คุนหมิง ต้าหลี่ ( ธค. 2546 )วันที่ 4
วันที่ 4 ...( 08 ธันวาคม 46 )

ออกจากฉู่ฉวง มุ่งหน้า คุนหมิง ...

เช้านี้เรา Morning call กันสายหน่อย แค่ 6 โมงเท่านั้นเอง ให้ตายเถอะ ผมนอนตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อคืน และรู้ทันทีว่าตัวเอง จับไข้เข้าให้แล้ว สาเหตุคงมาจากที่ผมนอนถอดเสื้อ ซึ่งเป็นความเคยชินเวลาอยู่เมืองไทย แม้จะมีฮีตเตอร์ภายในห้อง แต่ท่ามกลางอุณหภูมิประมาณ 4 องศา ของกลางดึก ก็เพียงพอจะทำให้ พวกอวดดีอย่างผมไข้ขึ้นได้ และดูท่ามันไม่ใช่น้อยๆซะด้วย อาการไอ เจ็บคอ ประดังเข้ามาอีก มื้อเช้านั้นผมกินอะไรไม่ลงเลย แย่ชะมัด วันนี้พวกเราออกจากฉู่ฉวง เช้านั้นฝนตกพรำๆ ผมเสียดายจริงๆ ที่ดันมาจับไข้ซะก่อน ไม่งั้นผมคง ได้รูปฉู่ฉวงซักเล็กน้อย
วันนี้เราไม่มีอะไรรีบร้อนนัก ในยามเช้าทุกคนดูสบายๆ ส่วนตัวผมนั้นซึมกระทือเป็นผีตายซาก เพราะดันไม่สบาย รถเคลื่อนตัวออกจากฉู่ฉวง ในขณะที่ยังเช้าตรู่ เรายังต้องจับเจ่าอยู่บนรถกันอีกนานเลย โปรแกรมของวันนี้ ไม่มีอะไร นอกจากไปโรงงานไข่มุก และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับไข่มุก แล้วก็ไปถึงคุนหมิงให้ทัน แล้วไปเที่ยว วิหารทองสำริด หรือ Golden Temple หลังจากนั้นเราก็จะ ไปเยี่ยมชมโรงงาน เป่า ซู่ ถัง ผู้ผลิต บัวหิมะอันลือลั่น จบด้วยมื้อเย็นที่ ฉวนตู อันเป็นที่ๆเราจะพักกันในคืนนี้
วันนี้ทั้งวันผมไม่เป็นอันทำอะไรเลย นอกจากนอน แล้วก็นอน การอยู่บนรถทั้งวันในขณะที่จับไข้แบบนี้ มันทรมานซะยิ่งกว่าอะไร การเดินทางในวันนี้ผมจึงแทบไม่ได้ให้ความสนใจกับ สิ่งต่างๆที่เรานั่งรถผ่านไปเลย ผมรู้สึกว่าไข้ผมคงขึ้น ไม่น้อยเลย เพราะสังเกตจากที่หนาวจนมือสั่น ทั้งที่อยู่ในรถปรกติไม่หนาวเลยสักนิด แต่ในเวลานี้ผมหนาวแทบตาย แต่ลมหายใจกลับร้อนผ่าว รู้สึกร้อนวูบวาบ ประเดี๋ยว สะบัดร้อน สะบัดหนาว ให้มั่วไปหมด ตาลาย แสบคอ จำได้แค่ว่าอากาศเบื้องนอก ขะมุกขะมัวอย่างมาก ฝนตกตลอดเส้นทางของเราทีเดียว การมาคุนหมิงของคณะเราเจอฝนโดยตลอด ( ยกเว้นที่ต้าหลี่ที่เดียว ที่อากาศดีตลอดวัน ) ถือว่าซวยพอสมควร แถมทางด่วนยังซ่อมอีกต่างหาก ดังนั้นมันจึงลำบากกว่าที่ควรจะเป็น แต่ถึงจะป่วยผมก็ยังพอทนได้

เยี่ยมชมโรงงานไข่มุก ...

และแล้วเราก็มาถึงโรงงานไข่มุก จนได้ ที่นี่มีคนไทย คอยบรรยายให้เราฟังเกี่ยวกับการผลิตมุก ถึงแม้จะเป็นไข้ แต่ก็พอจับใจความได้เล็กๆน้อยๆ ไข่มุกที่นี่เป็นไข่มุกเลี้ยง กรรมวิธีของการเลี้ยงมุกก็คือ เขาจะใช้เครื่องเปิดฝาหอย ซึ่งจะทำให้หอยไม่ตายเมื่อเปิดฝา เขาจะตัดเนื้อเยื่อของหอยออกมา ประมาณ 40 ชิ้น แล้วนำเนื้อเยื่อไปใส่ในหอยอีกตัว ( ที่ถูกตัดเนื้อเยื่อไปใส่หอยตัวอื่นเช่นกัน ) ที่ทำเช่นนี้ เพื่อให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งจะทำให้หอยสร้างสารชนิดนึง ขึ้นมาปกคลุม เมื่อระยะเวลาผ่านไปนาน
พอสมควร ก็จะได้มุกมา ซึ่งในจำนวน 40 ชิ้นจะเสียมากกว่าดี ดังนั้นในหอยแต่ละตัวจะได้มุกดีเพียงเม็ดสองเม็ดเท่านั้นเอง จากนั้นก็นำมาผ่านกรรมวิธีอีก เพื่อผลิตเป็นสร้อยคอ เครื่องประดับ รวมไปถึง ครีมไข่มุก ซึ่งผมกับพี่ชายสนใจ และซื้อกลับมาใช้ด้วย อย่างอื่นคงไม่ไปดู ให้มันระคายลูกกะตาหรอกครับ กลัวเห็นราคาแล้วเป็นลม
เราแวะที่นี่กันครู่เดียวก็ออกเดินทางต่อ เนื่องจากกลัวจะกินข้าวเที่ยงกันช้า โดยเวลาที่กะไว้ คือ ประมาณ บ่ายสองโมง ก่อนจะถึงคุนหมิงมีอุปสรรคติดขัดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทางด้านหน้า ทำให้รถติดกันเป็นแถว และนานเสียด้วยซิครับ ผมก็ไม่สนอะไรแล้ว ขอนอนดีกว่า ไม่ไหว กว่ารถจะเคลื่อนที่ได้ก็ปาเข้าไป เกือบชั่วโมงนั่นแหละ
และแล้วเราก็มาถึงคุนหมิง ขอโทษที่วันนี้ผมขาดรายละเอียดไปมาก เพราะเก็บไม่ไหวจริงๆ จะตายอยู่แล้วครับท่าน

ร้านอาหารเชียงใหม่ ในคุนหมิง ...

ร้านที่เรามาแวะกินอาหารกลางวันกัน ชื่อร้านว่า ร้านอาหารเชียงใหม่ แต่อาหารน่ะจีนแต้ๆ แถมไม่มีคนไทยในร้านเลยด้วยซ้ำ มันตั้งชื่อนี้ทำไมกันหว่า อะไรเข้าฝันเนี่ย หรือว่า ไปเที่ยวเมืองไทยแล้วเกิดประทับใจขึ้นมาก็ไม่ทราบ ผมก็ตกใจนึกว่า จะได้มากิน ข้าวซอยที่คุนหมิงนี่ซะแล้วสิ ภายในร้านก็ตกแต่งด้วยสีแดง อันนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ดันติดไฟสีแดงอีก ไม่รู้คิดมากไปรึเปล่า แต่ผมว่ามันทแม่งๆนะ ไอ้ไฟสีแดงเนี่ย
อาหารวันนี้มีจานเด็ด ที่นกพิราบทอดกรอบ ผมไม่ได้กินหรอก ไม่มีอารมณ์กิน ซดแต่ชาร้อนครับ เพราะหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูกเลย ผมเข้าห้องน้ำแล้วออกมานั่งรอเขาทานข้าวกัน วันนี้ไม่มีบ่นครับ ใครจะทำอะไรเชิญตามสบายนะครับ ผมขอนั่งเป็นหุ่นอยู่นี่แหละ นั่งๆไป ก็เลยมองพนักงานหนุ่มๆ ( อ้าว เฮ้ย ยังไงกัน ) เท่าที่สังเกต ผมรู้สึกว่า ผงซักฟอกที่เมืองจีนคุณภาพสู้ของไทยไม่ได้ เพราะเสื้อของพ่อครัวและบริกรที่นี่ โคตรดำเลยครับ เดิมเป็นเสื้อขาว แต่กลายเป็นสีเทาไปซะแล้ว แล้วก็ก่อนที่เราจะออกจากร้านก็มีคนเมาครับ นั่งกินแล้วไม่ยอมลุก ( หรือจะชักดาบ ก็ไม่ทราบได้ ) เพื่อนต้องลากแขนลากขาออกจากร้าน ส่งเสียงโวยวายเล่นเอาบรรดาไทมุง ( ผมเอง ) ดูกันใหญ่ กว่าจะเคลียร์เล่นเอาบรรดา พนักงานเหนื่อยไปตามๆกัน พวกผมก็ลุ้นครับ ลุ้นให้มีมวย

ชมตำหนักทองเหลือง ...

เราออกจากร้านอาหาร และมุ่งตรงไปยังเป้าหมายข้างหน้า คือ ตำหนักทองสำริดของอู๋ซันกุ้ย ( หรือ โง้วซำกุ่ย ) ซึ่งสร้างจากทองเหลืองแท้ๆ
พวกผมมาถึงก็เย็นแล้ว แถมบางส่วนกำลังซ่อมแซมปรับปรุงอยู่อีกต่างหาก
ผมล่ะเซ็ง ทำไมเรามาในช่วงที่อากาศไม่ดี แถมไอ้โน่นก็ซ่อม ไอ้นี่ก็ซ่อม อีกต่างหาก ทำให้เราไม่ได้เข้าไปดูในส่วนของ ที่พำนักของนางเฉินหยวนหยวน อดีตเป็นคนรักของอู๋ซันกุ้ย ภายหลังนางออกบวช และวัดแห่งนี้แหละที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักที่อู๋ซันกุ้ยมีต่อนาง ซึ่งปัจจุบันเป็น ที่แสดงอาวุธโบราณของ กองทัพอู๋ซันกุ้ย ความรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังกำลังภายในเลย ท่านผู้อ่าน มีวิหารชั้นนอก ชั้นใน เวลาเดินต้องจินตนาการว่า คนอื่นๆที่เดินตามเรามาน่ะเป็นลิ่วล้อเราครับ เราคือแม่ทัพอู๋ซันกุ้ย โอววว์ ช่างยิ่งใหญ่ซะเหลือเกิน
นอกจากวิหารทองเหลือง แล้วก็มีสวน ศาลาโบราณ ที่นี่ยังมีสนพันปี ที่มีความรู้สึก ขอเพียงคุณเอามือไปลูบเบาๆที่ลำต้น ใบสนทั้งยวงจะสั่นสะท้าน ดุจดังเกิดอาการสยิวขึ้นมาทันใด และคาดว่ามันต้องเป็นสนตัวผู้แน่ๆ เพราะเวลาสาวๆ (สวยๆ ) ไปลูบมัน มันจะสั่นสะท้านแรงกว่าเวลา ผมหรือผู้ชายคนอื่นไปลูบ แต่บางทีมันอาจเป็นสนไบ ( เซ็กช่วล ) ที่ชอบทั้งชาย และหญิงก็ได้ ..

เป่า ซู่ ถัง และบัวหิมะอันลือลั่น ...

พวกเราจะไปเยี่ยมชม ( รวมถึงถูกชักชวนให้ซื้อ ) ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เป่า ซู่ ถัง ซึ่งหากพูดชื่อนี้คงไม่มีใครเคยได้ยิน แต่หากพูดถึง บัวหิมะ ล่ะก็คงมีคนเคยได้ยินชื่อ และสรรพคุณของมันมาบ้าง ไม่มากก็น้อย
ที่บริษัทนี้ พนักงานส่วนใหญ่ พูดไทยได้ดีพอสมควร ทางบริษัทนั้นผลิตยาจีนแผนโบราณตามตำรับราชวงศ์ชิง ซึ่งมีมากว่า 300 ปี โดยทางรัฐบาลได้เข้ามาควบคุมการผลิต และ ตัวยาบางอย่าง ไม่ต้องฝืนใจนักอนุรักษ์ธรรมชาติด้วย เช่น ดีหมี เดี๋ยวนี้เขาไม่ลักลอบฆ่ากันแล้ว แต่เขาเลี้ยงหมี ไว้เจาะเอาน้ำดี โดยที่หมีก็ไม่ตาย เขากวางอ่อนก็เช่นกัน เพื่อลดการต่อต้านในกรณี ออกสู่ตลาดโลกในอนาคต
บัวหิมะ หรือ เป่า ฟู หลิง มีสรรพคุณในการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และบำรุงผิวพรรณ รวมไปถึง ฮ่องกงฟุต และ ริดสีดวงทวาร โดยต้องเก็บไว้ในที่เย็น เพื่อไม่ให้ตัวยาเสีย ในการสาธิต เขาจะใช้มือของผู้บรรยายปาดโซ่ร้อนที่ร้าน กว่า 500 องศาเซลเซียส ( เว่อร์ไปมั้ยเนี่ย ) จนมีกลิ่นไหม้ทีเดียว ผู้บรรยายท่านนั้นคงจะฝึกวิทยายุทธมาจึงไม่มีร้องโอดโอย ( แต่ตาเหลือก น้ำลายฟูมปากไปเรียบร้อย ) จากนั้นก็จะใช้ บัวหิมะทา ซึ่งสังเกตได้ว่า แผลไม่บวมแดง และดูดีขึ้นจากตอนที่เอาไปปาดโซ่ร้อนใหม่ๆ อย่างเห็นได้ชัด พวกนี้จะต้องปาดกันประมาณ อาทิตย์ละครั้ง เท่าที่ดูมือเขาก็ยังดีอยู่แสดงว่า สรรพคุณมันดีสมคำโฆษณา
นอกจากบัวหิมะ ก็มีพวกยาจีนแขนงต่างๆ เขาจะมีหมอจับเส้น มาจับชีพจรเราและแนะนำให้ว่าเราต้องใช้ยาตัวไหนบ้าง แรกๆก็ดูน่าเลื่อมใสดีอยู่หรอก แต่พอแนะเราเสร็จ พี่แกมีการเดินตามจิกให้เราซื้ออีกแน่ะ ผมเดินหนีแทบตาย ตามมากดดันอยู่ได้ ต้องเผ่นออกมาข้างนอก รอขึ้นรถเลยครับ ทั้งๆ ที่หนาวจับไข้จนมือสั่นจับแก้วน้ำไม่อยู่ก็ต้องเผ่น ไม่ไหว พวกหมอจอมไซโค พวกนี้ ไม่นึกว่ามาตรวจเราเมื่อกี้ จะโดดเตะให้คอหักเลยเชียว ( แต่ผมอาจเจอ วิชาสกัดจุด กลายเป็นอัมพาตเอาก็ได้ ... พอครับ ชักจะบ้ากันไปใหญ่ )
จบรายการ ทัวร์ เป่า ซู่ ถัง ก็เป็นการเดินทางไปยังฉวนตูเพื่อทานอาหาร
และเข้าที่พัก โดยพรุ่งนี้เราจะไปป่าหินกัน ฉวนตูใกล้ป่าหินมากกว่า เพื่อประหยัดเวลา ฟังดูก็เข้าท่าดี แต่ก็เกิดเรื่องวุ่นๆขึ้นจากการมาพักที่ฉวนตูนี่แหละ

ความขัดแย้ง ที่ โรงแรม หมิง ฮู ...

รถพาเราออกจากคุนหมิง มุ่งหน้าสู่ฉวนตู เมืองเล็ก ที่ตั้งอยู่ระหว่าง คุนหมิง กับอุทยานป่าหินเชอะหลิน ที่เราจะไปเที่ยวกันในวันพรุ่งนี้ โรงแรมดังกล่าว ถ้าให้พูดก็อาจจะจัดว่า ด้อยที่สุดในบรรดา โรงแรมที่พวกเราพักมาตลอด 3 คืน แต่ผมก็ยังไม่เห็นว่ามันจะห่วยถึงขนาดทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น ที่นี่มีบ่อน้ำแร่ให้เราว่ายเล่นด้วย และมีไก่ ( แสลง ที่ใช้เรียกพวกคุณตัว ผู้หญิง ส่วนผู้ชายเรียก เป็ด ) อยู่เต็มไปหมด ท่าทางของพวกคณะทัวร์เริ่มมีทีท่าไม่พอใจ กับบรรยากาศโรงแรม
อาหารค่ำของเราวันนี้ เป็นเป็ด อี้เหลียน( เป็ดจริงนะครับ ) ที่ขึ้นชื่อ ทั้งน้ำจิ้ม และเนื้อเป็ดที่นุ่มอร่อยที่สุดในยูนนาน น่าเสียดายที่มันมี แค่จานเดียว แต่ขนมอย่างนึงลักษณะเหมือนแป้งทอด มีไส้เป็นถั่วแดง รสชาติอร่อยมากทีเดียว ซึ่งขณะนั้น หนุ่มๆสองคนที่ร่วมโต๊ะกับพวกผม ลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วเกิดไม่พอใจห้องน้ำขึ้นมา เริ่มมีเสียงบ่นขึ้นบ้างแล้ว แต่ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรมั้ง เพราะเห็นบ่นกันมาตั้งแต่วันแรกแล้ว
จบมื้ออาหารก็เข้าบ้านพัก แต่ละบ้านมี 4 ห้อง ผมอยู่หลังที่ 8 ตอนที่เห็นห้องค่อนข้างโทรมไปนิด แต่ก็พอใช้ได้ผมล่ะนึกว่าทุกคนจะคิดเหมือนผมซะอีก ที่ไหนได้คู่ที่อยู่ตรงข้ามกับห้องผมเริ่มมีเสียงบ่น ไม่ดีเลย เหม็นอับ ไม่อยากนอนเลย ผมก็ยังนึกอยู่ว่าเดี๋ยวคงเลิกบ่นไปเอง แต่ที่ไหนได้ พอออกมาข้างนอก มีการจับกลุ่มโวยวาย การบ่น ขยายวงกว้าง จนเกือบจะมีการสไตรก์ไม่ยอมพักห้องที่ได้กัน ( งั้นเชิญนอนที่ล๊อบบี้นะครับ ) ผมกับพี่น่ะยังไงก็ได้ เราเลยไปเดินเล่นกัน กลับมาก็เห็นเขาชุมนุมกันที่ล๊อบบี้ โดยที่คุณไกด์ทั้งสองกำลังพยายามเคลียร์กันอย่างเต็มที่ ทางฝ่ายคณะทัวร์ก็ทำท่าจะไม่พักท่าเดียว ขอให้กลับไปพักในคุนหมิง ทำได้ก็แปลกแล้ว เราจองห้องไว้ จ่ายเงินแล้วด้วย เขาคงคืนเงินให้หรอกนะ นอนที่คุนหมิงต้องเสียเงินเพิ่ม แถมยังไม่รู้ว่าจะมีที่พักรึเปล่าเลย กว่าจะถึงคุนหมิง ก็โน่นแหละ เที่ยงคืน ไหนจะหาโรงแรม เช็คอิน จะได้นอนกันตอนไหน นิดๆหน่อยๆก็บ่นกันแล้ว..ผมรู้สึกเบื่อ เลยนั่งดูไก่ดีกว่า แน่ะ กวักมือเรียกผมใหญ่เลย อายุเท่าไหร่เนี่ย 16 ถึงรึยังก็ไม่รู้ นั่งมองนานไปหน่อย โดนน้องที่นั่งข้างๆเหน็บเข้าให้ “ชอบล่ะสิ” แหม หึงผมรึเปล่าเนี่ย ...พวกนั้นพยายามดึงผมกับพี่ให้ร่วมกันต่อต้าน การพักที่นี่ ใครจะบ้าไปกับพวกเธอล่ะ อยู่นี่แหละ นอนๆไปเดี๋ยวก็เช้าแล้ว
เรื่องตึงเครียดอยู่พักใหญ่ กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบๆ ห้าทุ่มโน่นแน่ะ ผมสังหรณ์ใจว่า ป่าหินที่ว่า เราคงไม่ได้ไปเป็นแน่ แต่ช่างเถอะ ผมป่วยจะตายอยู่แล้ว นอนเอาแรงดีกว่า ไข้ยังไม่ลดเลย ยาก็หมด ตายแน่เรา เอาล่ะ พรุ่งนี้ค่อยดูกันอีกที



Create Date : 17 มกราคม 2549
Last Update : 17 มกราคม 2549 23:53:55 น.
Counter : 674 Pageviews.

0 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
No. 1259 สาระเกือบมี (ตอนทำงานที่ใหม่ ถูกลองดี) ไวน์กับสายน้ำ
(1 ม.ค. 2567 05:58:05 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Indiana-joe.BlogGang.com

Indiana Joe
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]