวันของเด็กหญิงอันเน่อ แฟร้ง(ออกเสียงตามภาษาเยอรมัน) แอนน์ได้สมุดบันทึกเล่มนี้ เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ13 ปี เธอชอบสมุดบันทึกเล่มนี้มาก ยกให้มันเป็นเพื่อนสนิทเลยทีเดียว เป็นเพื่อนที่เธอสามารถระบายความในใจในหลายๆ เรื่องได้ และเธอตั้งชื่อมันว่า คิตตี้
ครอบครัวของแอนน์มีอยู่ด้วยกัน4 คน อ๊อตโต้ แฟร้งค์(พ่อ), อีดิธ แฟร้งค์(แม่), มาร์กอธ แฟร้งค์(พี่สาว) และก็ตัวแอนน์เอง....แต่เดิม ครอบครัวของแอนน์ อาศัยอยู่ในเยอรมัน แต่พ่อของแอนน์เกิดวิตกกังวลว่า ถ้าฮิตเลอร์มีอำนาจขึ้นมาเมื่อไหร่ ชาวยิว จะต้องเดือดร้อนแน่ๆ อ๊อตโต้ จึงพาครอบครัวย้ายมายังฮอลแลนด์.........แต่ถึงกระนั้น ก็ยังหลบไม่พ้น ภัยจากสงคราม เมื่อเยอรมันบุกยึดฮอลแลนด์ได้ คราวซวยของชาวยิว และชาวฮอลแลนด์ก็มาถึง....ชาวยิวถูกสั่งให้ติดดาวเหลืองที่หน้าอก เพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นชาวยิว, ห้ามขึ้นรถราง จะไปไหนก็ให้เดินเอา หรือไม่ก็ขี่จักรยาน ต้องเรียนโรงเรียนเฉพาะ สำหรับยิวเท่านั้น ห้ามคบค้ากับคนคริสเตียน แม้แต่ชาวฮอลแลนด์ ก็พลอยซวยไปด้วย คือ ห้ามให้การช่วยเหลือชาวยิวในทุกกรณี
แอนน์ เริ่มเขียนบันทึกเมื่อเดือนมิถุนายน ช่วงแรกๆ ของบันทึก ก็เป็นเรื่องราวทั่วๆ ไปของเด็กวัยรุ่น เรื่องเพื่อนหญิง เพื่อนชาย จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม.....มาร์กอธ พี่สาวอายุ16 ปีของแอนน์ ถูกจดหมายเรียกตัวจากเยอรมัน ทำให้ครอบครัวของแอนน์ตัดสินใจอพยพไปยังที่ซ่อน เร็วกว่ากำหนด โดยที่ซ่อนนี้ ก็ไม่ใช่ที่ไหน ตึกสำนักงานของอ๊อตโต้น่ะเอง พ่อของแอนน์เตรียมการเรื่องที่ซ่อนล่วงหน้าไว้ระยะนึงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือแบบแอบๆ ของเพื่อนร่วมสำนักงานที่เป็นชาวดัตช์ ถึงแม้จะเป็นการย้ายเข้าไปก่อนกำหนด แต่ก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก เพราะเตรียมการกันเกือบจะเสร็จแล้ว และในที่ซ่อนลับนี้ นอกจากครอบครัวของแอนน์ ก็ยังมีครอบครัว วานเพล(ในสมุดบันทึกแอนน์เรียกพวกเค้าด้วยนามแฝงว่า วานดาล) ประกอบด้วยนายและนาง วานเพล และปีเตอร์ ลูกชายอายุ16 ปี ดังนั้นในที่ซ่อนลับจึงมีทั้งสิ้น 7 คน ก่อนที่หลังจากนั้นต่อมา พวกเค้าจึงตัดสินใจรับสมาชิกเพิ่มอีก1 คน เป็นหมอฟัน ชื่อว่าดุสเซิ่ล รวมเป็น8 คน
ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ทำให้รู้ที่เค้าว่า ชาวยิว เป็นชนชาติที่ฉลาดที่สุดในโลก นี่น่าจะจริง ก็คิดดูดิ หลบๆ ซ่อนๆ กันอยู่ ยังมีกะใจ เรียนกศน. ทางไปรษณีย์ เวลาว่างของแต่ละคน ก็อ่านหนังสือ เรียนคณิต เรียนภาษา ฯลฯ มาร์กอธพี่ของแอนน์ ก็เรียนละติน ทางไปรษณีย์โดยใช้ชื่อชาวดัตช์ที่ให้การช่วยเหลือคนนึง ในการลงทะเบียนเรียนทางปณ. และในบันทึก แอนน์ยังได้เขียนถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของเธอ ที่บางครั้งเธอรู้สึกว่าทุกคนดีกับมาร์กอธมากกว่าเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หลบซ่อนแต่ละคน ที่ก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง เพราะการต้องหลบอยู่ในนั้นตลอดเป็นปีๆ ตอนเช้าทำเสียงดังไม่ได้ เพราะมีคนใช้สำนักงาน ต้องระวังไม่ให้มีแสงลอดจากห้องออกไปยามค่ำคืน อาหารการกิน บางครั้งก็ต้องกินผักที่บูดแล้ว หรือต้องอดกินในบางมื้อ แอนน์เล่าเรื่องความลำบากหลายอย่าง ความตื่นเต้น น่ากลัว เมื่อเฉียดที่จะถูกจับได้ แต่เราว่าเธอเองเป็นเด็กที่เข้มแข็ง มีความมุ่งมันนะ ตอนนึงในหนังสือ เธอบอกไว้ว่า เธอ...จะไม่มีวันเป็นแค่แม่บ้านเด็ดขาด! เธออยากเป็นนักเขียน ตอนที่ซ่อนอยู่ เธอก็ได้ทดลองแต่งนิยายสำหรับเด็กขึ้นมาด้วย แต่อนิจจา....
บันทึกหน้าสุดท้ายของแอนน์ เขียนไว้เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 1944........ และวันที่ 4 ส.ค. เธอและผู้หลบซ่อนทั้งหมดถูกจับได้.....ประมาณ10 โมงเช้าของวันนั้น มีรถมาจอดหน้าสำนักงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ใน และนอกเครื่องแบบ บุกค้นอาคารและจับคณะผู้หลบซ่อนทั้งหมด รวมทั้งผู้ให้ความช่วยเหลือที่เป็นชาวดัตช์อีก2 คนไปด้วย แต่ผู้ช่วยเหลืออีก2 คน(เมี้ยป และกีส์)หนีรอดมาได้........ทั้งหมดถูกนำไปขังรวมกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามค่ายกักกันต่างๆ และจบชีวิตลง.....เกือบทุกคน มีเพียงอ๊อตโต้ พ่อของแอนน์เพียงคนเดียว ที่รอดชีวิตมาได้ โดยหลังการจับกุมผ่านพ้นไปแล้ว เมี้ยปได้พบสมุดบันทึกของแอนน์ และเก็บไว้โดยที่ไม่ได้อ่าน เมื่อสงครามสงบลง และทราบแน่ชัดแล้วว่าแอนน์เสียชีวิตไปแล้ว เธอจึงได้มอบสมุดบันทึกเล่มนั้นให้กับอ๊อตโต้ พ่อของแอนน์...คนเดียว ใน8 คนนั้น ที่ยังมีชีวิตอยู่
อืม....เราอ่านเรื่องนี้จบ ก็ไปโพสต์ถามที่โต๊ะห้องสมุด ว่าทำไม่แอนน์ถึงถูกจับได้ ก็มันสงสัยอ่ะ ถ้าดูจากรูปที่เค้าลงในหนังสือ ที่ซ่อนนี้ก็ดูมิดชิดนะ และไม่ได้เป็นการตรวจค้นแบบสุ่มเอาด้วย นี่ตรงเข้ามาจับเลย.........ก็มีคนตอบกระทู้ไว้3-4 คน สรุปก็คือ มันเป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครรู้ เพราะหลังสงคราม หลักฐานต่างๆ ถูกไฟเผาไปจนหมด แม้แต่เมื่อปีที่แล้วเราอ่านเจอข่าวเป็นกรอบเล็กๆ ในมติชน ว่ายังมีการคาดเดากันต่อ ว่าใครเป็นคนชี้เบาะแสที่ซ่อนให้พวกเยอรมัน(สรุปก็ยังไม่รู้อ่ะเนาะ) แต่มีอยู่คนนึงที่มาตอบในกระทู้ เค้าเคยไปดูที่หลบซ่อนนั้นมาแล้ว เล่าให้ฟังว่า สภาพทุกอย่างพยายามอนุรักษ์ให้เหมือนเดิม แม้แต่โปสเตอร์ดาราสมัยนั้น ก็ยังมีติดไว้อยู่เลย..........นึกๆ แล้วก็เศร้าใจ คนเรามันบ้าอะไรกันได้ขนาดนี้ จับคนเป็นไปฆ่าให้ตาย แล้วยังมีการรีไซเคิลอีก(อ่านในหนังสือเรื่อง ยิว ของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ แล้วสยองอ่ะ) ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงได้คล้อยตามไอ้ฮิตเลอร์นี่นัก สงครามโลกครั้งที่2 นี่มันหมดยุคพ่อมดหมอผีกันแล้วนี่ เค้าหยุดเอาคนเป็นๆ มาเผากันแล้ว ทำไมยังมีเหตุการณ์เลวร้ายแบบ.....โคตรรรรรรเลวววววว อย่างนี้ขึ้นมาอีก แอนน์เขียนในบันทึก ทุกคืนที่ได้ยินเสียงปืน ได้ยินเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิด เธอกลัวจนต้องวิ่งไปนอนกับพ่อ.......นึกภาพไม่ออกเลย วันที่เธอถูกจับ... - -
หน้าสุดท้ายของหนังสือ บอกถึงจุดจบในชีวิตของแต่ละคน
คุณคูเกล้อร์(ผู้ช่วยเหลือชาวดัตช์) - ถูกส่งไปเป็นกรรมกร แต่หนีจากการขุมขังได้ ในปี 1945
คุณไคล์แมน(ผู้ช่วยเหลือชาวดัตช์) - ถูกปล่อยตัวในตอนหลัง เนื่องจากสุขภาพไม่ดี
นายวานเพล - เสียชีวิต ราวเดือนต.ค.- พ.ย. โดย.....ถูกส่งเข้าเตาแก๊สที่ค่ายเอ๊าส์ซวิตส์
นางวานเพล - คาดว่าเสียชีวิตในปี 1945
ปีเตอร์ วานเพล - เสียชีวิตในปี1944 ก่อนที่ค่ายกักกันของเค้า จะถูกปลดปล่อยในอีก3 วันต่อมา!!!!
หมอดุสเซิ่ล - เสียชีวิตในค่ายกักกัน ปี1944
อิดิธ แฟร้งค์ - เสียชีวิตในปี 1945 ที่ค่ายเอ๊าส์ซวิตส์ สาเหตุเนื่องจากขาดอาหาร
มาร์กอธ และแอนน์ - เสียชีวิตราวเดือน ก.พ. - มี.ค. ปี1945 ในค่ายกักกันที่เยอรมัน สาเหตุเนื่องจากโรคไทฟอยด์ โดยมาร์กอธ ได้เสียชีวิตลงก่อน และทุกคน พยายามปิด ไม่ให้แอนน์รู้ แต่เธอก็รู้จนได้ และอีกไม่กี่วันถัดมา เธอก็เสียชีวิตตามพี่สาวไป คาดว่าศพของทั้งคู่ จะถูกฝังรวม ในหลุมฝังศพหมู่ T_T
อ่านหน้าสุดท้ายนี้จบแล้วย้อนไปเปิดดูหน้าแรกๆ ที่มีรูปของพวกเค้าอยู่แล้ว น้ำตามันพาลจะไหล...............
ไอ้บ้าฮิตเลอร์ แกตายสบายเกินไปจริงๆ
|
The diary of a young girl(The definitive edition) เขียนโดย Anne Frank
สังวรณ์ ไกรฤกษ์ : แปล
พิมพ์ครั้งที่2
สำนักพิมพ์ : ผีเสื้อ
ราคา : 297 บาท

น่าสงสารชาวยิวที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์เป็นล้านคนเมื่อตอนนั้นมากเลยครับ ฮิตเลอร์นี่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์จริงๆ