สอนเขียนบทหนังซัดคนดูให้อยู่หมัด จากคอลัมยอดนิยมในนิตรยสารBIOSCOPE 1 ตัวละครของคุณเปนใครกันบ้าง 2 พวกเขาต้องการอะไร 3 ทำไมจึงต้องการสิ่งนั้น 4 พวกเขาจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มันมา 5 อะไรหยุดยั้งพวกเขาไว้ 6 มันมีผลให้เกิดเหตุการณ์อะไรตามมาอีก เรื่องในหนังก็คือภาพเปรียบเทียบกับชีวิตจริงของคนนั่นเอง นักเล่าเรื่องที่ดีต้องสามารถจับเอาชีวิตคนทั้งเรื่องราวภายนอก,ปมปัญหาภายในใจ,ความฝันและความจริง -มาร้อยเรียงถายในความยาว 2 ชม.ที่บอกให้คนดูรู้หลังจบว่า "ขีวิตเป็นเช่นนี้แหละ ไม่ว่าเรื่องราวชีวิตของตัวละครคุณจะเพียบปานเพียงไหน สิ่งที่คุณต้องทำให้ได้ก็คือ เลือกเฉพาะเรื่องสำคัญ และตัดเรือ่งหยุมหยิมที่ไร้ความหมาย เพื่อบอกเล่าชีวิตของเขาหรือเธอคนนั้นให้ได้ภายในความยาวไม่เกินสองชม ซึ่งหากคุณทำได้ดีพอ... คนดูจะสามารถรับรู้รายละเอียดและมิติในชีวิตแม้แต่ส่วนที่คุณแทบไม่ได้เล่าถึงเลย ! วิธีที่จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่าซีนไหนควรอยู่ ซีนไหนควรไป ก็คือ จงพิจารณาแต่ละซีนอย่างละเอียดว่า ในตอนเริ่มซีนดังกล่าว ชีวิตตัวละครของเรากำลังมี value ใด และเป็นด้านบวกหรือด้านลบ-กำลังรู้สึกล้มเหลว,กำลังมีความรัก กำลังมองโลกในแง่ดี etc... จากนั้นไปดูตอนจบของซีนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีนนั้นทั้งหมดทำให้ value ของตัวละครเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนจากบวกเปนลบหรือลบเป็นบวกหรือไม่) หากเปรียบเทียบแล้วพบว่า จุดเริ่มต้นอละจุดจบของซีนนั้นไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ก็หมายความว่า ซีนนั้นไม่มีเหตุการณ์ที่ดีแน่นอน และแน่นอน...มันไม่จำเป็นต้องอยู่ในหนังด้วย โลกของหนังอันกว้าวใหญ่ใบนี้ก็ยังมีหนังอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแม้ตัวละครจะพานพบอะไรๆมากมาย แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขาเลย ตั้งแต่ต้นนถึงฉากจบ(ซึ่งแน่นอนว่าต้องจบแบบเปิด) หนังไม่ได้ เล่าเรื่อง ให้เราจับต้องได้เลยแม้แต่นิดเดียว เราเรียกมันกันง่ายๆได้ว่า "หนังไม่มีพลอต" แล้วจุดประสงค์ของหนังแบบนี้คืออะไร...ถึงในหนังจะดูราวไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่คนทำหนังคาดว่า เราจะซึมซาบภาพที่เห็น แล้วเก็บไปใคร่ครวญเพาะบ่ม จนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในทางความคิดหรือทัศนคติในชีวิตจริงนอกจอของเรานั่นเอง พึงระลึกไว้เสมอว่า พล๊อตแบบ Minimal และ Anti-structure นั้นไม่ได้เกิอขึ้นเอง แต่เป็นการโต้ตอบพล็อต Classical (อันหนึ่งเป็นการลดทอน อีกอันเป็นการต่อต้านสุดขั้ว) นั่นแปลว่า เราจะไม่มีวันเขียนพล็อตสองแนวนั้นได้ดีแด็ดขาดหากไม่เข้าใจพล็อต Classical อย่างถ่องแท้เสียก่อน เข้าใจ setting ในหนังของคุณหรือยัง -มิติแรกของเวลา คือ ยุคสมัย เรื่องของคุณเกิดในยุคใด ปัจจุบัน อดีต อนาคต หรือไม่ระบุยุคสมัยสถานที่ -ระยะเวลา หลายสิบปี 2-3ปี ไม่กี่เดือน 24ชม หรือเล่าตามเวลาจริง -สถานที่ ที่ไหน เมืองอะไร ถนนสายอะไร ห้องเบอไหน บนดาวดวงไหน -ระดับความขัดแย้ง มิติด้านมนุษย์ ระดับไหน ขัดแย้งในตัวเอง(ตัวตน ร่างกาย จิตใจ) ขัดแย้งกับภายนอก(ทางสังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม)หรือผสมผสานความขัดแย้งหลายๆแบบ โดยทั้งหมดก็คือการกำหนดระดับของสิ่งที่ตัวละครของคุณจะต้องเผชิญหน้า ดิ้นรน ต่อสู้นั่นเอง "เห็นหน้า ไม่รู้ใจ" คือเคล็ดลับสร้างตัวละครที่เซอร์ไพรส์และจับใจคนดูได้เสมอ!! น่าสนใจแฮะ เผื่อจะจำเอาไปใช้ได้ ขอบคุณนะครับ
โดย: Mint@da{-"-} วันที่: 7 เมษายน 2548 เวลา:23:31:12 น.
ก่อดีน่ะ งงๆไปนิด
ยังไงก่อพยายามต่อไปน่างับ ^ ^_\\=/ โดย: แอมเอง[=ไดองเมียวจิ=] IP: 203.118.74.220 วันที่: 14 เมษายน 2548 เวลา:0:20:05 น.
|
บทความทั้งหมด
|