การต่างประเทศและเศรษฐกิจการค้า การต่างประเทศ การสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นและการแบ่งแยกทางการเมืองในยุโรป ทำให้ช่วงทศวรรษ 1990 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของสวีเดน โดยสวีเดนได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมในกระบวนการรวมตัวของยุโรปตะวันตก ซึ่งสวีเดนได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (European Union - EU) เมื่อปี ค.ศ.1991 และได้เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) อย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1995 โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนในการลงประชามติเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1994 ถึงร้อยละ 52.3 และในฐานะของสมาชิกสหภาพยุโรป สวีเดนจะยังธำรงไว้และจะไม่เป็นพันธมิตรทางการทหาร โดยสวีเดนจะไม่พิจารณาเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางการป้องกันใด ๆ ของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ สวีเดนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association - EFTA) เมื่อปีค.ศ. 1960 อย่างไรก็ดี ภายหลังที่สวีเดนเข้าเป็นสมาชิก EU ในปี ค.ศ.1995 ก็มิได้เป็นสมาชิกของ EFTA อีกต่อไป และสวีเดนยังเป็นประเทศสมาชิกคณะมนตรีกลุ่มนอร์ดิก (Nordic Council) และเข้าร่วมในโครงการพันธมิตรเพื่อสันติภาพ (Partnership for Peace - PFP) ขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) บทบาทด้านการต่างประเทศของสวีเดนมีความโดดเด่นมากขึ้น เมื่อสวีเดนได้เข้าเป็นประธานสหภาพยุโรป ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ค.ศ.2001 (EU Presidency) โดยสวีเดนได้มุ่งเน้นความสำคัญในประเด็นด้าน การขยายสมาชิกภาพ (enlargement)การจ้างงาน (employment) และสิ่งแวดล้อม (environment) หรือเรียกโดยย่อว่า นโยบาย 3Es เศรษฐกิจการค้า สวีเดนเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรปโดยมีพื้นที่ 486,601 ตารางกิโลเมตร แต่มีประชากรเพียง 8.9 ล้านคน จึงทำให้สวีเดนมีตลาดภายในขนาดเล็กและ มีระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาการส่งออก โดยในปี ค.ศ. 2002 รายได้จากการส่งออกมีมูลค่าร้อยละ 40 ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมากกว่าร้อยละ 80 ของสินค้าออกเป็นสินค้าอุตสาหกรรม โดยมีทั้งอุตสาหกรรมดั้งเดิมได้แก่ อุตสาหกรรมป่าไม้และเหล็ก และอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง อาทิ อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ อากาศยาน โทรคมนาคม การผลิตอาวุธ และการผลิตเวชภัณฑ์ สาเหตุที่สำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้สวีเดนมีความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เนื่องจากบริษัทของสวีเดนสนับสนุนการลงทุนในด้านการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอัตราที่สูงมาก จึงทำให้บริษัทสวีเดนอยู่ในแนวหน้าของโลก และบริษัทสวีเดนยังมีบทบาทสูงมากในการลงทุนต่างประเทศ ทำให้อัตราการลงทุนต่างประเทศของสวีเดนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรหรือต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ สูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของเศรษฐกิจสวีเดน คือ ภาครัฐบาลมีบทบาทมากในเศรษฐกิจภาคบริการ การขยายเศรษฐกิจภาครัฐบาลเป็นการสร้างงานใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งงานสำหรับสตรี ตลาดสินค้าออกสำคัญที่สุดของสวีเดนอยู่ในยุโรปตะวันตก มากกว่าครึ่งหนึ่งของสินค้าออกส่งไปยังสหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศนอร์ดิก ซึ่งประกอบด้วย เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ กลุ่มประเทศดังกล่าวนำเข้าสินค้าจากสวีเดนหนึ่งในห้าของปริมาณการส่งออกทั้งหมด การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจเป็นผลมาจากประสิทธิภาพการผลิตที่ตกต่ำและอัตราเงินเฟ้อที่สูงในช่วงทศวรรษ 1980 รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อปฏิรูประบบเศรษฐกิจ อาทิ การปรับปรุงโครงสร้างภาษีใหม่เพื่อกระตุ้นให้มีการออมและการจ้างงานเพิ่มขึ้น นโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การที่สวีเดนสมัครเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ในปี ค.ศ. 1995 นอกจากนั้นรัฐบาลได้ออกกฎหมายป้องกันการผูกขาด (Competition Act) และได้ยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่สนับสนุนการค้าเสรี รวมทั้งปรับปรุงระบบการประกันสังคมและระบบบำนาญใหม่ นโยบายการคลัง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้ภาครัฐบาล ในปี ค.ศ. 1989 ภาครัฐบาลมีรายรับเกินรายจ่ายร้อยละ 5.4 ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ ซึ่งจัดว่าต่ำสุดในกลุ่มประเทศ OECD ในปี ค.ศ. 1993 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณถึงร้อยละ 12.3 ของผลผลิมวลรวมในประเทศ ซึ่งจัดว่าสูงสุดประเทศหนึ่งในกลุ่มประเทศ OECD นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน แต่เดิมค่าเงินโครนาสวีเดนถูกกำหนดไว้ตายตัวเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญ แต่ในปี ค.ศ. 1992 ธนาคารชาติสวีเดนจำต้องยกเลิกระบบดังกล่าวและปล่อยให้ค่าเงินโครนาสวีเดนลอยตัว ผลจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว ทำให้นโยบายทางการเงินของรัฐบาลต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ธนาคารชาติในปัจจุบันมีภารกิจหลัก คือ การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งกำหนดไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 2 ต่อปี ปัญหาแนวทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญในปัจจุบัน คือ สวีเดนควรเข้าร่วมสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน (EMU) ของสหภาพยุโรปในขั้นตอนของการใช้เงินสกุลเดียว (single currency) ในช่วงเวลาใด ซึ่งสวีเดนได้ตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วม EMU ในกลุ่มประเทศแรก ในปี ค.ศ. 1999 แม้ว่า ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะผ่านเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ(convergence criteria) ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ก็ตาม ทั้งนี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ.2003 รัฐบาลสวีเดนได้จัดการลงประชามติตัดสินใจว่า สวีเดนจะเข้าร่วมการใช้เงินสกุลเดียว (เงินยูโร euro) หรือไม่ ผลปรากฏว่า มีประชาชนไปลงประชามติร้อยละ 81.2 โดยร้อยละ 56.1 ลงคะแนนเสียง : ไม่เห็นด้วยให้สวีเดนเข้าร่วมการใช้เงิน euro ขณะที่ร้อยละ 41.8 ลงคะแนนเสียง : เห็นด้วย และร้อยละ 1.9 ไม่ตัดสินใจ ดรรชนีทางเศรษฐกิจ 1 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) : 230.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ GDP ต่อหัว : 26,000 ดอลลาร์สหรัฐ 2 งบประมาณ : เกินดุล 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 3 รายได้/รายจ่าย : 119 และ 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 4 International reserve : 178 ล้านโครนสวีเดน 5 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ : ร้อยละ 1.9 6 อัตราเงินเฟ้อ : ร้อยละ 2.2 7 อัตราการว่างงาน : ร้อยละ 4 (จำนวนแรงงาน 4.4 ล้านคน) 8 ดุลการค้า : ได้ดุล 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 9 นำเข้า/ส่งออก : 96 และ 89.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 10 หนี้ต่างประเทศ : 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 11 เงินให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ (ODA) : 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 12 ประเทศคู่ค้าสำคัญ : เยอรมนี สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก ฝรั่งเศส สหรัฐฯ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ 13 สินค้าเข้าสำคัญ : น้ำมัน รถยนต์ เครื่องจักร พลังงาน และเสื้อผ้า 14 สินค้าออกสำคัญ : ไม้ เยื่อกระดาษ กระดาษรถยนต์ รถบรรทุก เครื่องจักรกล อุปกรณ์ไฟฟ้าและโทรคมนาคม ผลิตภัณฑ์เคมี เหล็กและเหล็กกล้า |