ลอนดอนในฝัน วันที่สอง 2 กันยายน 2553 วันแรกในลอนดอนแบบเต็มตัว วันนี้ตื่นมาตั้งแต่เช้า.. ไม่ได้ขยัน..แต่ว่านอนไม่หลับ สงสัยว่าเป็นเพราะยังปรับเวลาไม่ได้ละมั้ง...ไม่ตื่นเปล่า ยังปลุกเพื่อนร่วมทริปให้ตื่นตามไปด้วย.. 5555 ด้วยความที่ยังป้ำเป๋อเรื่องเวลา เพราะคิดว่าเวลาที่อังกฤษจะช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 7 ชั่วโมง ตามตำราเรียน Greenwich + 7 ดังนั้นพอตื่นมาเห็นนาฬิกาตัวเองอยู่ที่เที่ยงกว่าๆ ก็เลยคิดว่า 7 โมงเช้าแล้ว (ด้วยความสับสนเรื่องเวลาบวกๆ ลบๆ แล้วงง จนถึงตอนนี้ก็ยังงงตัวเองว่าดูเวลาอีท่าไหนกันหว่า) ...แล้วก็ตะโกนบอกน้องบอกพี่ว่า... เจ็ดโมงเช้าแล้วค้าบ...พี่น้อง..ตื่นได้แล้ว.. ![]() หลังจากทุกคนกระเด้งตัวตื่นจากที่นอน...น้องสาวเจ้าของห้องพักก็หันไปดูนาฬิกาของตัวเอง แล้วก็โวยวายว่า...พี่ขา..ตอนนี้ที่อังกฤษเพิ่งจะตีห้ากว่าๆ เองค่า...จะตื่นมาทำอะไรเช้าตรู่ขนาดนี้.. เราก็ยังคงเจื้อยแจ้วไปว่า..ไม่ใช่นะ..ต้องเจ็ดโมงเช้าต่างหาก... เพราะต้อง -7 จากนาฬิกาของไทย หารู้ไม่ว่า..ช่วงเวลานี้ของอังกฤษเค้าเป็น Daylight Saving ทำให้เวลาของอังกฤษกับไทยต่างกันเพียงแค่ 6 ชั่วโมงเท่านั้น...ไม่ใช่ 7 ชั่วโมงอย่างที่คิด...อีกทั้งเราก็สับสนกับการนับเลขชั่วโมง ด้วยว่าเพิ่งจะสะโหลสะเหลตื่นนอน คำนวณผิดแฮะ... เราก็เลยได้แต่หัวเราะแหะแหะ..แล้วบอกว่า..ไหนๆ ก็ตื่นกันมาแล้ว..ก็เตรียมตัวไปเที่ยวกันดีกว่านา... ![]() เช้านี้...สาวน้อยเจ้าถิ่นก็พาสองสาวต่างแดนไปท่องเที่ยวลอนดอน... เริ่มจากอาหารมื้อ Brunch (ขนาดว่าตื่นมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่กว่าจะเตรียมตัวพร้อมกันครบทุกคนก็ปาเข้าไป 9 โมงกว่าๆ แล้ว) ร้านที่สาวน้อยแนะนำคือ.. Patisserie Valerie แถวโซโห.. (จริงๆ เค้ามีอยู่หลายสาขาทั่วลอนดอน แต่สาวน้อยของเราเลือกสาขานี้) จากหอพักของน้องก็เดินทางด้วยรถเมล์ไปยังร้านอาหาร... เดิน..เดิน..แล้วก็...เดิน..กว่าจะถึงป้ายรถเมล์ ระหว่างทางสาวน้อยแวะร้านขายของชำ (พวก Grocery shop ขายตั้งแต่กระเทียม หัวหอม ผลไม้ หนังสือพิมพ์ยันบุหรี่) เพื่อแวะเติมเงินโทรศัพท์ เพื่อใช้ติดต่อกันระหว่างอยู่ในลอนดอน จะได้ไม่มีสาวไทยหลงทางหาทางกลับบ้านไม่ถูกในลอนดอน การจะขึ้นรถเมล์ของที่นี่..ไม่ใช่ว่าเห็นป้ายรถเมล์ที่ไหนก็จะขึ้นได้หรอกนะ... ![]() วิธีการดูป้ายรถเมล์แบบคร่าวๆ คือ ทุกๆ ป้ายจะมีเสาป้ายบอกสัญลักษณ์ว่า...นี่เป็นป้ายที่เท่าไร เช่น ป้าย A, B, C หรืออาจจะเป็น UW, UX, etc ก็ได้ แล้วก็วิ่งไปดูที่บอร์ดว่า ป้าย A นั้นมีรถเมล์สายไหนจอดบ้าง ถ้าหากที่ป้าย A ไม่มีรถเมล์สายที่เราไปจอด ก็ให้หาว่ารถเมล์ที่เราต้องการจอดป้ายไหน เช่น ถ้าสาย C1 จอดป้าย D ก็ให้ไปดูแผนที่ว่า ...ป้ายรถเมล์ D นั้นอยู่ตรงไหน แล้วก็ค่อยเดินไป... ส่วนใหญ่ป้ายรถเมล์ก็จะอยู่บริเวณใกล้ๆ กัน หรือติดๆ กัน ยกเว้นว่าเป็นบริเวณที่กว้างขวางจริงๆ เช่นแถว Hyde Park Corner แต่ละป้ายอยู่ไกลกันพอควร หาจนเหงื่อตก เหงือกแห้งได้เลย... ![]() รถเมล์ของที่นี่มีดีอีกอย่าง ก็คือ... จะมีการบอกชื่อสถานที่ของป้ายหยุดรถแต่ละป้ายตลอดเส้นทาง พร้อมกันนี้ก็จะมีเสียงตามสายมาบนรถด้วย เช่น This is C1 to Victoria. Next stop is Earls Court. (ของจริงไม่ใช่อย่างนี้เป๊ะนะ..แต่ว่าก็ประมาณนี้ล่ะ) ฉะนั้นโอกาสจะหลงหรือลงผิดป้ายน้อยมาก (แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะบางทีชื่อป้ายจะคล้ายๆ กัน ต้องจำให้ดีว่าต้องลงป้ายไหน อย่าเพิ่งตื่นเต้น รีบลงจากรถก่อนจะถึงป้ายที่ต้องการ ซึ่งเราเคยมาแล้ว ทำให้ต้องลงมาเดินต่ออีกสองป้ายเลย...แหะ..แหะ) การขึ้นรถเมล์ของที่นี่อาจจะดูสับสนเล็กน้อย เพราะต้องใช้สติและปัญญาพอสมควรเลยเชียว เพราะว่าไอ้เจ้าบอร์ดมันชวนสับสนเสียจริง แม้แต่คนอังกฤษเองก็ยังมึน แต่ว่าถ้าศึกษาให้ดีล่ะก็.. มันก็นับว่าสะดวกดี เผลอๆ อาจจะสะดวกกว่าใช้ Tube ก็เป็นได้ แต่ก็นั่นล่ะ...กว่าจะเชี่ยวชาญในการใช้รถเมล์ ก็คงจะพอดีกับเวลาต้องกลับเมืองไทย (ศึกษาเส้นทางรถประจำทางได้ที่ //www.londonbusroutes.net) ครั้งนี้เป็นวันที่สองที่ได้นั่งรถเมล์ในกรุงลอนดอน ด้วยความตื่นเต้น ก็เลยรีบวิ่งขึ้นไปนั่งบนชั้นสองของรถเมล์ซะหน่อย... ![]() และแล้วก็มาถึงร้าน Patisserie Valerie ซะที...ร้านก็เล็กๆ แต่บรรยากาศก็ดูสบายๆ น่ารักดี ตกแต่งแบบบรรยากาศย้อนยุคเล็กน้อยด้วยโปสเตอร์แบบยุคมาริลีน (มั้ง?) ว่าแล้วสามสาวก็เดินขึ้นชั้นสองของร้าน ... กะจะไปนั่งชิลกับบรรยากาศของร้านซะหน่อย พอขึ้นไปถึงมีโต๊ะ 3 ที่นั่งว่างอยู่โต๊ะเดียวริมหน้าต่าง...ก็เหมือนว่าจะดี..แต่ว่าแดดส่องอ่ะ...แดดแรงด้วย... สามสาวกลัวผิวดำ (ไปกว่านี้) ก็เลยตัดสินใจไปนั่งเบียดกันที่โต๊ะอีกตัวข้างในเพื่อหลบแดดดีกว่า ที่ไหนได้ พอเราสามคนย้ายออกเท่านั้น ก็มีหนุ่มฝาหรั่งรีบดิ่งไปที่โต๊ะริมหน้าต่างแดดส่องนั้นทันที ดั่งกลัวว่าเราจะเปลี่ยนใจไปนั่งอีก... เหอ..เหอ.. เราก็นึกในใจ...ไม่นั่งหรอกย่ะ..ตากแดดน่ะ..ที่บ้านอิฉัน..มีแดดออกตั้งเยอะกว่านี้หลายเท่าเลย...5555 ![]() ![]() หลังจากพลิกเมนูไปมา แล้วก็ต้องแอบถอนหายใจอยู่ข้างใน (เดี๋ยวโดนแซว)... ทำไมค่าอาหารมันแพงหูฉี่ยังงี้หว่า...Brunch set ปาเข้าไปตั้ง 7 ปอนด์กว่าเกือบ 8 ปอนด์ทั้งนั้นเลยอ่ะ..อะฮึก...อะฮึก... ![]() อ่ะ..เอาก็เอา..ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว...กินเป็นกินละ... ![]() ![]() พออาหารมาถึงเท่านั้นแล...ว้าว...ววววว...ววว.... ดูดีมากๆ.. ![]() ![]() จานที่สองที่มาวาง ก็มีลักษณะคล้ายๆ กับ Club Sandwich ทั่วไป..แต่ก็มาแบบจานใหญ่อลังการพอควร...รสชาติก็ใช้ได้..แต่ไม่โดดเด่นเท่าไร เราว่ามันก็คล้ายกับ Club sandwich บ้านเรานั่นแหละ... ![]() โชคดีที่สั่งกันมาแค่ 2 จาน สำหรับอาหารจานหลัก เพราะไม่งั้นก็คงจะกินกันไม่หมด เสียดายแย่เลย... สั่งมาขนาดนี้กำลังดีสำหรับผู้หญิง 3 คน....มื้อนี้รวมแล้วก็ 22 ปอนด์นิดๆ หารออกมาก็อยู่คนละ 7 ปอนด์กว่า อิ่มท้องแล้ว..กองทัพสาวโสดสามนางก็เดินทางต่อไปได้... วันนี้ยังไม่มีแผนการอะไรมาก...สาวน้อยเจ้าถิ่นพาแวะนู่นแวะนี่ไปตามทาง...โดยเริ่มการไปเยือน British Musuem ซึ่งทีแรกพวกเราก็แค่กะว่าจะเข้าไปเดินเล่นเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเราแอบคิดเอาเองว่า..อาจจะไม่มีอะไรมาก (มั้ง) เพราะเค้าไม่คิดค่าเข้าชมนี่นา..เปิดให้เข้าฟรียังงี้จะมีอะไรให้ดูมากมาย ![]() รูปถ่ายที่ประตูทางเข้า ![]() ด้านในอาคาร ปรากฎว่า...เราคิดผิดอย่างมหันต์เลยล่ะ..เพราะที่นี่มีอะไรต่อมิอะไรให้เราเดินดูได้ไม่เบื่อเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ความตั้งใจทีแรกว่าจะเข้ามาชมแป๊ปๆ ต้องเปลี่ยนเป็นว่า เราใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบๆ ห้าชั่วโมงได้... ที่นี่แบ่งส่วนการจัดแสดงสิ่งของโบราณมีค่าต่างๆ ไว้เป็นโซนๆ เช่น โซนกรีกโรมัน โซนอียิปต์ โซนเอเชีย มีวัตถุโบราณหายากและล้ำค่ามาตั้งแสดงไว้อย่างไม่หวงเลย..สามารถถ่ายรูปได้เต็มที่ นอกจากนี้ในบางช่วงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่นำวัตถุโบราณเหล่านั้นมาให้เราจับต้องได้อย่างใกล้ชิดด้วย.. เรียกได้ว่า.. British Musuem นับเป็นสถานที่ที่ผู้ที่มาเยือนไม่ควรพลาดเด็ดขาด ภาพโบราณวัตถุ ของมีค่าต่างๆ จากหลายมุมโลก ![]() ![]() ![]() ![]() หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งวันหมดไปกับพิพิธภัณฑ์ จากนี้ก็จะเป็นช่วงของการเดินเล่นแล้วล่ะ... เราเริ่มจากถนน Oxford Street ก่อน.. เรียกได้ว่า...ถนนนี้เป็นถนนสาย Shopping จริงๆ มีร้านค้าอยู่เต็มสองข้างทางไปหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแนว Street Fashion (ใช้ถูกหรือเปล่าหว่า) คือ ไม่ใช่แบรนด์ไฮโซหรูหราเว่อร์ แต่ก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เช่น M&S, H&M, Next, Gap, Zara, Uniqlo, Boots, HMV ฯลฯ มีให้เดินตลอดทั้งสาย...ช้อป..ช้อป...และช้อป... เดินไปเดินมา..ก็ยังไม่มีอะไรที่ถูกใจ..เพราะว่าอะไรๆ ที่นี่ก็ดูเหมือนจะแพงไปซะหมดเลยน้อ... เดินเข้าไปในแต่ละร้านก็จะพยายามมุดมาซอกหามุมที่ติดป้าย Sale ตัวแดงก่อนที่อื่น จนกระทั่งไปได้ชุดแซกสีส้ม Old Rose ผ้ายืดเนื้อเนียนกริบจาก M&S มาได้ในราคาเพียงแค่ 9 ปอนด์... แถมตอนไปจ่ายตังค์ คิดแค่ 5 ปอนด์ด้วย เพราะว่ามันลดลงมาจากป้ายอีก... ไชโย้... หลังจากเดินเล่นจนขาชักล้า..เข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนปรุไปหมด ![]() ![]() ![]() หลังจากกินขนมเข้าไป..ก็เริ่มมีแรงขึ้นมาอีกหน่อย.. เดินไปเดินมา ...ชักจะหิวน้ำแฮะ..ก็เลยแวะเข้าร้าน Boots หาซื้อน้ำดื่มซะหน่อย ...อุเหม่..น้ำที่นี่แพงซะจริงเว้ยเฮ้ย...ขวดเล็กๆ ที่บ้านเราขายแค่ 7 บาท ที่นี่ปาเข้าไปอย่างต่ำๆ ก็เกือบ 1 ปอนด์... อะฮึก..อะฮึก..แต่ทำไงได้..ไม่มีที่ถูกกว่านี้ตอนนี้นี่นา... ก็เลยขอเลือกน้ำแบบไม่ธรรมดาซะหน่อยดีกว่า...555 ... สุดท้ายก็เลยได้น้ำดื่ม Still Water รส Raspberry and Apple มาซะเลย... ก็อร่อยดีนา...น้ำก็ใสๆ เหมือนน้ำเปล่าธรรมดานี่ล่ะ แต่ว่ามีรสชาติของผลไม้เพิ่มมานิดหน่อย... อืมม..แปลกดี...เมืองไทยไม่ค่อยมียังงี้เนอะ... เรายังคงตั้งตาเดินกันต่อจนฟ้าเริ่มมืด...ก็เลยเตรียมตัวเดินทางไปหาอาหารอร่อยๆ กินกันดีกว่า โดยรถเมล์เหมือนเดิม...โดยมื้อเย็นนี้จะเป็นคิวของร้านเป็ดย่างชื่อดังหนักหนาในกรุงลอนดอน...ขนาดที่ว่ามีคนไทย (ไฮโซ) บางคนถึงกับต้องบินมาซื้อเป็ดย่างร้านนี้เดินทางกลับเมืองไทย... ไหน...ขอไปลองเป็นบุญปากซะหน่อยดีกว่า... จุดหมายของเราคือ....เป็ดย่าง Four Seasons ![]() ในความคิดของเราก่อนหน้านี้..นึกว่า Four Seasons น่าจะเป็นร้านอาหารหรูๆ แพงๆ ดังๆ อยู่ในโรงแรมห้าดาว เหมือนเมืองไทยแน่นอน... อ่ะน่า...เป็นวาสนาของเราเสียจริง...ได้มากินร้านหรูขนาดนี้ด้วย... ที่ไหนได้...ตอนเดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน..ยังงงๆ ว่า ถึงแล้วเหรอ... ![]() ![]() แล้วบรรยากาศในการเสิร์ฟก็เป็นเช่นเดียวกับร้านอาหารจีนทั่วไปในโลกใบนี้ (ไม่นับร้านที่อยู่ในโรงแรมแพงๆ นะ) เสียงคุยกันโช้งเช้งอื้ออึงไปหมด... คนเสิร์ฟก็ทำงานแข่งกับลูกค้าและเวลา... ที่สำคัญ...พนักงานที่นี่พูดภาษาไทยได้ด้วยนะฮะ.... ไม่ใช่เล่น... อีกอย่างที่มั่นใจได้ว่า คนไทยต้องมากินที่ร้านนี้มากมาย ก็คือ..ฝาผนังด้านหนึ่งของร้านมียันต์แบบโบราณของไทยแขวนไว้ด้วยนา...มองกี่ที..กี่ที..ก็ใช่... แถมในร้านนั้นก็มีโต๊ะที่มีเป็นคนไทยอีกไม่น้อยกว่า 2 โต๊ะ..จากที่เราแอบเงี่ยหูฟังตอนที่เค้าคุยกันเป็นภาษาไทยด้วย..ฮี่..ฮี่... แน่นอน..เมนูเด็ดอันแรกที่ต้องสั่งคือ.. Roasted Duck ครึ่งตัว... จากนั้นก็ตามมาด้วย Hot & Sour Soup 1 โถ แล้วก็ Squid fried with garlic ...อาหารแนะนำของสาวน้อยเจ้าถิ่น... ![]() เป็ดย่างมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำราดสีเข้มข้น... รสชาติก็อร่อยดีใช้ได้ล่ะ...แต่จากใจลึกๆ...เราว่า..มันก็งั้นๆ อ่ะ... ไม่ได้อร่อยเหาะแบบเหมือนกินแล้วได้ขึ้นสวรรค์ซะหน่อย... ทำไมต้องขนกลับมาเมืองไทยให้มันลำบากด้วยหว่า... หรือว่าลิ้นรับรสชาติเราไม่ถึงกันนะ... จริงๆ แล้ว ถ้าเทียบกัน..เราชอบเป็ดย่างที่มาเก๊ามากกว่าซะอีก...หนังกรุบกรอบ แต่เนื้อนุ่มแน่น...ไม่เหนียว...ถ้าให้เลือกกินอีก..เราก็เลือกไปกินที่มาเก๊าอยู่ดี...สำหรับเป็ดย่าง...เสียแต่ว่าเป็ดย่างที่มาเก๊า จะไม่มีน้ำราด..เสิร์ฟมาแต่เป็ดอย่างเดียว ...ขนาดมีแต่เป็ดยังอร่อยจะแย่..ถ้ามีน้ำราดมาด้วยล่ะก็..เป็ด Four ชิดซ้ายไปเลยดีกว่า มื้อนี้ก็จบลงไปแบบอิ่มตื้อ...จำราคาไม่ได้แฮะ...น่าจะตกคนละเกือบๆ 12-13 ปอนด์ได้... ชักเริ่มชินๆ กับราคาอาหารที่ลอนดอนนี่ซะแล้ว... ![]() กว่าจะออกจากร้านก็ดึกอยู่เหมือนกัน...เกือบๆ 5 ทุ่มได้แล้วมั้ง....ก็ Take a bus กลับที่พักดังเคย...วันแรกก็เล่นเอาซะแทบจะต้องลากขากลับที่พัก ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเนื้อเป็นหนังเท่าไร (นอกจาก Dress 1 ตัว) แต่ก็นับว่าเริ่มต้นได้ดีสำหรับการทัวร์หาร้านอาหารเด็ดๆ ของที่นี่...... เหนื่อยเหมือนกันนะ..แต่ความอยากเที่ยวยังคงมีมากกว่า... สู้...สู้ ![]() แวะมาเยี่ยมเยียนค่ะ ไม่เห็นโพสท์เสียนาน สงสัยงานยุ่งๆ
โดย: ฉิงฉิง IP: 180.180.139.155 วันที่: 20 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:37:35 น.
|