ม่ายมีอะไร .. อยากจะรำพัน เคยได้ยิน..คำพูดนึงไหมครับที่ว่า . . เวลาเราเหงา ว้าเว่ หรือว่า ฟุ้งซ่าน .. ถ้ามีสติสักนิด หยุดคิด และ รับรู้ว่า เรากำลังเหงา ฟุ้งซ่านนั้น.. สิ่งที่ถูกรู้จะเลือนหายไปเหมือนกับ พยับแดด ที่ไม่มีอยู่จริง.. จิงหรอคับ?? มีใครเคยทำบ้าง ช่วงนี้ผมเหงา.. . . เศร้า.. . . แถม ยังรู้ด้วยว่า เหงา และ กำลังเศร้า อยู่ แต่ทำไม มันไม่หายหว่า.. บางครั้ง ที่มาของความเหงา.. อาจจะไม่มีสาเหตุแน่นอนก็ได้ แต่ครั้งนี้ รู้เลยว่า มาจาก . . ผมงานยุ่งนั้นเอง.. วุ่นทุกวินาที.. พอมีเวลาว่างๆ แทรกตัวมานิ๊ดดดดนึง.. จะเกิดอาการ งง.. และ เหงาก็ค่อยๆเข้ามาต่อแถว เนื่องจากว่าเวลา ปกติ ดันยุ้งยุ่งจนไม่เคยหยุดคิด . ให้เวลาผมสักพักนะคับ... . แล้ว ผมจะเป็นเพื่อนกับเหงา.. แล้วตั้งชื่อให้เค้าใหม่ว่า.. "ความสงบ" ถ้าเหงาลองไปเดินห้างที่มีคนเยอะๆซิคะ หรือไม่ก็ลองอยู่กับตวเองคิดอะไรที่ดีๆ ที่เกิดกับตนเองหรือคนรอบข้าง เราทำบ่อยเพราะเป็นคนขี้เหงาเหมือนกัน ยิ่งช่วงปิดเทอมไม่เจอเพื่อนเหงาไปกันใหญ่เลย เฮ้อ...คิดถึงเพื่อนๆ
![]() โดย: lovelykoy IP: 58.8.55.20 วันที่: 5 มีนาคม 2549 เวลา:4:38:37 น.
โฮ่ๆๆ แวะมาดูคนเหงา 555
มีรูปจึ๋งเดียวเอง ไม่จุใจเลย โดย: นายเบียร์
![]() ความเหงามักแทรกซึมมาตลอดครับ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็ตาม ที่ทำคัญต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงามากกว่ามั้งครับ เนอะๆ
![]() โดย: ตงเหลงฉ่า
![]() มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้อ่านงานของคุณดังตฤณ ซึ่งมีคนนำมาโพสไว้ เป็นตอนหนึ่งในหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน บทที่ ๙ ซึ่งขณะที่ผมอ่าน ทำให้ผมรู้สึกเป็นปีติเหลือเกิน ขออนุญาตยกมาให้คุณอ่านตรงนี้แล้วกัน ลองตั้งใจอ่านให้จบแล้วทำความเข้าใจดูน่ะครับ (หากว่าเคยอ่านแล้วก็ต้องขออภัยครับ)
----------------------------------------------------------- บทที่ ๙ - คำถามที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต บางคนรู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต บางคนเจาะจงลงไปกว่านั้น คือรู้สึกว่าความเจ็บปวดขณะกำลังจะตายน่ากลัวที่สุด แต่บางคนฟังเรื่องเกี่ยวกับนรก ก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดในสากลจักรวาลน่าสะพรึงกลัวยิ่งไปกว่านรกอีกแล้ว แต่ความจริงก็คือยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น! ความมืดอันใดน่ากลัวที่สุด? ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสกะพระสาวกของพระองค์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกันตนรกมีแต่ความทุกข์ มืดคลุ้มเป็นหมอกมัว สัตว์ในโลกันตนรกนั้นไม่ได้รับรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากถึงขนาดนี้ เมื่อพระองค์ท่านตรัสแล้วก็ทรงเงียบอยู่ กระทั่งมีภิกษุรูปหนึ่งทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฟังแล้วโลกันตนรกช่างมืดมากเหลือเกิน แต่จะยังมีความมืดอย่างอื่นที่ยิ่งไปกว่านั้น น่าสะพรึงกลัวยิ่งไปกว่าความมืดแห่งโลกันตนรกหรือไม่พระเจ้าข้า? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ความมืดอย่างอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวกว่าความมืดแห่งโลกันตนรกนั้นมีอยู่ แล้วท่านก็สาธยายมีใจความโดยสรุปคือ ความไม่รู้ตามจริงนั่นเองที่มืดยิ่งกว่าโลกันตนรก พวกเราไม่รู้อะไรตามจริงบ้าง? คือ ๑) ไม่รู้ว่ากายใจอันเป็นที่ตั้งของอุปาทานทั้งปวงนี้ เป็นทุกข์ (นึกว่าเป็นสุข เป็นของดีที่น่ามีน่าเป็น) ๒) ไม่รู้ว่าความอาลัยยึดติดในกายใจนี้ เป็นเหตุแห่งทุกข์ (นึกว่าจำเป็นต้องหลงอยู่เช่นนี้อย่างไม่มีทางเลือก) ๓) ไม่รู้ว่าความพ้นขาดจากการหลงยึดผิดๆ เป็นความดับทุกข์ (นึกว่าการดับทุกข์เด็ดขาดถาวรชนิดไม่กลับกำเริบใหม่เป็นไปไม่ได้) ๔) ไม่รู้ว่าการตั้งมุมมองไว้ตรงตามจริง แล้วเพียรตั้งสติดูอยู่จนจิตตั้งมั่นรู้แจ้ง เป็นวิธีดับทุกข์ (นึกว่าคลายความกระวนกระวายได้เพียงด้วยการเสพกาม หรืออย่างดีที่สุดคือการเข้าฌานไปเป็นพรหมเพื่อมีชีวิตอมตะชั่วนิรันดร์) แค่ความไม่รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นทางดับทุกข์เท่านี้ เหตุใดจึงได้ชื่อว่าเป็นความมืดที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าโลกันตนรก? ขอให้พิจารณาว่าความมืดของโลกันตนรกนั้น ยังมีวันสว่าง ยังมีทางเปิดให้สัตว์ไปอุบัติในภพอื่นหลังจากใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว แต่ความไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญเป็นบาปนั้น ส่งสัตว์ให้ตกต่ำลงไปยิ่งกว่าโลกันตนรก เช่นถ้าพลาดทำอนันตริยกรรมก็มีหวังถึงอเวจีมหานรกได้ โลกันตนรกเป็นแค่ภพแห่งความทุกข์ภพหนึ่ง แต่ความไม่รู้ หรือความมีอวิชชานั่นแหละ นำไปสู่ภพแห่งความทุกข์ต่างๆ ทั้งที่มืดมนกว่าโลกันตนรก และทั้งที่แผดเผาเท่าอเวจีมหานรก และสำคัญกว่าอะไรคือโลกันตนรกนั้นวันหนึ่งจะสิ้นสุดสภาพเองเมื่อแรงส่งของวิบากกรรมหมดลง แต่อวิชชาจะไม่มีวันสิ้นสุดสภาพด้วยตนเองเลย หากปราศจากเหตุคือปัญญารู้ทางดับทุกข์ เรากำลังเป็นหนึ่งในผู้ติดกับดักแห่งความมืดอยู่หรือไม่? กับดักมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ไม่มีกับดักใดน่าพรั่นพรึงยิ่งไปกว่ากับดักที่เหนี่ยวเราไว้ให้ติดอยู่กับความเสี่ยงต่อนรกอย่างไร้วันจบวันสิ้น ระหว่างการเดินทางไกลอันไม่เป็นที่รู้ เรามีโอกาสพลาดได้ทุกขณะ ขอเพียงคบคนพาลเป็นมิตร หรือเพียงมีคนคิดชั่วอยู่ในเรือน กับดักอันนำไปสู่ภพที่มืดอย่างยืดเยื้อไร้วันจบสิ้นก็คือความไม่รู้ตามจริง พอไม่รู้ก็เข้าข้างตัวเองว่านี่ของเรา นั่นของเรา นั่นเนื่องด้วยเรา พอไม่รู้ก็เข้าข้างกิเลสว่าเราควรได้สิ่งนี้ เราไม่ควรได้สิ่งนั้น พอไม่รู้ก็สำคัญมั่นหมายว่ามีเราเป็นอมตะ น่าจะเคยเกิดในภพดีๆ และจะไปเกิดในภพสูงๆ ลองถามตัวเองว่ารู้สึกถึงความมีอัตตาอยู่ไหม? ถ้าต้องตอบตามจริงว่ามี ลองถามตัวเองอีกว่าอัตตานี้จะมีอยู่ตลอดไปไหม? ถ้าต้องตอบตามจริงคือรู้สึกว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป ขอให้บอกตัวเองเถิดว่าเราติดกับแล้ว เป็นผู้หนึ่งที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเสี่ยงผิดเสี่ยงถูกอยู่ในสังสารวัฏนี้แล้ว! สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เรากลับรู้สึกว่ามันเที่ยง ย่อมชื่อว่าเรากำลังอุปาทานไป สิ่งใดเป็นทุกข์ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันเป็นสุข ก็ย่อมชื่อว่าเรากำลังอุปาทานไป สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอันต้องดับไปเป็นธรรมดา ย่อมไม่ใช่ตัวตน ย่อมไม่อยู่ในครอบครองของใคร แต่เรากลับรู้สึกว่าเป็นอัตตา เป็นตัวเราที่ไม่ควรตาย เช่นนี้ก็ย่อมชื่อว่าเรากำลังอุปาทานไป อุปาทานเป็นชื่อของความหลงผิด เป็นชื่อของความมืดบอดทางใจ ที่น่าสลดใจคือไม่มีใครรู้เลยว่าขอเพียงฝึกที่จะรู้ตามจริงเป็นขั้นๆ พวกเราไม่ต้องมีอุปาทานก็ได้ แต่เมื่อไม่ฝึกรู้ตามจริง ก็ต้องหลงวนอยู่ในโลกของอุปาทานกันต่อไปอย่างไร้ที่จบสิ้น อุปาทานทำให้เรานึกว่ากามเป็นของดีที่สุด อาจถึงขั้นหลงคิดว่าเป็นความชอบธรรมที่จะฉุดคร่าลูกเมียผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่ นี่คือบาปโทษอันอาจเกิดขึ้นเมื่อยังมีอุปาทานในกาม อุปาทานทำให้เรานึกว่าสิ่งที่เราปักใจเชื่อนั้นถูกที่สุด อาจถึงขั้นหลงคิดว่าเมื่อเราไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มี ก็ไม่เป็นผู้ที่ต้องตกตายแล้วไหลลงอบายแน่ๆ แม้จะทำชั่วเพียงใดก็ตาม นี่คือบาปโทษที่เห็นได้ชัดขณะยังมีอุปาทานในทิฏฐิ อุปาทานทำให้เรานึกว่าธรรมเนียมการปฏิบัติหรือเคล็ดลางที่เราถือมั่นนั้นมีผลสูงที่สุด อาจถึงขั้นหลงคิดว่าฆ่าแพะบูชาเทพเจ้าคือการปลดปล่อยพวกมันไปสู่สุคติ นี่คือบาปโทษที่เห็นได้ชัดขณะยังมีอุปาทานในวัตรปฏิบัติที่สืบต่อกันมาอย่างงมงายไร้เหตุผล และสุดท้าย อุปาทานทำให้เราหลงยึดว่าต้องมีตัวตนของเราอยู่แน่ๆ ไม่สภาพนี้ก็อีกสภาพหนึ่ง ไม่อยู่ในโลกนี้ก็ต้องอยู่ในโลกหน้า การหลงยึด การหลงอาลัย หรือหลงทะยานอยากเป็นนั่นเป็นนี่นั่นเองคือการสืบเชื้อแห่งการเกิดไม่รู้จบ นี่คือโทษที่เห็นได้ชัด และเป็นโทษอันร้ายแรงที่สุดเมื่อยังมีอุปาทานในตัวตน หรืออุปาทานในวาทะแบบใดแบบหนึ่งว่าตัวตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เวลาที่อุปาทานหนาทึบ เราจะไม่รู้สึกเลยว่ามีสิ่งอื่นยิ่งไปกว่าสิ่งที่กำลังยึด เหมือนเอาเกราะมาครอบ หรือเหมือนเอากำแพงมาล้อม คล้ายคนหลงติดคุกอยู่ด้วยความเต็มใจยิ่ง ลองเถอะ ถ้าถามตัวเองเดี๋ยวนี้ว่ากำลังมีอุปาทานอันใดบ้าง แทบทุกคนจะตอบว่าไม่มีเลย เพราะเห็นทุกอย่างตามปกติอยู่ ใช้ชีวิตในสังคมได้เป็นปกติอยู่ ยิ่งถ้าพยายามบอกว่า สังคมโลกทั้งหมดนั่นแหละ กำลังลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในอุปาทานทุกชนิดกัน คนบอกอาจเจอข้อกล่าวหาว่าเป็นจอมอุปาทานไปเสียเองก็ได้ เรามีความละอายในการกระทำอันเป็นบาปบ้างหรือไม่? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าใครสามารถกล่าวมุสาได้โดยปราศจากความละอาย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องจริง ก็ไม่มีบาปกรรมใดแม้แต่หนึ่งเดียวที่เขาจะทำไม่ลง ความละอายจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด เป็นองค์ประกอบสำคัญสูงสุดในการถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ตราบใดยังมีความละอาย ไม่อยากทำบาป ไม่นึกสนุกติดใจในกรรมชั่ว ก็เรียกว่าเขายังพอมีพื้นของความเป็นมนุษย์อยู่ แต่หากทำบาปได้แบบไม่ต้องกะพริบตา เช่นพูดโกหกมดเท็จปั้นน้ำเป็นตัวได้คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ นั่นแหละคือเขาขาดองค์ประกอบพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ไปแล้ว คนส่วนใหญ่มองว่าการโกหกเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องสามัญที่ทุกคนต้องทำ อาจจะโกหกนิดๆ หรืออาจจะโกหกมากๆ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บีบคั้น ไม่ตระหนักกันเลยว่าถ้าทำเป็นประจำจนชิน ในที่สุดก็จะหมดความละอาย และเมื่อใดหมดความละอายในการโป้ปดมดเท็จ เมื่อนั้นจิตวิญญาณจะด้านชาต่อบาป เหมือนมีอะไรมาบังตาไม่ให้เห็นตามจริงไปเสียหมด ที่ตามมาก็คือการทำบาปได้ไม่เลือก เพราะตัวมุสามันบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ขอให้เอาดีเข้าตัวได้เป็นพอ หากถามตัวเองแล้วได้คำตอบว่าเราสามารถโกหกโดยไม่ละอาย ก็นับว่าคำถามคำตอบนี้น่ากลัวยิ่ง เพราะเราไม่อาจคาดคะเนได้เลยว่าตัวเองเผลอก่อบาปก่อกรรมหนักๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์มานานแค่ไหน เมื่อไม่มีความละอายบาปอันเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ก็แทบทำนายได้ว่าต้องหลุดร่วงจากสุคติภูมิแน่อยู่แล้ว แต่นี่ไปก่อบาปก่อกรรมโดยไม่รู้ว่าเป็นบาปกรรมเข้าให้อีก มิแปลว่ามีสิทธิ์ถูกเหวี่ยงลงต่ำไปถึงพื้นนรกกันหรอกหรือ? สรุปคือการขาดความละอายต่อบาปคือการไม่อาจทำนายว่าจะต้องระหกระเหเร่ร่อนไปสถิตอยู่ในภพไหนภูมิใดอันเป็นเบื้องล่าง หากปราศจากความสะทกสะท้าน หากยังทะนงหลงนึกว่าไม่เป็นไร นั่นก็อาจเป็นการทำงานชิ้นใหญ่อีกครั้งของอุปาทานก็ได้! ใจจริงของเราอยู่ตรงไหน? บางคนหาตัวเองยังไม่เจอ ก็เท่ากับยังไม่เจอใจจริง เพราะใจที่ยังไม่รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้อาจแกว่งไปทางไหนก็ได้ เปลี่ยนทิศทางเป็นตรงข้ามกับเมื่อวานก็ยังได้ และบางทีเราก็ต้องทรมานกับความคิดที่ขัดแย้งกับใจตัวเอง เหมือนมีสองคนคอยทุ่มเถียง คอยเตะสกัด คอยชักเย่อดึงกันไปดันกันมาจนเกิดความวุ่นวายสับสนว่าเราอยากเอาอย่างไรแน่ ที่แท้แล้ว ใจจริงอาจไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิด แต่ใจจริงก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆตามความคิดที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แม้ยังไม่ทราบว่าใจจริงของตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ทุกคนต้อง มีใจ ให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเฉพาะหน้าเสมอ และนั่นก็เป็นคำตอบว่าทำไมพวกเราถึงเลือกเรียนสาขาอาชีพแตกต่างกัน เป็นคำตอบว่าทำไมพวกเราถึงเลือกผู้แทนราษฎรต่างคนกัน เป็นคำตอบว่าทำไมพวกเราถึงเลือกนับถือศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งผิดแผกไปจากกัน คำถามคือ เรากำลังมีใจให้กับอะไรล่ะ? ถ้าได้แนวคำถาม ก็จะได้แนวคำตอบ และเมื่อได้แนวคำตอบ ก็จะเริ่มมองเห็นทิศทางเส้นทางกรรมของตนเองได้เช่นกัน ๑) ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อใคร? คำว่า อยู่เพื่อใคร นั้นมีความหมายว่าเราคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่า มีความหมาย หรือกระทั่งมีความสำคัญขนาดขาดไม่ได้สำหรับใครบ้าง หากคิดออกในทันทีทันใดถือว่าเข้าข่าย แต่ถ้าต้องค่อยๆนึกทบทวนเป็นเวลานาน อย่างนั้นให้เอาชื่อนั้นออกไปจากบัญชีก่อน และขอให้ระลึกว่าเราอาศัยอยู่กับใครกี่ร้อยกี่พันคนไม่สำคัญ สำคัญคือใจเรารู้สึกว่าตัวเองอยู่เพื่อใครบ้างที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จะอาศัยพำนักอยู่กับเราหรือไม่ก็ตาม หากคำตอบตามซื่อคือ อยู่เพื่อตัวฉันคนเดียว ก็อย่าเพิ่งต่อว่าตัวเอง เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็ซื่อพอจะยอมรับอยู่เงียบๆในใจ ไม่บิดเบือนหรือหลอกตัวเอง เพื่อได้รับทราบว่ามีโอกาสสูงที่เราจะทำบาปทำกรรมโดยไม่คิดคำนึงถึงความเดือดร้อนของใครๆทั้งสิ้น เราย่อมไม่มีข้อจำกัดว่าควรทำประมาณนี้ ไม่ควรทำประมาณนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์และโอกาสเฉพาะหน้าอย่างเดียว หากคำตอบคือ อยู่เพื่อตัวฉันและใครอีกคน พูดง่ายๆว่าชีวิตนี้มีความหมายสำหรับสองคน เรามีความไยดีคิดเกื้อกูลใครอีกคนหนึ่ง อย่างน้อยเราก็คิดถึงคนอื่นเป็น และอาจเริ่มทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยความชั่งอกชั่งใจมากขึ้นกว่าคำตอบข้อแรกนิดหนึ่ง เพราะถ้าทำบาปโดยไม่ยั้งคิด อย่างน้อยใครอีกคนอาจเสียใจ หรือพลอยได้รับผลกระทบในทางร้ายไปด้วย ใจที่พะวงห่วงใยใครอีกคนจะช่วยเตือนสติบ้างแล้วเล็กๆน้อยๆ คำตอบนี้อาจจะยังชี้ว่าเราเป็นคนครึ่งดีครึ่งร้ายได้ ตามแต่สถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับเราและใครอีกคน หากคำตอบคือ อยู่เพื่อตัวฉันและคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คุ้นเคยกัน คือถ้าคิดว่าต้องมีคนอื่นต้องพึ่งพาเรา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับเราตั้งแต่สองคนขึ้นไป และเรามีความไยดีกับกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างแท้จริง ทุกการกระทำของเราจะเต็มไปด้วยการระมัดระวังมากขึ้น การตัดสินใจตามอัธยาศัย หรือการทำอะไรตามอำเภอใจจะน้อยลง แม้เบื่องานก็จะไม่ลาออก แม้อยากประชดใครก็จะไม่ประชด แม้อยากไปเที่ยวก็จะไม่ไปเที่ยว คำตอบนี้อาจจะยังชี้ว่าเราเป็นคนครึ่งดีครึ่งร้ายได้ ตามแต่สถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับเราและคนอีกกลุ่มหนึ่ง หากคำตอบคือ อยู่เพื่อตัวฉันและคนกลุ่มใหญ่ที่อาจจะไม่เคยรู้จักมักคุ้นเลย อย่างเช่นเป็นนักการเมืองที่มีอุดมคติแรงกล้า หรือเป็นพวกที่พยายามปลดแอกจากทรราชผู้นิยมการกดขี่ หรือเป็นพวกที่พยายามเพียรเผยแพร่แนวความเชื่อซึ่งเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง อย่างนี้เราจะเริ่มรู้จักคำว่า อยู่เพื่อคนอื่น บ้างแล้ว คำตอบนี้สามารถชี้ว่าเราสามารถเป็นคนดีได้มากกว่าคนร้ายโดยไม่จำกัดสถานการณ์ หากคำตอบคือ อยู่เพื่อคนอื่นถ่ายเดียวโดยไม่เลือกหน้า อันนี้ออกจะฟังดูเป็นบุคคลในอุดมคติเกินมนุษย์ธรรมดาไปหน่อย แต่ก็มีอยู่จริงๆ โลกนี้มีบุคคลไว้เป็นตัวอย่างทุกประเภท พวกที่มีแต่ใจคิดสละออกอย่างแท้จริงได้แก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกผู้หมดความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนแล้ว พวกท่านอยู่เหนือการตัดสินใจอันเป็นกุศลและอกุศลแล้ว ทำอะไรไปไม่ต้องรับผลจากกรรมนั้นๆแล้ว มีความสุขสงบเป็นนิรันดร์แล้ว นอกจากนี้ยังมีมนุษย์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งทำดีเพื่อคนอื่นจนติดใจในรสความสุขยิ่งใหญ่ จึงอุทิศชีวิตทั้งหมดให้กับสังคม หากบั้นปลายของการอุทิศตัวไม่หลงเหลิงไปกับอำนาจวาสนาอันเป็นวิบากเห็นทันตาในชาติปัจจุบัน เขาก็จะมีชีวิตบนเส้นทางแห่งความดีอันยากนักที่ปุถุชนด้วยกันจะดำเนินได้ กุศลกรรมของเขาจะสุกสว่างบริสุทธิ์ มองด้วยตาเปล่าของปุถุชนแล้วอาจนึกว่าเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว ๒) ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ความเชื่อแบบใด? คนเราใช้ชีวิตตามสถานการณ์เป็นอันดับแรก สิ่งใดเข้ามากระทบก็ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบสิ่งกระทบนั้น แต่เมื่อใช้ชีวิตไปถึงจุดหนึ่ง เราจะพบว่าชีวิตของเรากำลังยืนอยู่บนความเชื่ออะไรสักอย่าง หากคำตอบคือ เราเชื่อว่าอยู่ไปเรื่อยๆเหมือนคนอื่นโดยไม่ต้องคิดอะไรมากก็ได้ อันนี้เป็นมุมมองที่ไม่เสี่ยงดี ถ้ามีมุมมองนี้และไม่เปลี่ยนแปลงไปจนตาย เราก็ไม่ต้องขวนขวายอะไรเพิ่มเติม นอกจากใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุข ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า ไม่ต้องแสวงหาสัจจะที่ไม่รู้อยู่ตรงไหน และที่สำคัญคือไม่ต้องเสียใจในภายหลังว่าเชื่ออะไรผิดๆ แต่ข้อเสียของการมีมุมมองแบบนี้คือถ้าโลกกำลังถูกห่อหุ้มด้วยความเห็นผิด และด้วยบาปอกุศลที่แพร่ระบาดยิ่งกว่าไวรัส ก็แปลว่าการอยู่ไปเรื่อยๆเหมือนคนอื่นอาจหมายถึงการยอมร่วมเห็นผิด และทำบาปอกุศล สร้างทางเลวร้ายให้ตัวเองอย่างน่าใจหาย หากคำตอบคือ เราเชื่อว่าเป็นคนดีไม่เบียดเบียนใครก็พอ อันนี้ก็เป็นมุมมองที่ปลอดภัยกับคนอื่นดี และดูเหมือนจะเพียงพอแล้วกับชีวิตหนึ่ง จะเอาอะไรมากไปกว่าการไม่เป็นที่เดือดร้อนของสังคม แต่การมีมุมมองว่าแค่ไม่เบียดเบียนใครก็พอนั้น อาจจะพอจริงเฉพาะที่ชาติปัจจุบัน ถ้าไม่มีชาติหน้าคงไม่ต้องคำนึงอะไรอีก แต่ถ้าเผื่อชาติหน้ามันมีขึ้นมา เราก็อาจได้ชื่อว่าไม่ยอมเตรียมเสบียงไว้เผื่อขาดเผื่อเหลือ ไม่เตรียมการป้องกันไว้ให้รัดกุมแน่นหนา หากคำตอบคือ เราเชื่อว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน อันนี้เป็นมุมมองที่ทำให้โลกหมุนไปไม่ขัดข้อง เพราะการมีคนทุ่มชีวิตให้กับงานนั้น ทำให้เกิดวิวัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ การตลาด ตลอดจนกระทั่งการศาสนา แต่การมีมุมมองว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงานนั้น บางทีทำให้เรามองข้ามไปว่างานของเราส่งผลสะเทือนด้านดีหรือด้านร้ายต่อผู้คนในวงกว้าง ความจริงก็คือหลายครั้งโลกนี้พลิกโฉมไปโดยน้ำมือของคนเพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวงการบันเทิงที่ออกคอนเสิร์ต สร้างภาพยนตร์ อัดฉีดความคิดมักง่ายประการต่างๆเข้าสู่สมองของเด็กและวัยรุ่นทั่วโลก หากคำตอบคือ เราเชื่อว่าจุดหมายสูงสุดของชีวิตมีอยู่ และเราก็ควรวิ่งเข้าไปหามัน อันนี้เป็นมุมมองที่เริ่มทำให้จิตวิญญาณมีความผิดแผกแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดกันอย่างนี้ แต่การมีมุมมองว่าเราควรแสวงหาจุดหมายสูงสุดของชีวิตด้วยตนเองนั้น ถ้าบารมีเก่าไม่แก่กล้าพอ ก็คงต้องเสียเวลาในชีวิตไปชาติหนึ่งเพื่อคว้าน้ำเหลว หรืออย่างเก่งก็ไปติดอยู่ในภูมิใดภูมิหนึ่งระหว่างเทวดากับพรหม ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เรียกว่า ความจริงสุดท้าย หรือ ยอดสุดแห่งความจริง ในธรรมชาตินั้น ไม่ใช่วิสัยที่ใครจะตั้งโจทย์ให้เกิดมุมมองที่ถูกต้องจนไปถึงเป้าหมายปลายทางได้ง่ายๆ คนส่วนใหญ่จะวนเวียนตั้งคำถามที่ทำให้เกิดความคิดห่างไกลความจริงไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ประพฤติปฏิบัติตนฉีกแนวจากผู้บริโภคกาม แล้วนั่งนิ่งสงบทื่อ หลีกหนีความวุ่นวายโดยไม่รู้อะไรมากไปกว่าความสงบนิ่งเป็นบรมสุข หากคำตอบคือ เราเชื่อว่ากายใจอันเป็นที่ตั้งของอุปาทานนี้เป็นทุกข์ และมีหนทางที่ดับอุปาทานในกายใจได้จริง อันนี้เป็นมุมมองตามพระพุทธองค์ ที่ทรงตั้งโจทย์ไว้ชัดเจนแล้ว กระชับแล้ว รู้ตามได้ง่ายแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดคำถามสร้างมุมมอง และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาดุ่มเดินหาคำตอบจากที่ไหนอีก การมีมุมมองอย่างชัดเจนว่าทุกข์เกิดจากอะไร เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร จะไม่ทำให้เราเสียเวลาในชีวิตไปเปล่าๆ เพราะเพียงด้วยเวลาอันไม่นานเกินรอ เราก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ในพระพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องจริงหรือของหลอก มีการยืนยันไว้ชัดเจนว่าถ้าใครศึกษาและปฏิบัติตามวิชา รู้ตามจริง ของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มความสามารถ เขาจะถึงที่สุดทุกข์ภายใน ๗ ปีเป็นอย่างช้า แต่ถ้าบารมีแก่กล้ากว่านั้นก็อาจทำลายทุกข์ลงได้สิ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง ๗ วัน! หากสำรวจ หากช่างสังเกต หากถามใจตัวเองหลายๆรอบ ว่าทุกวันนี้เราอยู่เพื่อใคร หรือเพื่อรับใช้ความเชื่อแบบไหน ในที่สุดเราจะรู้จักใจจริงของตัวเอง หาใจจริงของตัวเองเจอ โดยไม่จำเป็นต้องค้นตัวเองให้พบจากการประสบความสำเร็จทางวิชาชีพใดๆเสียก่อน และเมื่อใดที่หาใจจริงของตัวเองเจอ ก็จะรู้ว่าเราทำอะไรทั้งหลายไปเพื่ออะไร หากรู้จักใจจริงของตนเองอย่างถ่องแท้ เราจะไม่กังวลเลยว่ามีความคิดที่บาดจิตบาดใจแปลกปลอมเข้ามาในหัวมากมายขนาดไหน เพราะใจจริงของเราจะปัดพวกมันทิ้งไปอย่างไม่ไยดี และไม่คำนึงแม้แต่นิดเดียวว่าความคิดจรเหล่านั้นจะมามีอิทธิพลใดๆกับตัวเราเลย บทสำรวจตนเอง ๑) เรารู้จักตัวเองดีแค่ไหน? ๒) มีสิ่งใดที่เราอยากรู้หรืออยากได้คำตอบมากที่สุด? ๓) เราจะแน่ใจได้อย่างไร ใช้เกณฑ์แบบไหนมาวัดว่าสิ่งที่เราอยากรู้หรืออยากได้คำตอบนั้นมีค่าคุ้มเพียงพอ? สรุป ปัจจุบันมีอยู่หลายเรื่องที่ควรเห็นกันง่ายๆว่าไม่น่าทำ แต่ก็ทำกันเป็นปกติ ทั้งลับหลังการเฝ้ามองของสังคม และทั้งที่เปิดเผยต่อหน้าธารกำนัล เหมือนโลกเรากำลังเปลี่ยนไปเป็นแหล่งผลิตมนุษย์พันธุ์ไร้ยางอายอย่างเป็นทางการ แต่ละคนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละน้อย หรือกระทั่งเกิดมาไม่เคยมีจุดยืนของตัวเองอยู่เลย นั่นเป็นเพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราขาดเป้าหมายที่ชัดเจนพอ ความไม่รู้ตามจริง ความไม่มีชัยภูมิให้จิตวิญญาณตั้งมั่นอย่างชัดเจน ความหลงคลำทางกันเอาเองจนท้อแท้โรยแรง ล้วนเป็นเหตุให้คนเราถูกสิ่งแวดล้อมอันเลวร้ายกลืนกินอย่างง่ายดาย แต่เพราะเริ่มศึกษาตนเอง เสาะหาใจจริงของตัวเองให้พบ และรู้ให้ทันก่อนตายว่าเรากำลังมีอุปาทานอันใดห่อหุ้มอยู่บ้าง ก็จะเริ่มเห็นความจำเป็นว่าเราต้องเรียนวิชา รู้ตามจริง ของพระพุทธเจ้าเสียก่อนจะสาย ที่มา: เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน (//dungtrin.com/whatapity/14.htm) ----------------------------------------------------------- หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกนานแสนนาน (ที่มา: เว็บดูจิต..ด้วยความรู้สึกตัว //www.wimutti.net) ----------------------------------------------------------- โดย: ผู้ร่วมเดินทาง IP: 124.121.79.165 วันที่: 4 เมษายน 2549 เวลา:16:07:23 น.
มาช่วยเหงาด้วยอีกคนคะ..........ทั้งเหงาทั้งท้อทั้งหมดแรงเหมือนวิญญานหลุดออกจากร่างแล้วยังหาทางกลับไม่เจอ ตอนนี้ก็เลยเหงานิ่งอยู่
โดย: moomim IP: 221.128.109.20 วันที่: 10 เมษายน 2549 เวลา:9:32:57 น.
ความเหงามันเป็นของคู่กับคนทุกคนแหละครับ อย่ากังวลไปเลย เพียงแต่ว่าจะมีใครรับมือกับมันได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง ผมโชคดีที่เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ทำไรเองคนเดียวเสมอๆเลยไม่รู้สึกเหงาเท่าไรครับ คุณเองก็ลองให้เวลากับตัวเองบ่อยๆนะครับ ทำในสิ่งที่เรารักเราชอบ ความเหงาก็จะค่อยๆ บ้าย บาย เราไปเองครับผม
โดย: wort IP: 124.121.185.44 วันที่: 22 เมษายน 2549 เวลา:15:13:16 น.
ความเหงาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนะ บางอย่างของความรู้สึก เป็นส่วนลึกของความเหงา ใครไม่เหงา เขาไม่เข้าใจ แต่คนที่เข้าใจคือคนที่เหงาเหมือนกัน/อย่าคิดอะไรมากนะ แค่บอกกล่าวเล่าให้ฟัง พอเป็นกษัยเท่านั้นเอง
โดย: จันทร์พิมพ์ IP: 58.9.158.137 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:14:58:21 น.
ถามจริงรูปตัวเองป่ะที่ลง ทำไมหน้าเนีนนจัง ขอถามอีกอย่าง เป็นเกย์ป่ะ
โดย: คนอยากรู้ IP: 58.9.158.137 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:15:02:00 น.
มานั่งเป็นเพื่อนอีกคน ไม่เหงาแล้วนะ
![]() โดย: หนูคิสเซอร์วิส (KissAhoLicGal
![]() ขอเป็นเพื่อนอีกคนนะ
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดย: cxh' IP: 124.157.158.184 วันที่: 10 สิงหาคม 2549 เวลา:10:04:14 น.
แวะมาจากกระทู้ ก้นครัว ค่ะ
แหะ นึกว่าจะได้มาอ่าน blog ดองเหมือนเราเสียหนิ ![]() โดย: แ ม ง ป อ
![]() ผมชอบคุณเทนอ่ะคับ
![]() โดย: miumiu IP: 124.120.227.165 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2549 เวลา:14:33:13 น.
แต่งหน้าใสๆไร้รองพื้นด้วยเลเซอร์หน้าใสขจัดสิวรักษาที่บ้านสิว รักษา
โดย: pest (loveyoupantip
![]() |
หน้าเนียนมากๆๆๆๆ