จิตคือพุทธะ ฉบับแพร่หลายทุกวันนี้ ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ทั้งหมด
พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๑)

มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียว หรือสีเหลือง และ ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก

ทั้งนี้ เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และ เหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒)

จิตหนึ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้ เป็นเหมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบทุกๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง หรือวัดได้ (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓)

จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้น เท่ากับ การใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะได้เลย

เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา เสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง และ พุทธะ คือ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง นั่นเอง สิ่งๆ นี้ เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๔)

สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้ง ๖ ก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกกรณีอยู่แล้ว คือเป็น จิตหนึ่ง หรือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่โอกาสอำนวยให้ทำก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๕)

ถ้าเราไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้นคือ พุทธะ ก็ดี และถ้าเรายัง ยึดมั่นถือมั่น ต่อรูปธรรมต่างๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆ อยู่ก็ดี และต่อวิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆ ก็ดี แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับ ทาง ทางโน้นเสียแล้ว (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๖)

จิตหนึ่ง นั่นแหละคือ พุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือ มันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดฝันต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๗) พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะของความยึดมั่นถือมั่น

การปฏิบัติปารมิตาทั้ง ๖ และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดที่คืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๘) เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตา ต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และ ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๙)

จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ย่อมให้ความสว่างทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๑๐) จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น

ถ้าเรามองดูพุทธะ ว่าเป็นผู้แสดงออก ซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ผ่องใส และรู้แจ้งก็ดี หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อันเป็นผลที่เกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเราไว้เสียจากความรู้อันสูงสุด ถึงแม้ว่าเราจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปนับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๑๑) มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้ เพราะ จิตนั้นเอง คือ พุทธะ

เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิตนี้ พวกเราจะปิดบัง จิต นั้นเสีย ด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหา พุทธะ นอกตัวเราเอง พวกเรายังคงยึดมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ ทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้นแต่อย่างใด
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๑๒)

เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับไม้หรือก้อนหิน คือภายในนั้นปราศจาก การเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรม หรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้เลย (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๑๔)

จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๐)

หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิตนั่นแหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าวว่าจิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั่นแหละ ย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๕) สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และ พฤติของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๖)

จิตนี้คือ พุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่แตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๗)

ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง

จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๘) สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละ คือสิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีก (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๙)

จิตคือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลายเป็นสิ่งที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานและแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๐๕) สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่ง มันย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด และทุกๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พุทธะ อยู่ตลอดเวลา (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๐๖)

ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองได้สำเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนี้เท่านั้น ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๐๗)

จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหน แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๐๘) เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกำเนิด ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย

ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๐๙) เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร อยู่นั่นเอง
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๑๐) ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๑๑)

มูลธาตุทั้ง ๕ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า และมูลธาตุทั้ง ๔ ของรูปกายนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมาหรืออาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด

จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๙๑) และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๙๒) เราจะเป็นแต่ตัวเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเขิง และเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น เราจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้น นี่แหละคือหลักธรรมที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้ (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๙๔)

สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๓๓)

ปรัชญา คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิม ซึ่งปราศจากรูป (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๘๑) ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือจิตและวัตถุเป็นสิ่งๆ เดียวกัน นั่นแหละ จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคำพูด และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๓๘)

สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกความว่างนั้นได้อย่างไร (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๔๑)

โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๔๒) มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๔๓) เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วนรวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือ ความว่างของจักรวาล เข้าคู่กันเป็น เหตุเกิด ตัวอวิชชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และ เกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้

เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิตไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้

จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม

ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต

ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ(เกิด) การเปลี่ยนแปลง บางอย่างเรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต

เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็น เหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม

สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลง มี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็น เหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ

ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก นิพพาน เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย

ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ

เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย

ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงเสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือสิ้นทั้งกิเลสและชีวิต) เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลำดับแรก ก็เจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนือ อรูปฌาน

ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ได้ทรงพากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดจากที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา (เป็น) ผู้ที่มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่า มันเป็นทุกข์

นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตน ให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผย แจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่สภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้าย เสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิต และร่างกายนั้น เพราะต้องดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

พระองค์เริ่มดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที อันจะส่งผลให้ก่อ วิภวตัณหา ได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงได้เลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับ สัญญาขันธ์ เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน เมื่อ พระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนเข้าสู่ จตุตถฌาน คงมีแต่ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแล คือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ

เมื่อพระองค์ดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว แล้วก็มาดับ เวทนาขันธ์ อันเป็น จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ สุดท้ายจริงๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้น

นี่ พระองค์เข้าสู่นิพพานอย่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือ พระองค์ ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดที่มาครอบงำอำพราง ให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์

เมื่อ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแท้ๆ จริงๆ ได้ถูกทำลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรม และหมดเชื้อ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ทั้งปวงใดๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่ รูปขันธ์ อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิตหากสิ้นนามเสียแล้ว ก็คือแท่ง คือก้อนวัตถุหนึ่ง เท่านั้นเอง

นั่นแล คือ ลำดับฌาน ที่พระอนุรุทธเถระเจ้าได้นำฌานจิตเข้าไปดู เป็นวิธีการดับโดยแท้ ดับโดยจริงโดยพระองค์เป็นผู้ดับเองเสียด้วย

จบ จิตคือพุทธะ คัดลอกจาก เวบวิมุตติ

..........................................................................


บทความ จิตคือพุทธะ ข้างต้น ได้คัดลอกมาจากต้นทาง เวบวิมุตติ
ในหัวข้อ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ธรรมและคำสอน ซึ่งลิงค์ไปอ่านได้ในหัวข้อ จิตคือพุทธะ

ไม่มีตรงไหนที่จะแสดงให้รู้ได้เลยว่า บทความทั้งหมดนั้น ในส่วนต้นไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ แต่เป็นการตัดแปะคัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป

มีคนมากมายนำบทความนี้ไปโพสต่อ ในเวบบอร์ดต่างๆ ทุกคนก็ยกไปทั้งบทความ
และเข้าใจกันไปว่าเป็นคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ทั้งหมด

ซึ่งโดยมารยาทแล้ว การนำบทความจากที่อื่นๆมาใส่ ควรจะให้เครดิตเจ้าของบทความ และให้ผู้เข้ามาศึกษาใหม่ ทราบได้ว่า ข้อความใดคือสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์สอนแน่แท้

เวบเจ้าของตำรับผู้นำเสนอเรื่องนี้ กลับทำประหนึ่งว่า คำสอนเรื่องจิตคือพุทธะนี้เป็นคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ทั้งหมด ดังได้ทำลิงค์ไว้ข้างต้น

แต่กลับมีการแอบคุยกันเองเอาไว้ โดยห้ามมิให้ใครนำไปเผยแพร่ หรืออ้างอิง โดยยอมรับว่า คำสอนส่วนบนเป็นคำสอนของฮวงโป จนกระทั่งถึงย่อหน้านี้


โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๔๒) มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓๔๓) เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

ส่วนคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ที่ท่านสอนเพิ่มเติมเริ่มจาก
เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

อ่านดูได้ที่นี่ครับ
คคหที่ 5 ตอบเมื่อ วันศุกร์ ที่ 7 เมษายน 2543 17:51:57

........................................................................

ตอบโดย คุณปราโมทย์ วันพุธ ที่ 5 เมษายน 2543 12:24:40
เรียนคุณนิพ
คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ กับคำสอนของท่านฮวงโป เป็นคำสอนอันเดียวกัน
ผู้บัญญัติคำสอน คือท่านฮวงโป
แล้วหลวงปู่ดูลย์ ซึ่งเห็นด้วยกับคำสอนของท่านฮวงโป
ได้ยืมถ้อยคำของท่านฮวงโปมาใช้สอนศิษย์
เพราะท่านไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบัญญัติคำสอนขึ้นมาอีก
เพียงเพื่อจะแสดงความเป็น "เจ้าของ" ถ้อยคำเหล่านั้น


.................................


ตอบโดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช From MGR Online


ถาม ผมสงสัยว่าทำไมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์จึงเหมือนกับคำสอนของฮวงโป

ตอบ เพราะหลวงปู่ยืมถ้อยคำของท่านฮวงโปมาใช้ เรื่องนี้สืบเนื่อง จากท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนีเป็นผู้นำหนังสือ "คำสอนฮวงโป" ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสแปลไว้ไปถวายให้หลวงปู่พิจารณา หลวงปู่เห็นว่าท่านฮวงโปบัญญัติถ้อยคำไว้ตรงกับสภาวะดีแล้ว และท่านอาจารย์พุทธทาสก็แปลไว้ดีแล้ว จึงนำคำสอนมากล่าวสอนเพียงบางส่วนเท่าที่เห็นว่าผู้ปฏิบัติควรทราบ

มาในชั้นหลังนี้ได้ทราบว่ามีผู้ตำหนิท่านว่าละเมิดลิขสิทธิ์ คือนำหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสไปพิมพ์แจกเป็นหนังสือ "จิตคือพุทธะ" ความจริงหลวงปู่ไม่เคยเขียนหนังสือธรรมะ และไม่เคยพิมพ์หนังสือธรรมะแจก มีแต่กล่าวธรรมให้ผู้สนใจฟังอย่างไม่มีรูปแบบและครั้งละไม่กี่คนเท่านั้น และท่านก็ไม่ได้ต้องการชื่อเสียง เกียรติยศหรือได้รับผลประโยชน์อะไร เพียงต้องการให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์เท่านั้น

ส่วนการพิมพ์หนังสือ "จิตคือพุทธะ" ก็เป็นเรื่องที่ลูกศิษย์ลูกหาทำกันเองในชั้นหลัง ถ้าจะว่ามีความบกพร่องที่ไม่มีเชิงอรรถหรือบรรณานุกรมอ้างอิงถึงหนังสือแปลของท่านอาจารย์พุทธทาส ก็ขอให้ว่าลูกศิษย์เถอะ ผู้เฒ่าอายุร่วมร้อยปีท่านไม่เข้าใจเรื่องลิขสิทธิ์อะไรหรอก เหมือนท่านอ่านหนังสือแล้วเห็นว่าถูกต้องดี และสอดคล้องกับธรรมที่ท่านรู้เห็นมาด้วยการปฏิบัติ ท่านก็นำมาเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเท่านั้นเอง


...........................................................................

เมื่อรู้ดีกันขนาดนี้ ทำไมเวลาลงในเวบบอร์ด ก็ยังคงไม่ให้เครดิตท่านเจ้าของบทความอีก???

การตั้งข้อสังเกตของผม ผมคิดว่าการที่ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์เห็นด้วยนั้น
เป็นการเห็นด้วยกับคำพูดบางคำเท่านั้น ไม่ใช่เห็นด้วยกับคำสอนเหล่านั้นทั้งหมดเสียเมื่อไหร่

ถ้าท่านต้องการจะสอนจริงๆ แม้หลวงปู่ท่านเองก็ต้องบอกให้รู้อยู่ดีนั่นแหละ
ว่าคำพูดที่ท่านสอนเหล่านี้ได้นำมาจากหนังสือของท่านฮวงโป

การที่ปล่อยให้หนังสือออกมาแล้ว ค่อยตามมาแก้ตัวแบบเงียบๆ
ดังที่ทำกันอยู่ ไม่ใช่วิสัยของสมณะที่ควรทำกัน
แต่กลับเป็นการทำร้ายครูบาอาจารย์โดยทางอ้อม...

เมื่อได้แถลงความจริงออกมาแล้ว ก็ยังมีการเผยแผ่ออกไปอย่างกว้างขวางอยู่อีก
โดยละเลยที่จะบอกให้รู้ว่า ในส่วนต้นของบทความนั้นนำมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป...

แถมยังมีการนำไปบอกต่อๆกันด้วยว่า เนื้อหา จิตคือพุทธะ นี้
เป็นเทศนากัณฑ์สุดท้ายที่หลวงปู่ดูลย์ท่านเทศน์แด่หลวงพ่อปราโมทย์เมื่อปี 2526

ที่นี่ครับ โพสไว้ว่า

อ่าน"จิตคือพุทธะ"ของหลวงปู่ดูลย์หรือยังครับคุณwiras
ท่านเทศน์ตั้งแต่จักรวาลเกิดเลยครับ
ผมอ่านไม่รู้เรื่องซักน้อยเลย

อ่านแล้วครับคุณพอใจ เนื้อหาในเทศนาธรรมนี้
ก็คือเทศนากัณฑ์สุดท้ายที่หลวงปู่ดุยล์ท่านเทศน์
แด่หลวงพ่อปราโมทย์เมื่อปี 2526 ก่อนที่หลวงปู่
จะนิพพาน ซึ่งจะกล่าวถึงกำเนิดของจักรวาล
กำเนิดของจิต วิญญาณ กลไกการบันทึกกรรมลง
ในจิต การเกิดดับของจิต ตลอดจนถึงขั้นตอนการ
เข้าสู่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า แล้วหลวงปู่ท่าน
ยังสั่งให้จำไว้ด้วยว่า "พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้
ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย"
(ประโยคสุดท้ายนี้ หลวงพ่อท่านไม่ค่อยจะกล้าเล่า
เท่าไร เพราะกลัวคนทั่วไปจะเข้าใจผิด) จึงจะถึง
ความบริสุทธิอย่างแท้จริง พระธรรมเทศนาของหลวง
ปู่ดูลย์แต่ละกัณฑ์นั้นลึกซึ้งครับ ก็ขนาดหลวง
พ่อปราโมทย์่ท่านยังบอกเลยครับ ว่าเทศน์กัณฑ์
สุดท้ายนั้นท่านใช้เวลาถึง 22 ปีจึงเข้าใจ อย่างเรา
เป็นปุถุชนก็ไม่ต้องประหลาดใจเลยครับ



เป็นไปได้หรือ ที่หลวงปู่ดูลย์จะสอนว่า
"พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย"

ในเมื่อหลวงปู่ท่านเองก็ยังเคยกล่าวไว้ว่า "เราอยู่กับรู้"
ถ้าเจอผู้รู้ทำลายผู้รู้ แล้วเราจะอยู่กับอะไรล่ะ ???
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ท่านไม่สอนเช่นนี้แน่นอน

ส่วนพบจิตให้ทำลายจิตนั้น หลวงปู่ท่านเอง สอนไว้ว่า
"ธรรมทั้งหลายรวมลงที่จิต อยากรู้อะไร ให้ค้นหาเอาที่จิต"
ถ้าทำลายจิตทิ้งแล้ว จะไปค้นหาอมตธรรมที่ไหนล่ะ ???
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ท่านไม่สอนเช่นนี้แน่นอน

เรื่องพบพระพุทธเจ้า ให้ฆ่าพระพุทธเจ้าเสียนั้น
หลวงปู่ท่านสอนไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า
จึงเป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ท่านไม่สอนเช่นนี้แน่นอน...


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต






Create Date : 08 ธันวาคม 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 17:24:13 น.
Counter : 5111 Pageviews.

26 comments
หลักของสติ **mp5**
(16 เม.ย. 2567 12:14:57 น.)
เติมให้ความมี เติมให้ความไม่มี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 20:54:29 น.)
อยาก อยากได้ กฎที่ถูกที่ดี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 05:37:27 น.)
Day..10 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(11 เม.ย. 2567 08:25:45 น.)
  
ปกหนังสือคำสอนของฮวงโป





พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๑)

มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียว หรือสีเหลือง และ ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก

ทั้งนี้ เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และ เหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒)






จิตหนึ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้ เป็นเหมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบทุกๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง หรือวัดได้ (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๓)

จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้น เท่ากับ การใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะได้เลย

เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา เสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง และ พุทธะ คือ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง นั่นเอง สิ่งๆ นี้ เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๔)






หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิตนั่นแหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าวว่าจิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั่นแหละ ย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๕) สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และ พฤติของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๖)






จิตนี้คือ พุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่แตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๗)




ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง

จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง
(จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๘) สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละ คือสิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีก (จากหนังสือคำสอนของฮวงโป ข้อ ๒๙)





โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 9 ธันวาคม 2552 เวลา:6:18:15 น.
  
ขอบคุณครับท่าน
ผมเคยอ่าน เว่ยหล่าง ฮวงโป มานานแล้ว
รู้สึกยินดีที่ได้อ่านอีก

ของแท้นั้น ใครจะพูด ผมไม่เคยแคร์ เพราะพูดอย่างไรก็เหมือนกัน

ของปลอม อยู่ได้ไม่นาน คนที่เขาเห็นของแท้ ก็จะรู้ได้เอง แต่คนที่ไม่เคยเห็น ก็อาจยังหลงเชื่ออยู่นั่นแหละ

ผมชอบตรงนี้ด้วยครับ
ส่วนคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ที่ท่านสอนเพิ่มเติมเริ่มจาก
เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

ขอบคุณอีกครั้งครับ
โดย: นมสิการ วันที่: 9 ธันวาคม 2552 เวลา:13:27:54 น.
  
ของแท้นั้น ใครจะพูด ผมไม่เคยแคร์ เพราะพูดอย่างไรก็เหมือนกัน

ของปลอม อยู่ได้ไม่นาน คนที่เขาเห็นของแท้ ก็จะรู้ได้เอง แต่คนที่ไม่เคยเห็น ก็อาจยังหลงเชื่ออยู่นั่นแหละ

โดย: นมสิการ วันที่: 9 ธันวาคม 2552 เวลา:13:27:54 น.

^
คุณนมสิการพูดได้ดีค่ะ

ของแท้ ยังไงก็เป็นของแท้วันยังค่ำ

ของปลอม ถึงจะชุบมาให้ดียังไง ถึงเวลาก็ต้องลอกร่อน...


ใครทำใครได้ กรรมใครกรรมเค้า

โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 9 ธันวาคม 2552 เวลา:19:40:04 น.
  
เป็นไปได้หรือ ที่หลวงปู่ดูลย์จะสอนว่า
"พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย"

ในเมื่อหลวงปู่ท่านเองก็ยังเคยกล่าวไว้ว่า "เราอยู่กับรู้"
ถ้าเจอผู้รู้ทำลายผู้รู้ แล้วเราจะอยู่กับอะไรล่ะ ???
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ท่านไม่สอนเช่นนี้แน่นอน

ส่วนพบจิตให้ทำลายจิตนั้น หลวงปู่ท่านเอง สอนไว้ว่า
"ธรรมทั้งหลายรวมลงที่จิต อยากรู้อะไร ให้ค้นหาเอาที่จิต"
ถ้าทำลายจิตทิ้งแล้ว จะไปค้นหาอมตธรรมที่ไหนล่ะ ???
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ท่านไม่สอนเช่นนี้แน่นอน

เรื่องพบพระพุทธเจ้า ให้ฆ่าพระพุทธเจ้าเสียนั้น
หลวงปู่ท่านสอนไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า
จึงเป็นไปไม่ได้ หลวงปู่ท่านไม่สอนเช่นนี้แน่นอน...


ธรรมภูต

^
อนุโมทนาค่ะ คุณธรรมภูต

เป็นไปไม่ได้ค่ะ ที่หลวงปู่ดูลย์จะสอนว่า
"พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย"

ในหนังสือหลวงปู่ฝากไว้หน้า ๑๐๒
เรื่อง อยู่อย่างไรปลอดภัยที่สุด

หลวงปู่กล่าวว่า

"เออ ท่านองค์ไหนมีภูมิธรรมแค่ไหน ก็อยู่กับภูมิธรรมนั้นเถอะ
เราอยู่กับ "รู้""


โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 9 ธันวาคม 2552 เวลา:19:55:44 น.
  
น่าแปลกใจที่ในหลายๆเรื่องนั่นละ อย่างมีคำสอนของหลวงตามหาบัว ท่านว่า "จิตผู้รู้ คือ จิตอวิชชา" ฟังแล้วงงไหมละ?

เป็นไปได้หรือไม่ไม่มีใครตัดสินได้จริง เพราะบัญญัติที่เราเข้าใจเอาเองกับภูมิธรรมของครูอาจารย์ที่ท่านกลั่นกรอกมาเป็นคำสอนเฉพาะแก่ศิษย์มันคนลเรื่อง

ใช่ครับ "เป็นไปไม่ได้ๆท่านไม่สอนอย่างนั้นอย่างนี้" (ตามใจเรา)

โดย: มาแว๊ว IP: 110.164.13.162 วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:23:57:45 น.
  
น่าแปลกใจที่ในหลายๆเรื่องนั่นละ อย่างมีคำสอนของหลวงตามหาบัว ท่านว่า "จิตผู้รู้ คือ จิตอวิชชา" ฟังแล้วงงไหมละ?
เป็นไปได้หรือไม่ไม่มีใครตัดสินได้จริง เพราะบัญญัติที่เราเข้าใจเอาเองกับภูมิธรรมของครูอาจารย์ที่ท่านกลั่นกรอกมาเป็นคำสอนเฉพาะแก่ศิษย์มันคนลเรื่อง
ใช่ครับ "เป็นไปไม่ได้ๆท่านไม่สอนอย่างนั้นอย่างนี้" (ตามใจเรา)
โดย: มาแว๊ว IP: 110.164.13.162 วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:23:57:45 น.

.........................................
ท่านมาแว๊วครับ
ของแบบนี้จะมาตีความเอาเองตามชอบใจของเราไม่ได้หรอก
การที่ท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัว ท่านกล่าวเช่นนั้นว่า "จิตผู้รู้ คือจิตอวิชชา"นั้น

ท่านไม่ต้องแกล้งงงหรอกนะ ท่านแกล้งไม่ยอมดูบริบทก่อนหน้านั้นต่างหาก แล้วนำมาประมวลรวมกัน

จิตผู้รู้ที่ท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัวกล่าวถึงนั้น เป็นจิตผู้รู้ที่ยังชอบรู้และแส่สายไปรับอารมณ์ต่างๆ
เป้นจิตที่ยังถูกอวิชชาครอบงำอยู่ ซึ่งแตกต่างกับจิตผู้รู้ ที่ระลึกรู้อยู่ที่รู้เท่านั้น ไม่ไปรู้อยู่ที่เรื่องต่างๆ

ท่านจงใจยกมาลอยๆแบบนี้ เพื่อให้คนอ่านที่ยังใหม่อยู่เข้าใจผิด มันไม่งามนะ
และชอบทำแบบใครก็ไม่รู้(รู้ว่าใครก็ไม่รู้)ที่ชอบหลอกให้คนอ่านสับสนเป็นประจำนะ...

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:10:26:15 น.
  
ขอบคุณที่ทักทายกันนะคะ

และก็ดีใจที่ติดตามอ่านด้วยค่ะ
ถ้าอัพตอนใหม่แล้วจะมาแจ้งให้ทราบนะคะ

ปล.เนื้อหาของ จขบ.ก็น่าติดตามค่ะ
แอบมาอ่านหลายครั้งเลยค่ะ
โดย: พ่อระนาด วันที่: 14 ธันวาคม 2552 เวลา:21:43:37 น.
  
ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม
---------------

เพิ่งรู้นะเนี่ย สิ่งไม่มีชิวิตก็มีรูปนามด้วย ถ้าจะบ้า
โต๊ะเก้าอี้มีรูปนามตรงไหน

รูป คือความคิด
นามคือ ความรู้สึก
โต๊ะเก้าอี้ ก้อนหิมมีเหรอ ความคิด ความรู้สึก

เลอะเทอะใหญ่แล้ว ไอ้ดูจิต แต่ไม่รู้ว่าจิตคืออะไร ดูแต่สัญญาอารมณ์
โดย: Oz(ob) IP: 203.144.144.164 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:21:51 น.
  
ทำไมใช้คำพูดแบบนี้คะ คืออ่านแล้วทำให้หมดศรัทธาค่ะ
สิ่งที่เป็นคำสอนท่านฮวงโปข้างต้น ถ้าคุณอ่านแล้วไม่เห็นด้วยก็น่าจะบอกความคิดคุณมาว่าเหตุใดไม่เห็นด้วย ไม่ใช่มาใช้ทิ้งไว้ในรูปคำถามที่ไม่น่าฟังแบบนี้

มันมีหลายแง่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองแง่ไหน อย่างสิ่งที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็เคลื่อนไหวได้ทั้งสิ้นถ้าคุณเทียบกับเวลาที่ผ่านไปนะคะ หรือการที่โลกหมุนรอบตัวเองก็ทำให้ทุกอย่างเคลื่อนที่ค่ะ ลองอ่านคำสอนท่านให้จบ ถ้าอ่านไอร์สไตร์บางส่วนจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นด้วยค่ะ

โดย: ltoeyl วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:55:13 น.
.............................
คุณltoeylครับ
เรื่องศรัทธาหรือไม่ศรัทธา ห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เรื่องความถูกต้อง ต้องมาก่อน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับท่านฮวงโปนะ
เมื่อมีคนนำมาแอบอ้าง เพื่อประโยชน์ตนเองเท่านั้น
โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับท่านครูบาอาจารย์เลย
ก็เป็นธรรมดาที่เมื่อทราบที่มาที่มา ก็จำเป็นต้องนำมาเปิดเผย
เพื่อให้ผู้มาศึกษาใหม่ ที่ไม่ทราบเรื่องราว
จะได้ทราบที่มาที่ไป ไม่ไปก้าวล่วงหลวงปู่ดูลย์ท่าน

ส่วนเรื่องท่านฮวงโปนั้น ผมเองก็ศรัทธาในตัวท่าน
โดยเฉพาะหนังสือเล่มที่มีอยู่นี้ ผมอ่านมาเมื่อสามสิบปีที่แล้ว
ผมก็เลือกเชื่อในส่วนที่ควรเชื่อ เพราะแปลได้ถูก
ส่วนที่ท่านผู้แปลๆมาตามความเข้าใจของตนเอง
ที่ไม่ชัดเจนหรือเห็นว่าไม่ถูกต้อง ผมก็เลือกที่จะไม่เชื่อ....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:01:57 น.
  
ประกาศสวนสันติธรรม โกหกล้วน

ดูหลักฐาน พระปราโมทย์ อวดอุตริ ได้ที่

//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_xwd_xutri1.html

ดูหลักฐาน พระปราโมทย์ พยากรณ์ ได้ที่

//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_phyakrn_1.html



เปิดโปง พระ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช อวดอุตริ พยากรณ์ ใส่ร้าย คุณไสย แอบอ้างหลวงพ่อมนตรี อีกทั้ง พระปราโมทย์ ดังตฤณพยากรณ์ด้วย ไม่ใช่ต้วเองพยากรณ์คนเดียว

ดูความจริงได้ที่ //www.antiwimutti.net
โดย: พระแถ IP: 64.62.196.37 วันที่: 12 มีนาคม 2553 เวลา:22:20:48 น.
  

คำว่าพบผู้รู้ให้ทำลายเสีย หมายความว่า ถ้ายังยึดในผู้รู้อยู่ก็ยังมีภพชาติ เพราะยังมีสิ่งที่ยึดถืออยู่ ส่วนคำว่าอยู่กับ "รู้" ก็คือ ผู้รู้ที่ไม่มีการยึดถือเป็นสักว่ารู้เฉยๆ พระพุทธเจ้าก็คือผู้รู้นั้นแล ต้องทำลายเสีย ก็คือให้รู้สัก ว่ารู้ ไม่มีการยึดถือในรู้นั้น ผิดถูกก็ลองตรองดูละกัน

โดย: ติดเงา IP: 115.67.111.13 วันที่: 7 มิถุนายน 2553 เวลา:21:16:58 น
...............................................

คุณติดเงา

ใครที่ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในผู้รู้??? ใช่ตัวผู้รู้เองใช่มั้ย???

เพราะผู้รู้ที่ยังชอบออกไปรู้อยู่ที่เรื่องราวความรู้สึกนึกคิดใช่มั้ย???

จะต้องทำลายผู้รู้ไปทำไม???

เมื่อผู้รู้ รู้อยู่ที่รู้ ไม่ใช่ไปรู้อยู่ที่เรื่องราวความรู้สึกนึกคิดใช่มั้ย???

เชื่อผมเถอะ คุณเอาเวลาไปปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา "พุทโธ" ให้เข้าถึงผู้รู้

แล้วจะรู้จักผู้รู้ที่แท้จริง โดยหายสงสัยไปเอง จะได้ไม่พูดวกวนแบบนี้

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:10:39:29 น.
  
คุณธรรมภุติ คงไม่เข้าใจคำว่า"ว่างในว่าง"สินะ คำว่าทำลายผู้รู้ก็คือรู้แต่สักว่ารู้นั้นแล หรืออีกนัยหนึ่ง รู้ แต่ไม่ยึดในสิ่งที่รู้ คงเข้าใจนะ หรืออีกนัยหนึ่ง "มีแต่ว่าไม่มี ไม่มีแตว่ามี"คุณธรรมภูติเข้าใจมั้ย คำพูดคำนี้ไม่ใช่คำพูดที่วกวนถ้าเราเข้าถึงแก่นจริง

โดย: ติดเงา IP: 111.84.100.241 วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:17:37:12 น.
...............................................

คุณติดเงา

ออกจากเงาแล้วยอมรับความจริงเสียบ้างนะ

คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่เข้าใจอะไรที่คุณพูด ที่ผมไม่เข้าใจหนะที่คุณจำเค้ามาพูดต่างหาก

วกไปเวียนมา ถ้าคุณเข้าถึงแก่นจริง ก็ช่วยกรุณาตอบคำถามที่ผมถามไปด้วยนะ

อย่าเอาแต่แสดงการเข้าถึงด้วยคำพูดเท่านั้น

ผมถามต่อนะ ใครที่รู้แต่ไม่ยึดในสิ่งที่รู้หละ???

ว่างในว่างหนะ อะไรว่างจากอะไรว่างหละ???

อย่าลืมตอบแบบชัดๆ อย่าเอาแค่ประโยคที่ฟังดูเท่ๆเท่านั้นนะ


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:21:03:26 น.
  

คำตอบคือ รู้สักว่ารู้
ว่างก็ไม่ยึดในว่าง ก็เป็นว่างในว่าง
คุณธรรมภูติก็ภาวนาใช้ได้นะ แต่ยังไม่ดีพอ ยังติดในผู้รู้อยู่
อาจจะใช้เวลาสักเล็กน้อยประมาณสักกัปล์นึงเนี่ยแหละ
ถึงจะปล่อยผู้รู้ ให้เป็นสักว่ารู้ได้ สงสัยอะไรก็ถามมาได้นะ
ตอบได้ก็จะตอบ ถือว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน

โดย: ติดเงา IP: 111.84.84.32 วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:21:23:50 น.

^
ขออนุญาตแสดง คคห หน่อยค่ะ คุณธรรมภูต

แหม่ คุณติดเงา ทำเป็นเนียน
ไม่เห็นตอบคำถามอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย
มีการสงสัยอะไรก็ถามมา...ขำขำ...

ถึงจะปล่อยผู้รู้ ให้เป็นสักว่ารู้ได้ ... ใครเป็นคนปล่อยผู้รู้คะ???
โดย: ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ IP: 58.9.98.38 วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:5:50:12 น.
  
คำตอบคือ รู้สักว่ารู้
ว่างก็ไม่ยึดในว่าง ก็เป็นว่างในว่าง
คุณธรรมภูติก็ภาวนาใช้ได้นะ แต่ยังไม่ดีพอ ยังติดในผู้รู้อยู่
อาจจะใช้เวลาสักเล็กน้อยประมาณสักกัปล์นึงเนี่ยแหละ
ถึงจะปล่อยผู้รู้ ให้เป็นสักว่ารู้ได้ สงสัยอะไรก็ถามมาได้นะ
ตอบได้ก็จะตอบ ถือว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน

โดย: ติดเงา IP: 111.84.84.32 วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:21:23:50 น.
...............................................
คุณติดเงา

คุณยังหลงอยู่กับเงาไม่ยอมเลิกเลยนะ

คุณสับสนอะไรของคุณอยู่ ผมบอกแล้วว่าอย่าจำมาพูด ก็ไม่เชื่อ

การปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นลงได้นั้น ก็เกิดความว่างขึ้นมาใช่มั้ย???

เมื่อปล่อยวางได้แล้ว ยังจะบ้ากลับไปยึดความว่างนั้นอีก เพื่ออะไร???

ที่สงสัยถามไป ก็ได้รับคำตอบแบบเด็กขายขนมอย่างนี้หรือ

ตอบชัดๆมาสิ ใครปล่อยวางผู้รู้??? อย่าพยายามแถอีกหละ เข้าใจ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:20:14:33 น.
  
ผู้รู้น่ะมีอยู่จริง แต่สำคัญว่ามีผู้รู้ก็ยังไม่ใช่ หรือนัยหนึ่ง
ก็คือ "ผู้รู้ที่ไม่ยึดตนว่าเป็นผู้รู้นั้นเอง"ก็จะเป็นสักว่า "รู้"
ถ้าเข้าใจก็ไม่ใชคำพูดที่วกวน ถ้าผ่านไปทางป่าละอู
ลองถามครูบาอาจารย์แถวๆนั้นดู มีองค์หนึ่งที่ท่านเก่ง
เรื่อง "ดูจิต"มาก แล้วลองถามประโยคนี้ดู
โดย: ติดเงา IP: 111.84.1.51 วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:8:57:02 น.
...............................................
คุณติดเงา

คุณพูดเองชัดๆว่าผู้รู้มีอยู่จริง แต่กลับกลัวว่าจะมีผู้รู้ ตกลงเอายังไงกันแน่!!!

ได้ชื่อว่าผู้รู้ที่แท้จริงแล้ว ยังจะโง่กลับไปยึดตัวผู้รู้เองอีกทำไม???

ใครที่สักแต่ว่ารู้??? ถ้าไม่ใช่จิตที่กลายเป็นธรรมธาตุแล้ว???

ผมจะต้องไปถามท่านเพื่ออะไร??? คำตอบที่ท่านจะตอบผมก็รู้แล้ว

อย่าหลงเงาตัวเองอยู่เลย หัดชำเลืองดูจิตตนเองบ้าง จำเอาไว้นะ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:20:25:51 น.
  
คำตอบคือ รู้สักว่ารู้
ว่างก็ไม่ยึดในว่าง ก็เป็นว่างในว่าง
คุณธรรมภูติก็ภาวนาใช้ได้นะ แต่ยังไม่ดีพอ ยังติดในผู้รู้อยู่
อาจจะใช้เวลาสักเล็กน้อยประมาณสักกัปล์นึงเนี่ยแหละ
ถึงจะปล่อยผู้รู้ ให้เป็นสักว่ารู้ได้ สงสัยอะไรก็ถามมาได้นะ
ตอบได้ก็จะตอบ ถือว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน

โดย: ติดเงา IP: 111.84.84.32 วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:21:23:50 น.

^
ขออนุญาตแสดง คคห หน่อยค่ะ คุณธรรมภูต

แหม่ คุณติดเงา ทำเป็นเนียน
ไม่เห็นตอบคำถามอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย
มีการสงสัยอะไรก็ถามมา...ขำขำ...

ถึงจะปล่อยผู้รู้ ให้เป็นสักว่ารู้ได้ ... ใครเป็นคนปล่อยผู้รู้คะ???

โดย: ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ IP: 58.9.98.38 วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:5:50:12 น.
...............................................
คุณขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ

อนุโมทนาครับ ทุกวันนี้มีคนหลงเงาของจิตเป็นอันมาก

เพราะมัวเชื่อตามๆกันมาโดยที่ไม่เคยพิจารณาคำสอนของอัตโนมัติอาจารย์บางท่าน

ที่สอนโดยชอบแอบอ้างคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาเป็นคำสอนของตนเอง

โดยแท้จริงแล้ว ภูมิธรรมของตนเองยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังกล้าวิจารณ์สอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์อีก

หลงคิดไปเองว่าตนเองมีภูมธรรมทัดเทียมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เป็นอันตรายต่อพระพุทธศานาอย่างยิ่ง

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:20:34:47 น.
  
ถ้าจิตกลายเ้ป็นธรรมธาตุอย่างคุณว่า ก็ไม่มีผู้รู้นะสิ
จริงมั้ย ถ้ามีผู้รู้อยู่ก็ไม่ใช่ธรรมธาตุอย่างคุณว่า
จริงเปล่า ตกลงผู้รู้ของคุณธรรมภูติน่ะ มี หรือ ไม่มี
กันแน่ละเนีี่ย ใครหนอ ช่างพูดวกวน ว่าแต่เขา
อิเหนาเป็นเองรึเปล่า
โดย: ติดเงา IP: 111.84.82.90 วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:20:55:25 น.
  
ว่าแต่เขายกตนเทียมครูบาอาจารย์ เล่นตอบคำถาม
แทนครูบาอาจารย์แบบนี้มิใช่จะเข้าตัวเองหรือ
คุณธรรมภูติ ตอบคำถามแทนได้ก็เท่ากับตนมีภูมิจิต
ภูมิธรรมเทียมท่านนะสิ กิ้วๆๆๆ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
โดย: ติดเงา IP: 111.84.82.90 วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:21:00:36 น.
  
ผมคงเป็นคนแรกนะครับที่แหย่ให้คุณธรรมภูติเปิดได้ขนาดนี้
น้อยคนที่จะอธิบาย "ผู้รู้ที่แท้จริง" ได้ ไม่ใช่อะไรครับเพื่อเป็น
ประโยชน์แก่คนอื่นที่อาจจะติดในส่วนนี้อยู่ สำหรับผมไม่มีอะไร
สงสัยในตัวคุณธรรมภูติแต่แรกแล้ว และไม่กล้าที่จะเปรียบเทียบ
อะไรได้ เหมือนหิ่งห้อยกับตะวันนะครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสแสดง
ความคิดเห็นและคำตอบที่ไม่ปิดบังอำพราง อย่างนี้สิควรที่จะ
ชี้แนะคนอื่นๆได้จริง และขอโทษในบางคำที่อาจไม่เหมาะสม
แต่การคุยกัน ก็อาจมี ตอบ,แก้,แหย่ บ้าง ก็ถือเป็นธรรมดานะ
ครับ ว่างๆจะเข้ามารบกวนใหม่ หวังว่าคงได้รับการชี้แนะเช่นเคย
ขอบคุณด้วยใจจริงครับ
โดย: ติดเงา IP: 115.67.229.123 วันที่: 10 มิถุนายน 2553 เวลา:16:52:20 น.
  
3ข้อความข้างบนอนุญาตให้ลบได้นะ สำหรับเรื่องหลวงพ่อ ปราโมทย์นั้นทางป่าละอูก็มีแถลงการณ์ออกมาชัดเจนแล้วมิใช่รึ
คนที่มีหูมีตาก็คงจะสว่างได้แล้ว ถ้ายังมืดมิดก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของกรรมละกัน โดยส่วนตัวผมนั้นเคารพ องค์หลวงพ่อและคุณแม่ที่ป่าละอูเหนือเศียรเหนือเกล้าจริงๆ ขอยึดคำขององค์ท่านเป็นแนวทางดำเนินจนชีวิตจะหาไม่ละกัน
ถ้าว่างจะแวะมาใหม่ละกัน
ขอบคุณ (รั.....ร์)
โดย: ติดเงา IP: 115.67.212.211 วันที่: 3 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:59:25 น.
  
3ข้อความข้างบนอนุญาตให้ลบได้นะ สำหรับเรื่องหลวงพ่อ ปราโมทย์นั้นทางป่าละอูก็มีแถลงการณ์ออกมาชัดเจนแล้วมิใช่รึ
คนที่มีหูมีตาก็คงจะสว่างได้แล้ว ถ้ายังมืดมิดก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของกรรมละกัน โดยส่วนตัวผมนั้นเคารพ องค์หลวงพ่อและคุณแม่ที่ป่าละอูเหนือเศียรเหนือเกล้าจริงๆ ขอยึดคำขององค์ท่านเป็นแนวทางดำเนินจนชีวิตจะหาไม่ละกัน
ถ้าว่างจะแวะมาใหม่ละกัน
ขอบคุณ (รั.....ร์)


โดย: ติดเงา IP: 115.67.212.211 วันที่: 3 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:59:25 น.
........................................................
คุณติดเงาครับ

ไม่เป็นไรครับ จะได้ให้คนอื่นได้อ่านประกอบการพิจารณากันเอาเอง

ผมเองก็รู้จักศิษย์ก้นกุฏิหลวงปู่ดูลย์ครับ ท่านอยู่อุปฐากหลวงปู่จนวาระสุดท้ายเลยครับ

ท่านเองเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคารพท่านพระอาจารย์หลวงพ่อมนตรี เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆครับ

ผมเองก็ไม่เคยสงสัยในตัวท่านพระอาจารย์หลวงพ่อมนตรีครับ

แต่ก็ยังไม่เคยได้ไปกราบท่านเท่านั้น เนื่องจากไกลครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 4 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:23:24 น.
  
ปฏิบัติธรรมวัดผลอย่างไร องค์ท่านพระประยุทธ์ ปยุตโต

1.มีความมั่นใจ มั่นใจในกุศลธรรมต่างๆมากขึ้น
2.มี ศีล ขึ้นไหม (ความสงบ/ปกติของ กาย วาจา ใจ)
3.มี สุตะ มากขึ้นไหม
4.มีความลดละกิเลสได้มากขึ้นไหม
5.มีปัญญา (ตัวคุมทั้งหมด) รู้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงมากเพียงใด
---------หากปฏิบัติจริงแล้ว-----------
ลักษณะของจิตที่เดินถูกทาง
1.ปราโมทย์ แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบานใจ
2.ปีติ อิ่มใจ ปลาบปลื้มใจ ใจฟูขึ้น
3.ปัสสัทธิ รู้สึกผ่อนคลายกายใจ ใจเรียบรื่นระงับลง เย็นสบาย
4.สุข ความสุข คล่องใจ โปร่งใจ ไม่มีความติดขัด บีบคั้น
5.สมาธิ ความมีตั้งใจมั่น สงบ อยู่ตัว อยู่กับงานที่ทำหรือเรื่องที่เกี่ยวข้อง ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน
แค่ข้อที่ 1 ก็ถูกทางแล้ว หวังลุถึงสันติบรมธรรมที่เป็นจุดหมาย(คาถาธรรมบทที่ 376,381)

---------------ให้ทุกคนที่สนใจ เก็บไว้ได้น่ะครับ------
ผมก็แค่คนเริ่มเดิน แต่ก็มั่นใจจะถึง เมื่อไหร่เมื่อนั้นครับ
โดย: มั่นใจ IP: 61.19.65.208 วันที่: 30 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:39:44 น.
  
ขออนุโมทนากับคุณมั่นใจนะครับ ขอให้ถึงไวๆนะครับ
โดย: ติดเงา IP: 125.26.69.210 วันที่: 29 สิงหาคม 2553 เวลา:12:30:17 น.
  
ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม
---------------

เพิ่งรู้นะเนี่ย สิ่งไม่มีชิวิตก็มีรูปนามด้วย ถ้าจะบ้า
โต๊ะเก้าอี้มีรูปนามตรงไหน

รูป คือความคิด
นามคือ ความรู้สึก
โต๊ะเก้าอี้ ก้อนหิมมีเหรอ ความคิด ความรู้สึก

อย่าเพิ่งกล่าวอย่างนั้นครับ คุณOz(ob)
ลองพิจารณาสักนิดก่อนครับ
โดย: เศษผง IP: 58.11.35.161 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:23:03 น.
  
รูป คือ อารมณ์ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธัมมารมณ์(ความนึกคิดในใจ)

นามคือ อาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

รูปนาม คือ อารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ ขันธ์ ๕ นั่นเอง

รูปนาม หรือ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต
เพราะมนุษย์มีจิตครอง จึงทำให้เกิดรูปนามหรือขันธ์ ๕ ขึ้นที่จิต

ส่วนสิ่งไม่มีชีวิต ไม่มีจิตครอง
จึงไม่เกิดรูปนามหรือขันธ์ ๕ ขึ้นที่สิ่งนั้นๆ

โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:06:44 น.
  
ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม
---------------

เพิ่งรู้นะเนี่ย สิ่งไม่มีชิวิตก็มีรูปนามด้วย ถ้าจะบ้า
โต๊ะเก้าอี้มีรูปนามตรงไหน

รูป คือความคิด
นามคือ ความรู้สึก
โต๊ะเก้าอี้ ก้อนหิมมีเหรอ ความคิด ความรู้สึก

เลอะเทอะใหญ่แล้ว ไอ้ดูจิต แต่ไม่รู้ว่าจิตคืออะไร ดูแต่สัญญาอารมณ์


โดย: Oz(ob) IP: 203.144.144.164 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:21:51 น.
............................
ไม่เข้าใจอย่า อย่าว่าอย่างนั้นครับ
หลวงปู่ดุลย์ หมายถึง อย่างนี้
รูปกับนามรวมกัน มันก็เคลื่อนไหวได้อยู่แล้ว
เราไม่ต้อง ไปคิดว่า มันมีชีวิต หรือไม่มีชีวิต
ท่านหมายถึงอย่างนี้
ขันธุ์5 มีรูป1 นามอีก 4 หาอ่านเอง

จิต คือ ผู้รู้
ส่วนการดูจิต คือท่านสอนให้ลองหาดูซิว่าว่าผู้รู้มันอยู่ที่ไหน
แล้วเราจะเห็นเองว่า ผู้รู้มันเป็นยังไง
มันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องอธิบาย อะไร
พยายามคิดอธิบายเท่าไร ความคิดเหล่านั้นก็ถุกรู้ทั้งหมด
สิ่งที่อธิบายได้ไม่ไช่สิ่งนั้นแน่นอน
แล้วจะรู้เอง


โดย: ทรงกลด IP: 61.7.173.91 วันที่: 7 มกราคม 2554 เวลา:12:52:45 น.

Nujoy.BlogGang.com

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]