แก้วน้ำงาช้าง EPISODE I ฉันตื่นลืมตาพร้อมกับเสียงรถโฟวิลของพ่อที่แล่นออกไปจากรั้วบ้าน มีเสียงประตูรั้วถูกลากและเสียงสับกลอน ก่อนจะยินเสียงคันเร่งกระหึ่มไปทางหน้าปากซอย ...พ่อคงออกไปทำงานตามเคย... ฉันลงจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ...ห้องน้ำที่ไม่ได้อยู่ในห้องนอน หากแต่ต้องผ่านโถงชั้นบน... อาจดูเหมือนว่าไม่เป็นส่วนตัวสักนิด แต่ก็ไม่ต้องเดินไกลไปถึงชั้นล่าง ใครหลายคนมองว่า ชีวิตของฉันดูสุขสบาย มีทุกอย่างพร้อมพรั่ง ไม่มีทางทุกข์ร้อน นับตั้งแต่ตื่นนอน ฉันก็แค่แปรงฟัน ล้างหน้า คุยกับหมาสี่ห้าคำ ก่อนจะลงมือกวาดถูบ้าน ...บ้านที่เป็นเรือนสองชั้น ขนาดประมาณห้าสิบตารางวา... บางคนว่าดีเท่าไหร่ที่ไม่ต้องกวาดลานซีเมนซ์รอบ ๆ บ้านที่กินอาณาเขตร่วมร้อยตารางวาไปด้วย ...นั่นเป็นงานของพ่อ... เออเนาะ... ฉันก็คงว่าดีด้วยแหละมั้ง ถ้าจะไม่ต้องเจอแป้งทาผิวที่มันหกเรี่ยราดตามโต๊ะและกระจก ถ้าจะไม่ต้องเจอขี้เยี่ยวเหมียวน้อยที่พ่อแม่รับมาเลี้ยงเป็นโขยง ถ้าจะไม่ต้องเจอการเล่นเกมซ่อนหาว่าทั้งไม้กวาดเอย ไม้ถูพื้นเอย ถูกย้ายไปที่ไหน ถ้าจะไม่ต้องเจอสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งเช้าและบ่าย และถ้าจะไม่ต้องเจอสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทุกวันไป ทั้ง ๆ ที่ฉันมีปัญหาทางสายตา ...ฉันก็คงจะเป็นแม่ศรีเรือนดีเด่นได้ไม่ยาก เพราะบทบาทเหล่านี้ฉันถูกฝึกฝนมาจากในรั้วโรงเรียนสอนคนตาบอดนับตั้งแต่เล็กแต่น้อย... พ่อกับแม่ของฉันไม่ได้เป็นเศรษฐี มีบ้าน มีรถ มีเกียรติยศใหญ่โต พวกท่านเป็นแค่เพียงพ่อค้าแม่ขายผักผลไม้ธรรมดา ที่บังเอิญว่าลูกคนโตเรียนดี มีการงานมั่นคงและมีเกียรติ เวลาครอบครัวของฉันจะไปไหนมาไหนแต่ละที ถ้าไม่มีใครล้อมหน้าล้อมหลัง วันนั้นคงน้ำท่วม ...ฉันจึงพลอยฟ้าพลอยฝนเป็นคนที่ใคร ๆ ต้องนับหน้าถือตาไปด้วย เท่านั้นเอง... คิดอะไรเพลิน ๆ ไม่ได้นาน ลูกสาวก็เห่า ...ถ้วยฟู เป็นพุดเดิ้ลแก่ ๆ ผิวสีโอวันตินแก่ ๆ... วันนี้คงอ้อนให้อุ้มขึ้นโซฟาตามเคย เหอะ... สิ่งเหล่านี้ทำไมฉันถึงรู้น่ะเหรอ ไม่มีใครใจดีพอจะมานั่งบอกฉันหรอก ฉันต้องสังเกตด้วยดวงตาที่ยังพอมองเห็นแต่ไม่ชัดทั้งสองนั่นของฉันเอง อึ๊บ... อ๊ายย่ะ... อูย... ฉันแสร้งทำเสียงคล้ายว่าตัวมันหนักเสียเต็มประดา โธ่เอ๊ย!!! สุนัขพันธุ์นี้ ตัวของมันจะใหญ่โตสักแค่ไหนกัน อาศัยที่มันตัวยาว ๆ ตาโปน ๆ คล้ายปิศาจ ฉันก็อุปโลกน์ว่ามันตัวใหญ่ที่สุดในบ้าน คล้อยหลังเพียงไม่นาน... ก็แค่ไล่ถูบันไดบ้าน พอลงบันไดมาถึงขั้นสุดท้าย แอ๊ก!!! ร้องเบาแสนเบา แต่ทำเอาฉันสะดุ้ง อะไรหยุ่น ๆ บอกฉันว่า ถ้วยฟูนอนอยู่ตรงตีนบันได ...เดชะบุญที่ฉันลงส้นเท้าเพียงเบา ๆ... พี่ถ้วย... ฉันเรียกมันเมื่อไม่รู้ว่ามันโกยแน่บไปทางไหน สักพักแหละถ้วยฟูก็วิ่งกลับมาเลียแข้งเลียขาคล้ายบอกฉันว่ามันไม่ได้เป็นอะไร ...มีแค่มันตัวเดียวล่ะที่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่เคยอ้างว้าง ไร้ญาติขาดมิตรสักนิดเดียว... อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ตอนที่แม่ทำงานอยู่รู้ไหม แม่มองไม่ค่อยเห็น ถ้าเหยียบหมาไปแม่จะทำอย่างไร นัยน์ตาปิศาจนั้นเหลือบมองเพียงแว่บเดียว พอที่จะเห็นแววตาซึ่งคล้ายจะบอกว่า ...ไม่ต้องห่วงหรอกน่าไอ้แม่... ลองนึกภาพและเสียงตามดูนะ... ไอ้ลูกหมานัยน์ตาปิศาจ มันตัวใหญ่ ๆ (ที่ขนฟู ๆ) เวลาจะอุ้มมันแต่ละทีต้องทำท่าให้เหมือนว่ามันตัวหนักเหลือเกิน ดังนั้น... เมื่อฉันสบตาของมันที่ดูเหมือนจะพูดได้ตลอดเวลา มันจะเสียงใหญ่ ๆ คล้ายคนอ้วน ๆ สักคนมาพูดใส่หู ...นึกดูเอาแล้วกันว่ามันน่าหมั่นไส้สักแค่ไหน... สิบโมงเช้าเข้าแล้วที่พ่อแม่ของฉันกลับมาถึงบ้าน มาพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหมาแมวในบ้านที่ร้องต้อนรับ ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่ถ้วยที่เห่าเสียงดังกว่าใครเขาอื่น ฉันทำความสะอาดบ้านเพิ่งเสร็จ แม้ภารกิจของนังแจ๋วจะยังไม่ลุล่วง แต่การที่แม่เข้ามานั่งพักโดยไม่บ่นเรื่องในบ้าน ฉันว่าก็ประเสริฐสุดแล้ว ซื้ออะไรมาแม่ ปากฉันถามแม่ แต่มือของฉันกำลังรื้อค้นตะกร้าที่มันเคยบรรจุน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มซึ่งตั้งไว้เป็นที่ประจำหน้าห้องน้ำ ราดหน้าหมู วันนี้เค้าขายดี ซื้อของกินอย่างอื่นไม่ทัน น้ำเสียงเหนื่อย ๆ ของแม่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกปีติซาบซึ้ง แม่ก็รู้ว่าเค้าไม่กินราดหน้า ซื้อมาทำไมก็ไม่รู้ คงเป็นเพราะว่าฉันหาของไม่เจอเลยพาลรีพาลขวาง มีอะไรก็กินไปก่อนน่า เลือกกินอย่างนี้จะอยู่กับใครเขาได้... ดูตรงข้างตู้ซักผ้าซิ่ มีน้ำยาซักผ้าไหม ประโยคสุดท้าย แม่คงรำคาญที่ฉันเดินวนไปวนมาแต่หาของไม่เจออยู่นั่นแล้ว ตู้ซักผ้าก็อยู่ข้างห้องน้ำนั่นแหละ แต่ใครจะไปนึกว่ามันอยู่ในซอกหลืบ ระหว่างผนังกับเครื่องซักผ้า ก็รู้ว่ามีลูกตาบอดยังวางของไม่เป็นที่...เอ๊อ ฉันล่ะไม่เข้าใจพ่อกับแม่ ฉันก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว สามสิบกว่า ๆ แล้ว ก็น่าจะรู้นานแล้วว่าอย่าวางของโดยเปลี่ยนตำแหน่งไปมา แล้วทำไมไม่หาให้มันดี ๆ ก่อนล่ะ ก่อนที่จะบ่นเค้าเนี่ย โธ่!!! ตัวเองย้ายของเองยังจะมาว่าฉัน ทำไมนะ แม่คนอื่น ๆ เขาไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ ฉันเทน้ำยาซักผ้าลงถังขณะที่ยังเฝ้ารำพึงถึงโชคชะตา เป็นคนตาบอดแล้วยังไม่พอหรืออย่างไร ทำไมต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงที่ถูกเก็บตัวไว้กับบ้าน ไปสมัครงานที่ไหนก็มักจะถูกพี่สาวและพี่เขยใช้อำนาจสั่งให้บริษัทต่าง ๆ ถอนชื่อฉันออก ที่ต่อให้ฉันผ่านสัมภาษณ์ เตรียมตัวที่จะทำงานในวันสองวันนี้แล้วก็ตาม อิจฉาพวกเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่มีโอกาสได้งานแต่ชอบลาออก ชอบเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ทำเหมือนว่า งองานนั้นหาง่าย เหมือนจับจ่ายหาซื้อของ รุ่นใหญ่ได้แค่มอง เพียงจับจ้องยังจนใจ สามสิบมันแก่แล้ว ไม่คล่องแคล่วดั่งรุ่นใหม่ ดอเด็กจำขึ้นใจ งานสิ่งใดทำให้ทน ที่พูดนี่รู้ไหมเนี่ย เอ๊ะ... แม่พูดอะไรนะ ช่างเถอะ... ก็คงบ่นเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสังคม บ่นเรื่องพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะไม่ลงรอยกับพ่อแม่สักเท่าไหร่ ...คิดเองเออเองทั้งนั้น... จะมีใครรู้บ้างนะ ฉันแค่อยากให้พ่อกับแม่รับรู้ความรู้สึกชอบ...ไม่ชอบของฉันบ้าง ขณะที่ฉันรู้ว่าพ่อและแม่รักฉันมาก เป็นห่วงมาก ถึงขนาดขอคำสาบานจากพี่สาวว่าถ้าวันใดวันหนึ่งทอดทิ้งฉันขอให้พี่สาวมีแต่ความฉิบหาย ไม่มีความสุขตลอดชีวิต โธ่ถัง... นั่นใช่ความต้องการของฉันเสียเมื่อไหร่ อยู่ ๆ ก็มีเงินใช้เป็นหมื่น ๆ โดยที่ไม่ต้องออกไปทำงาน แต่ต้องแลกกับการอยู่กับพ่อและแม่ที่บ่นว่าเช้าเย็น ...สนุกงั้นเหรอ!!! คิดดู... ฉันนั่งกลืนก๋วยเตี๋ยวราดหน้าอย่างเหงา ๆ บ้านที่เงียบอยู่แล้ว พอพ่อใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดพื้นซีเมนซ์จนเกิดเสียงแสกสาก มันทำให้ฉันนึกถึงป่าช้าหลังวัด อี๋!!! รสสัมผัสจากน้ำราดหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับอาจม เส้นใหญ่ลื่น ๆ คล้ายมันสมองมนุษย์ชัด ๆ ความเหนียวและเย็นชืด ทำเอาฉันแทบอยากจะอ้วกมันเสียเดี๋ยวนั้น เฮ่อะ... มีใครไหนเล่าจะกินข้าวไปสะอื้นไปอย่างฉันเป็นไม่มีแล้ว ...นางเอกเจ้าบทบาทอย่างกบสุวนันท์ แอนทองประสม ก็เอามาจากชีวิตของฉันนั่นล่ะ... พี่...ถ้วย... ฉันร้องเรียกไอ้ลูกหมานัยน์ตาปิศาจด้วยเสียงยานคาง แต่มันก็แสนรู้ หลบหายเข้ากลีบเมฆ นี่แหละ... เวลาน่าชังของเจ้าตูบคือเวลาถูกเรียกให้ไปอาบน้ำ ใครไม่เลี้ยงหมาไม่รู้หรอก หมา... หมาอยู่ไหน... หมาของแม่... ไอ้ลูกหมา... แสร้งทำเป็นร้อนรนบนโซฟาด้วยรู้ว่า หมา อยู่ข้างใต้โซฟานั่นแหละ หมาเอ้ย... หมา... พี่ถ้วย... จ๊ก... มันร้องอย่างรำคาญด้วยสำเนียงคล้าย ๆ อย่างนั้น ก่อนจะนวยนาดออกมาจากที่ซ่อน ...อาการเสียมิได้ของมันเป็นที่น่าหมั่นไส้... ไม่ต้องมาจ๊กเลย ตัวเหม็นแล้วรู้ยัง ฉันอุ้มพลาง เดินพลาง ขยี้ไอ้ขนฟูไปพลาง และฉันมักจะพูดกับมันเสมือนว่ามันรู้ภาษาคน ซึ่งฉันก็คิดว่ามันน่าจะรู้เรื่องแหละ การอาบน้ำหมาไม่ได้มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน แค่ราดน้ำจากคอลงมาถึงตูด แต่จะไม่ราดหัว เพราะหมากระหม่อมบาง แค่หัวถูกน้ำเพียงนิดก็ไม่สบายแล้ว จากนั้นก็ลงแชมพู แล้วล้างคราบให้สะอาด ...เห็นไหมว่าง่ายนิดเดียว... นอกนั้นน่ะเหรอ ยากมาก เพราะถ้าหมาเหมือนตุ๊กตาก็คงจะดีน่ะซิ่ ไม่ต้องกระดุกกระดิก สะบัดขนจนคนพลอยเปียกไปด้วยเหมือนอย่างเวลานี้ จะดิ้นทำไม... ฉันตีตูดหมาลงที่คำว่า ไม แต่อย่าคิดว่าหมาจะเชื่อฟังง่าย ๆ แม่เปียกหมดแล้วเห็นไหม คำว่า ไหม ที่ฉันมักพูดเสียงเพี้ยนเป็น มั๊ย คืออีกเผียะ และอีกเผียะ จนกว่าการอาบน้ำหมาจะสิ้นสุด แต่อย่าคิดว่ากรรมวิธีการทำความสะอาดพี่ถ้วยจะแล้วเสร็จ ออกจากห้องน้ำยังต้องเช็กขนด้วยผ้าขนหนู (พี่ถ้วยไม่ชอบเสียงไดเป่าผม พี่เค้าว่ามันน่ากลัว) แล้วก็ยังต้องแปรงขนจนเงาวับ และมันก็คงจะยังไม่สาสม ถ้าฉันจะยังไม่ได้เช็ดหูแฉะ ๆ ของมัน กว่าจะเสร็จสรรพทุกสิ่งอันก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า ๆ ...โชคดีที่ว่าไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวัน... พี่ถ้วยหอม ๆ... ฉันชื่นชมสมฤดีกับสัตว์เลี้ยงสี่ขา พูดจากับมันเป็นวรรคเป็นเวร มันคือความสุขเดียวที่เหลืออยู่ แม้มันหลงมาโดยบังเอิญ แม้ฉันไม่รักหมา แต่ฉันก็รักพี่ถ้วย ไอ้ลูกหมานัยน์ตาปิศาจของแม่ หากฉันจะต้องพบเจอเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน แต่ถ้ามีแกอยู่ใกล้ ๆ ฉันก็ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ ...แค่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อแกก็พอ... บรรยายดีจังค่ะบทนี้ ชอบนะคะ
![]() โดย: tsk.love
![]() |