Paris-Switz-Italy #3: Paris day#2
คืนแรกในปารีส หลับสบาย หลับสนิท ตื่นเพราะนาฬิกาปลุกรอบเดียว ถามจากสองสาวแล้วก็อารมณ์เดียวกัน สงสัยจะเพราะเหนื่อย จะว่าไปคืนก่อนนี้ เราก็นอนกันบนเครื่องนี่เนาะ

เช้านี้ เรามีอาหารเช้าที่โรงแรม ที่รวมอยู่ในค่าที่พักด้วย แต่ก็รู้จาก reviews ใน Hostelworld มาแล้วล่ะ ว่าที่นี่เขาเสริฟกาแฟกับครัวซองเท่านั้น ซึ่งก็โอเคแล้วสำหรับคนกินน้อยอย่างพวกเรา

เช้านี้ตัดสินใจลงมาจากชั้น 5 ด้วยลิฟต์ ต้องใช้คำว่าตัดสินใจ เพราะพวกเราขี้เกรงใจ ลิฟต์เขาธรรมดาที่ไหน เดี๋ยวของเขาพัง ตั้งแต่ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นลิฟต์ที่ไหนที่เล็กขนาดนี้เลย วันแรกที่เราจะขนกระเป๋าขึ้นห้องนะ ลิฟต์นั้นใส่ได้แค่กระเป๋า 3 ใบ คนเข้าไปด้วยไม่ได้ ลำพังกระเป๋าก็ใช่ว่าจะวางเรียงกันได้นะ ต้องสองใบวางพื้น อีกใบทับอยู่ข้างบน วันแรกนั้นคุณตาใช้วิธียื่นมือเข้าไปกดชั้นในลิฟต์ แล้วส่งกระเป๋าขึ้นลิฟต์ไป ส่วนคน เดินขึ้นบันไดค่ะ




ขนาดของลิฟต์ ที่ถ้าเข้าไปพร้อมกันทั้งสามคนต้องยืนแนบชิดติดกันและยกเป้ขึ้นเหนือหัวหรือวางไว้ที่เท้า



อาหารเช้าค่ะ เขามีห้องอาหารเล็กๆ สี่ห้าโต๊ะ มีแม่บ้านคอยจัดอาหารใส่ถาดให้ พวกเราก็แค่ไปยกมาคนละถาด โดยต้องบอกป้าที่เค้าน์เตอร์ว่าจะดื่มอะไร พวกเราสามคนดื่ม coffee and milk กาแฟร้อนๆกับครัวซองร้อนๆก็ได้อยู่ เขาให้มาเท่านี้ต่อคน แต่พวกเราก็กินกันไม่หมดดังคาด



โปรแกรมของวันนี้คือแวร์ซายน์ จากนั้นก็กลับมาเที่ยวแถวซิเตและลาตินควอเตอร์
ก่อนจะมาเที่ยวคุณปุ๊กศึกษาวิธีใช้เวลิบ (velib) มาซะดิบดี กะว่าจะปั่นสองล้อเที่ยวปารีส ชมวิวชมเมืองให้เหมือนชาวปาริเซียงซะหน่อย ที่ปารีสเขาทำเวลิบมาสองสามปีแล้วเนาะ แล้วก็ประสบความสำเร็จมาก คนปารีสไม่ว่าจะนักศึกษา แม่บ้าน นักธุรกิจ ปั่นกันถ้วนหน้า เขาจะมีสถานีจักรยานทั่วปารีสเลยค่ะ อยู่ใกล้ๆกับทุกสถานีเมโทรเลย แต่ละที่ จะมีจักรยานอยู่ประมาณ 20-30 คัน เวลาจะใช้งาน เราก็ใช้โค้ดปลดจักรยานออกมาจากที่ล้อค แล้วก็ปั่นๆๆๆ ถึงที่หมายก็เก็บจักรยานเข้าที่ล้อคที่สถานีใกล้ๆปลายทางที่เราจะไป ทีนี้ก่อนจะได้โค้ด เราก็ต้องสมัคร (subscribe) ใช้ก่อน ก็ใช้บัตรเครดิตเราๆท่านๆนี่แหละสมัครที่สถานีจักรยานไหนๆก็ได้ สนนราคาอยู่ที่ 1ยูโรต่อวัน หรือจะ 5ยูโรต่อสัปดาห์ก็ได้ (เป็นรายเดือนหรือรายปีก็มี) เขาจะ deposit ค่าจักรยานไว้ 150 ยูโรค่ะ ในกรณีที่เราไม่คืนรถตามกำหนด ก็จะโดนยึดเงินส่วนนั้นไป เมื่อสมัครแล้วเราก็จะได้โค้ด เพื่อเอาไว้ปลดจักรยานไปปั่นต่อไป ในการปั่นแต่ละครั้งเขาจะคิดค่าบริการอีก คือฟรีสำหรับ 30 นาทีแรก จากนั้นจะคิดทีละ 1 ยูโรต่อครึ่งชั่วโมง
เป็นไงคะ เท่าที่อ่านเนี่ย มันน่าใช้ไม่น้อยเลยใช่ไหม ถ้าวางแผนดีดี วันนึงค่าเดินทางเที่ยวในปารีสเนี่ยแค่ 1ยูโรเท่านั้น ก่อนไปนะคุณปุ๊กปรินต์แผนที่สถานีเวลิบไว้เรียบร้อย กะว่าเอาแน่ แต่... พอมาถึงที่แล้ว ให้จินตนาการยังงี้ค่ะ ที่อุณหภูมิ 7 องศา แค่เดินยังต้องเอามือปิดจมูก ถ้าปั่นจักรยาน ลมหนาวๆก็จะตีหน้า แล้วการปั่นก็คือปั่นเคียงบ่าเคียงไหล่กับรถยนต์บนถนนเหมือนมอเตอร์ไซด์บ้านเราไม่มีผิด แถมไม่มีหมวกกันน้อคด้วย เห็นแล้วก็มองหน้ากันส่ายหัว we don't want to die here ก็เลยตัดสินใจไม่ลองกัน จะว่าไปอุปสรรคใหญ่หลวงสุดน่าจะเป็นเรื่องไม่แม่นเรื่องเส้นทาง ที่นี่ขับรถคนละด้านกับบ้านเราด้วย ตรงไหนจะวันเวย์ ตรงไหนห้ามเข้า ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆค่ะ
กระนั้น เช้านี้ เมื่อเดินผ่านสถานีเวลิบที่ปากซอย เราก็หันไปมองหน้าคุณพัมอีกรอบ แล้วก็ได้รับการส่ายหน้าตอบ




สถานีเวลิบ รถเขาเข้าท่า น่าปั่นไม่น้อย ไว้ปีหน้าฟ้าใหม่ ถ้ามีโอกาสจะลองให้ได้ (ps. ต้องเป็นหน้าร้อนเท่านั้น)


วันนี้ต้องซื้อตั๋วเมโทรอีกแล้ว เมื่อวานซื้อไปสองรอบ นั่งคำนวณกันแล้วพวกเรานั่งเกิน 5 เที่ยว ก็เลยเปลี่ยนแผน ไหนๆก็จะต้องฝากชีวิตไว้กับเมโทรแล้ว ก็ซื้อตั๋ววันไปเลยดีกว่า ตั๋ววันของปารีสเรียกว่ามอบิลิส (mobilis) ราคาอยู่ที่ 5.9 ยูโร นั่งกี่เที่ยวก็ได้ต่อวัน




หน้าตาของตั๋ววันมอบิลิส ในหนึ่งวันต้องรักษาสุดชีวิต


เช้านี้กะจะซื้อมอบิลิสที่สถานีชารอนเน่หน้าบ้านค่ะ แต่ที่สถานีนี้เขาเขียนป้ายว่าเฉพาะคนมีตั๋วแล้วเท่านั้น แปลว่าไม่มีออฟฟิศขายตั๋ว เราก็เลยต้องเดินไปสถานีถัดไป สถานีโวลแตร์ ที่มีแมคโดนัลด์ แต่ก็ไม่ไกลหรอกประมาณ 2-300 เมตร ที่นี่สถานีถี่มากๆเลยค่ะ โชคดีของคนบ้านเขาจริงๆ

พอจะซื้อตั๋วเราก็นึกว่าจะซื้อได้เหมือนคาร์เน่ต์ แต่เขาไม่มีขายค่ะ ต้องซื้อจากตู้เอง เราก็เลยไปมั่วๆกันที่หน้าตู้หยอด คนขายทนไม่ไหวเลยเดินออกมากดๆๆ ซื้อให้ อ่อ ก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก ภาษาอังกฤษก็มีแต่เรางงๆกับไอ้คำว่าโซนน่ะสิ จะซื้อโซนไหน ตกลงเราซื้อตั๋วโซน 1-2 ค่ะ ปารีสเขาแบ่งเป็น 3 โซน แต่ที่เที่ยวดังๆ รวมทั้งที่พักเราก็อยู่ในโซน 1 นั่นแหละ แวร์ซายน์รู้สึกจะโซน 3 และลาเดอร์ฟองซ์ที่เราไปเมื่อวานอยู่โซน 2

ได้ตั๋วแล้วก็นั่งเมโทรกันยาวๆไปที่สถานีแองวาลิด แล้วไปต่อ RER สาย C เพื่อไปแวร์ซายน์ที่นั่น เราไปถึงสถานีแองวาลิดกันแปดโมงกว่าๆ เดินตามป้าย RER สาย C จนถึงที่ขายตั๋ว ปรากฎเจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้ปิดทำการไม่ให้เข้าชมแวร์ซายน์ เพราะเป็นวันหยุดแห่งชาติอะไรของเขาซักวัน ... ผิดแผนอีกแล้ว อย่ากระนั้นเลย พวกเราเปลี่ยนเป็นนั่งเมโทรกลับไปที่ลูฟร์ ไหนๆก็แพลนจะเสียทั้งช่วงเช้าให้กับพระราชวังแวร์ซายน์แล้ว เราก็มาเปลี่ยนใช้เช้านี้เข้าลูฟร์แทนดีกว่า

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเมื่อวานเป็นวันมิวเซียมฟรีหรือเปล่า เขาก็เลยไม่เปิดทางเชื่อมจากสถานีเมโทรเข้ามาที่ใต้ถุนของลุฟร์ แต่วันนี้ทางตรงนี้เปิดค่ะ เราก็เลยเดินทะลุลงมาด้านล่าง ซื้อตั๋วเสร็จสรรพโดยที่มีคิวเพียงเล็กน้อย ราคาค่าตั๋วอยู่ที่ 9.5ยูโร ได้ตั๋วแล้วก็เดินหาทางเข้าและไปเจอ Inverse Pyramid เข้าโดยบังเอิญ




แมรี่ แมคดาลีนจะอยู่ใต้ปิรามิดนี่เหมือนที่แดนบราวน์ว่าในดาวินชี่โค้ดไหมอ่ะ?


ลูฟร์ยิ่งใหญ่มาก ต่อให้ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ก็ต้องทึ่ง เชื่อแล้วว่าต้องใช้เวลา 3 วันถึงจะเดินทั่ว ส่วนเรามี 3 ชั่วโมง จึงเลือกเดินไปดูชิ้นที่ดังๆเท่านั้น พวกเราตรงไปที่ Denon วิงที่มีแกรนด์แกลอเรีย ที่รวมภาพวาดของคนดังๆ ดาวินชี ติเตียน มิเคลันเจโล ฯลฯ ไม่ค่อยรู้เรื่องศิลปะเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ก็พอรู้จักภาพดังๆบ้าง พวกเราเดินกันจนสุดแกรนด์แกลอเรียโดยดูรูปข้างขวาก่อน จากนั้นก็เดินกลับแล้วดูด้านซ้ายบ้าง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังห้องที่มีโมนาลิซ่า




ขาไปมองขวาอย่างเดียว ขากลับค่อยมองซ้าย



ภาพโมนาลิซ่าหลังกระจกนิรภัย เขาล้อมรั้วรัศมีประมาณ 5m กั้นคนไม่ให้เข้าใกล้ได้



บรรยากาศ ข้างในอุ่นมากจนต้องถอดเสื้อกันหนาวกัน



จากภาพวาดพวกเราไปงานปั้นต่อ ตามหาวีนัสซึ่งก็มีฝู้คนรุมล้อมมิได้ขาด
พัมถ่ายรูปจากลูฟร์เยอะ แต่ที่เราชอบที่สุดคือรูปนี้




Sortie แปลว่าทางออกค่ะ ตอนนี้ใกล้ๆจะเที่ยงแล้ว กำลังนั่งเล็งกันอยู่ว่าจะไปดูปีกไหนอีกไหม อยากดูอียิปต์เหมือนกัน แต่ไม่มีเวลา สุดท้ายก็เลยเลือก "sortie"

ต้องไปที่อื่นแล้วล่ะ แต่ก่อนอื่นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ครัวซองต์กับกาแฟย่อยหมดแล้ว เราเลือกจะหามื้อเที่ยงกินกันที่ฟู้ดคอร์ตในลูฟร์นั่นแหละ มื้อนี้ได้อาหารจีนมา เพราะพวกเราเริ่มโหยหาข้าวเป็นเม็ดๆแล้ว ค่าเสียหายมื้อนี้เกือบสามสิบยูโร แพงและไม่อร่อย กินแล้วก็คิดถึงข้าวเหนียวหมูปิ้งที่บ้าน




ก็พอทำให้หายคิดถึงข้าวได้บ้าง....


โปรแกรมถัดไปค่ะ นั่งเมโทรไปที่เกาะอิลเดลาซิเต เป็นเกาะในแม่น้ำแซน ที่นี่มีที่เที่ยวสุดฮิตคือโบสถ์นอเตอร์ดาม เราขึ้นจากเมโทรกันที่สถานีซิเต เดินวนขวาก่อน ซึ่งก็จะไปเจอเซ้นเต้ชาเปลล์กับคอนแซเจอรี่ก่อน ว่ากันว่ากระจกสีที่โบสถ์เซนเต้ชาเปลล์ โบสถ์โกธิคน้อยๆหลังนี้ งามงดยิ่งนัก แต่ค่าเข้าไม่ฟรีนะ ตั้ง 8ยูโรแน่ะ อย่าดูเลยพี่น้อง ไปดูในเน็ตดีกว่า ฮ่า




เห็นยอดแหลมของชาเปลล์อยู่ข้างหน้า กับทางเข้าคอนแซเจอรี่?


พวกเราเลี้ยวซ้ายผ่านแถวยาวๆของคนที่ยอมเสีย 8ยูโร แล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีก็จะได้เดินขนานแม่น้ำแซน ซักพักก็เจอโบสถ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปารีสอยู่ทางซ้ายมือ นอเตอร์ดามดูยิ่งใหญ่อลังการดี เก่าด้วย สร้างมาตั้งแต่ คศ.13 เป็นแบบโกธิคเนาะ ข้างในให้เข้าชมฟรีค่ะ มีกระจกสีสวยๆ ให้ดู




ถ่ายไกลๆก่อน จากขนาดแล้ว ถ่ายใกล้ๆเก็บไม่หมดแน่ๆ



กระจกสีสวยๆข้างใน



เก็บม่ายหมด




กิโลเมตรที่ 0 จุดศูนย์กลางของปารีสอย่างเป็นทางการ หรือ Point zero อยู่หน้าโบสถ์เลยค่ะ ว่ากันว่าเหยียบซะจะได้กลับมาอีก แต่ดูเหมือนคุณนายเจี๊ยบเธอจะแค่ชี้ๆนะ

พวกเราเดินอ้อมไปทางด้านหลังของโบสถ์ แถวนั้นเขามีที่ขายของที่ระลึกด้วย ซึ่งคุณนายเจี๊ยบต้องแวะแน่นอน (ก่อนถึงโบสถ์ช่วงที่เดินขนานแม่น้ำ เธอก็แวะไปแล้วรอบนึง) ระหว่างรอ คุณพัมก็ถ่ายรูปด้านหลังโบสถ์ไปเรื่อยๆ ส่วนคุณปุ๊กก็กำลังคิดว่า ต้องตัดโปรแกรมทิ้งบ้างแล้วล่ะ ตามแพลนคืออยากเดินข้ามสะพานที่อยู่ด้านหลังโบสถ์ไปเกาะน้อยๆใกล้ๆกันชื่อ St.Louis ด้วย ที่นั่นก็มีโบสถ์ให้ดู สุดท้ายก็ตัดทิ้งค่ะ หลังจากบอกชาวคณะ ว่าสะพานข้างหน้า ที่มีกำลังมีวงดนตรีเล่นกันๆสดนั้น จะพาไปไหน เราก็เดินผานไป
ต่อไปเราจะเดินไปดูด้านข้างของคอนแซร์เจอรี่ แบบภาพในอินเตอร์เน็ตที่ขนานไปกับแม่น้ำแซน ที่นี่เคยถูกใช้เป็นคุกขังมารี อังตัวเน็ตต์มาแล้ว ระหว่างทางมีร้านขายของเป็นหย่อมๆ เดาได้แล้วใช่ไหม? คุณเจี๊ยบขออยู่ดูของ แล้วให้เราเดินไปดูคอนแซร์เจอรี่กันสองคน จะว่าไปคุณปุ๊กก็แค่อยากจะเห็นแหละ ว่าอะไร อยู่ตรงไหน ยังไง และคงไม่เข้าไปเหมือนเดิม พอไปถึงก็ถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็กลับมาสมทบกับคุณเจี๊ยบ เป็นอันว่าวันนี้เราได้เดินเป็นวงกลมรอบเกาะกันเลยทีเดียว




โดมๆข้างหน้านู้นก็คอนแซร์เจอรี่


เมื่อเดินวนกลับมาที่เดิมแล้ว ตามแพลนเราต้องไปย่านลาตินควอเตอร์ต่อ ย่านนั้นจะมีมหาวิทยาลัยซอร์บอร์น สวนลักเซมเบิร์ก แพนธีออน และโบสถ์ซุลปีซ อันหลังสุดเป็นอะมัสต์ สำหรับคุณปุ๊ก ต้องไปให้ได้ แต่ก่อนจะเริ่มเดินทางไปย่านนั้น เราตกลงกันว่าจะแวะไปที่ Metro mall อีกรอบ เพราะวันนี้วันจันทร์นี่นา ร้านรองเท้าน่าจะเปิดกันแล้ว แต่พอไปถึงร้านมันก็ยังปิดอยู่เหมือนเดิม

จากนั้นเราก็เที่ยวต่อ ด้วยการนั่งเมโทรไปโผล่ที่สถานี St.Placide ตามแผนแล้ว เราจะเริ่มจากสวน Luxembourg ก่อน แต่หาไม่เจอ เดินไปเดินมา นั่งพักกินทาโร่แล้วเดินต่อก็ยังไม่เจอ อะไรเนี่ย ปารีสเหมือนกันไปหมด แผนที่ก็ไม่ค่อยละเอียดด้วย เดินไปเดินมา เราก็ไปเจอถนนที่ร้านค้าไม่ปิด พวกเราเลยเดินล่องถนนเส้นนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอร้านรองเท้าเข้า คุณเจี๊ยบก็เลยได้รองเท้าเสียที พอออกจากร้านได้ซัก 100 เมตร ก็ตัดสินใจแกะกล่อง เปลี่ยนใส่คู่ใหม่ดีกว่า ปรากฎว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มีอันให้ได้รองเท้าข้างขวามาสองข้างจนได้ ต้องกลับไปเปลี่ยนที่ร้านอีก




ได้รองเท้ามาแล้ว หาที่นั่งเปลี่ยนกันดีก่า



เหอๆๆๆ (โดนแซวว่าเหมือนรองนักมวย เหมือนไหมล่ะ?)

จากตรงนี้พวกเราเริ่มจริงจังกับการหาที่เที่ยวย่านนี้ให้ได้ซักที่ ซึ่งก็ต้องเป็นโบสถ์เซ้นซูลปีส ที่นี่ก็ไม่ได้ดังอะไรมากมายค่ะ แต่มันมีในหนังสือเรื่องดาวินชี่โค้ด เป็นโบสถ์ที่ซิลาสถูกหลอกให้ไปในตอนต้นเรื่อง ซิลาสฆ่าแม่ชีด้วย ในหนังสือบอกว่าที่โบสถ์นี้มี โรสไลน์ ประมาณว่าเป็นเส้นเมอริเดียนหลักของกลุ่มไพรออรี่แห่งไซออน คุณปุ๊กเป็นแฟนแดนบราวน์ก็เลยบังคับพวกสาวๆให้ไปที่นี่ด้วย
เราหาเจอค่ะ โบสถ์เข้าชมฟรี คนไม่ได้เยอะ โบสถ์ดูธรรมดาๆแถมยังกำลังมีการปรับปรุงด้วย แต่คุณปุ๊กก็ได้เห็น roseline



เส้นนี้ลากยาวไปบนพื้นขึ้นไปที่ต้นกำเนิดที่เป็นเสารูปร่างคล้ายๆโอเบลิส



นี่ไงล่ะ


ออกจากซูลปีสก็หกโมงเย็นแล้ว ที่นี่มืดช้าจริงๆ คุณปุ๊กอยากจะหาแพนธีออนกับซอร์บอร์นต่อมากๆ แต่เข้าใจว่าชาวคณะคงจะเริ่มเหนื่อยก็เลยตัดใจ แล้วก็พาย้ายไปดูศํนย์จอร์จปอมปิดูบ้าง เท่าที่อ่านมา สำนักไหนๆ เขาก็แนะนำให้มาดูสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจของศูนย์จอร์จ เพราะเขาเอาสิ่งที่ควรจะซ่อนในตึกออกมาโชว์ข้างนอก ใกล้ๆกับศูนย์ จะมีที่เที่ยวอีกที่ ที่สำนักเที่ยวของฝรั่งแนะนำ คือให้ไปเดินเล่นที่ถนนช้อปปิ้งที่ขายของไม่แพง และบรรยากาศน่ารัก ที่ถนน saint martin เราเลยคิดว่าสองสาวของเราน่าจะสนุกกับถนนนี้





ศูนย์จอร์จค่ะ คู่มือเที่ยวฝรั่งบอกว่า หนุ่มสาวชอบมานัดกันที่นี่ เขาจะมีลานกว้างๆข้างหน้าศูนย์นะคะ ข้างในก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์โมเดิร์นอาร์ต ที่เห็นก็จะเป็นพวกท่อแอร์ ลิฟต์ มาอยู่นอกตัวอาคาร เขาว่ามาปารีสต้องมาดู ดูแล้วก็เฉยๆอ่ะ

แล้วถนนมาร์ตินที่น่ารักของคู่มือเที่ยวฝรั่งล่ะ ดีอย่างที่เขาว่าไหม เหอๆๆ ดูหน้าของสองสาวเอาเถิด มิน่าล่ะ ทำไมแถวๆนี้ไม่อยู่ใน list ที่คนไทยมาเที่ยวกันเท่าไหร่ เท่าที่ดูคือมันไม่มีอะไรค่ะ มีของขายก็จริง คนก็เดินเยอะ แต่ไม่ใช่แนวเรามั้ง




จากนั้นพวกเราก็กลับบ้านค่ะ แวะซื้อของกินที่มินิมาร์ทหน้าบ้าน ซื้อผลไม้อีกหลายขนาน เย็นนั้นเรากินมาม่าต้มยำ ปลากระป๋องแบบแห้ง และผลไม้ คืนนี้ก็คงจะหลับเป็นตายเหมือนเดิม



Create Date : 08 พฤษภาคม 2553
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 20:15:07 น.
Counter : 1947 Pageviews.

3 comments
ตะวันลาที่แหลมพรหมเทพ สายหมอกและก้อนเมฆ
(27 ก.ย. 2567 17:58:34 น.)
ร้านข้าวต้มต้นตำหรับ บางลำพู ร้านข้าวต้มเพ่งเพ้ง สาขา1วัดมกุฏ นายแว่นขยันเที่ยว
(27 ก.ย. 2567 01:47:21 น.)
ถ้าคุณ"หลงรัก" วัดโพธิ์ แสดงว่าคุณควรมา "วัดราชโอรสาราม" peaceplay
(27 ก.ย. 2567 17:26:28 น.)
ธรรมสถาน ชยันโต โพธิ ธรรมรังสี ดาวริมทะเล
(26 ก.ย. 2567 15:48:13 น.)
  
ขอตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ น่าสนุกจังนะคะ...
โดย: noinanai วันที่: 9 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:41:18 น.
  
อ่านสนุกเหมือนไปเที่ยวด้วยเลย

ติดตามตอนต่อไป .......
โดย: LadyLavender IP: 203.146.24.17 วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:18:56 น.
  
สนุกมากค่ะ เหมือนได้ไปเที่ยวเลย ขอบคุณมากค่ะ
โดย: sand IP: 124.120.48.111 วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:25:29 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Puk.BlogGang.com

hs3puk
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]