ที่ทำงานไม่ใช่บ้าน "...สำหรับประเทศไทย ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ร่วมกับแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ..." ฉันนอนดูรายงานข่าว ที่นายกรัฐมนตรีของเรากล่าวต่อผู้แทนประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ในการประชุมระดับสูงว่าด้วยสภาพภูมิอากาศ ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ได้ยินแล้วก็อดคิดดัง ๆ ในใจไม่ได้.. "แหม พูดซะหรู ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงซะมากกว่ามั้ง" อย่างน้อยก็เมื่อได้มองผ่านความเป็นจริงที่ได้พบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในที่ทำงานใหม่ของฉันเอง... ความจริง เวลา ๗.๓๐ น. ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นชายแดนกรุงเทพ ทุก ๆ เช้าจะมีรถตู้ของสำนักงานมาจอดรอรับพวกเราไปทำงาน อากาศที่นี่ยังดีพอที่ฉันจะรู้สึกสดชื่นเวลามองแสงแดดยามเช้า ที่ส่องผ่านช่องว่างระหว่างใบของต้นไม้ใหญ่ลงมาเป็นเป็นลวดลายดวง ๆ ที่พื้น ยังดีพอที่จะรู้สึกสบายใจเวลาเห็นนกตัวเล็ก ๆ บินลงมาจีบกันหนุงหนิงอยู่บนทางเดิน แต่ไม่ว่าอากาศในตอนเช้าของที่นี่จะดีแค่ไหน มันก็แค่ดีพอสำหรับคนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น แต่ไม่เคยดีพอสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีทางเลือกที่ดีกว่า เช่น การติดเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำทิ้งไว้อย่างรถตู้ของเรา ฉันเคยเสนอให้ใช้วิธีเปิดประตูให้อากาศถ่ายเท เหมือนรถบางคันที่จอดอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อเป็นการประหยัด คิดดูก็ไม่น่าจะยาก เพราะระยะเวลาที่ต้องรอให้พนักงานมาครบก็ไม่นานจนเกินไป ถึงแม้ในขณะที่พูดฉันจะไม่ได้หมายถึงการประหยัดเงินค่าน้ำมันเพียงอย่างเดียว หากรวมถึงการประหยัดน้ำมันซึ่งเป็นพลังงานของโลก แต่ดูเหมือนลุงคนขับรถจะเข้าใจความหมายของฉันผิดไปแน่ ๆ เพราะคำตอบที่ได้คือ "ประหยัดทำไม ค่าน้ำมันเบิกได้ทั้งนั้น" ความจริง เวลา ๘.๑๕ น. พนักงานกำลังชงกาแฟถ้วยแรกของวันของแต่ละคน ด้วยน้ำจากกระติกน้ำร้อนที่เสียบทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานของเมื่อวานและเมื่อวาน ฉันหมายถึงกระติกน้ำร้อนของสำนักงานแห่งนี้ไม่เคยถูกถอดปลั๊ก มันจึงเดือดแล้วอุ่น อุ่นแล้วเดือด สลับกันไปอย่างนี้จนกว่าจะถึงวันหยุด มีครั้งหนึ่งช่วงที่ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ ตอนเย็นก่อนกลับบ้านฉันเห็นไฟที่กระติกยังเป็นสีแดงอยู่ จึงดึงปลั๊กออก และเช้าวันรุ่งขึ้น... "ใครถอดปลั๊กออกเนี่ย แล้วจะเอาน้ำที่ไหนชงกาแฟ ?" พี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น "หนูเอง เอ่อ..ตอนเช้าแม่บ้านเค้าไมได้มาเสียบให้เหรอ" ฉันตอบ พร้อมทั้งถามออกไปตามความเข้าใจของตัวเอง "โอ๊ย! ก็เป็นที่รู้กันว่าปลั๊กนี่วันธรรมดาไม่เคยถอด แล้วแม่บ้านเค้าจะรู้ได้ไงว่าเช้านี้จะต้องมาเสียบให้น่ะ" พี่คนนั้นตอบด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ "อ้าว แบบนี้ก็เปลืองไฟแย่สิ แล้วเสียบทั้งวันทั้งคืนไม่กลัวไฟช็อตเหรอ ?" ฉันยังมีหน้าถามต่อ "มันไม่เป็นไรหรอกน่า แต่ถ้ามัวแต่เสียบ ๆ ถอด ๆ ก็เสียเวลาแย่สิ" พี่คนนั้นตอบขณะที่กำลังเดินนวยนาดไปหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านข่าวบันเทิง นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับฉัน ที่คนที่นี่กลัวไม่มีน้ำร้อนชงกาแฟ แต่ไม่กลัวเปลืองไฟ ไม่กลัวไฟไหม้ที่ทำงาน.. ความจริง เวลา ๘.๓๐ น. ก่อนอื่นฉันต้องบอกก่อนว่าที่ทำงานของฉันอยู่นอกเมือง มันถูกรายล้อมด้วยทุ่งนาและสวนที่ปลูกไว้ห่าง ๆ ภายในรั้วมีสนามหญ้า ขนาดใหญ่เกือบเท่าสนามฟุตบอล ถัดมามีอาคารสามหลัง ซึ่งด้านหน้าปลูกต้นอินทผลัม ต้นใหญ่เท่าต้นมะพร้าวไว้เป็นทิว ส่วนด้านหลังมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่หลายต้นปลุกไว้ทั่วบริเวณ อากาศที่นี่จัดว่าดีทีเดียว ยิ่งถ้านำไปเทียบกับที่ทำงานส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมือง อาคารที่เป็นสำนักงานมีบานหน้าต่างเป็นกระจกที่สามารถเลื่อนเปิดปิดได้ ไม่ว่าจะเพื่อรับแสงหรือรับอากาศ แต่หน้าต่างทุกบานถูกปิดตาย และมีมู่ลี่ปรับแสงที่ถูกปรับให้ทึบจนแสงสว่างจากภายนอกแทบไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์จึงถูกนำมาใช้แทนที่แสงจากธรรมชาติอย่างสิ้นเชิงตลอดระยะเวลาที่พวกเราทำงาน ฉันเคยลองปรับมู่ลี่ให้แสงจากข้างนอกผ่านเข้ามาได้บ้างเพื่อทำหน้าที่แทนหลอดไฟบางดวง และเคยลองปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไปที่ ๒๕ องศาเซลเซียส แต่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ที่มู่ลี่ถูกปรับกลับไปเป็น "สถานะเข้าถ้ำ" และเครื่องปรับอากาศก็กลับไปเป็น "สถานะขั้วโลก" ตามเดิมทุกครั้งไป ความจริง เวลา ๑๑.๕๕ น. หลังจากการระบายกระแสน้ำเสียส่วนตัวเป็นไปอย่างราบรื่น ฉันก็เอื้อมมือไปคว้าสายฉีดชำระมาจัดการกับอวัยวะอันเดียวคู่กาย สายน้ำถูกฉีดยังเป้าหมายจนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม เอ้ย! จนรู้สึกถึงความสะอาด ลำดับต่อมากระดาษชำระถูกนำมาใช้ซับน้ำที่เป้าหมายเดิมอย่างคล่องแคล่ว แม่นยำ โดยไม่ต้องก้มมอง (เนื่องจากเป้าหมายไม่เคยขยับหนีไปไหน) แต่เมื่อมองไปที่ถังขยะขณะกำลังจะหย่อนกระดาษที่เพิ่งถูกใช้ลงไป ก็เห็นกระดาษชำระจำนวนมากฟูฟ่องขาวโพลนอยู่ในนั้น ส่วนมากถูกพับเป็นปึกหนาและอยู่ในสภาพที่เปียกชื้นเพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีสภาพเปียกชุ่มจนเปื่อย และขยุกขยุยยับเยิน เหมือนแผ่นที่อยู่ในมือฉัน แสดงว่าทุกคนใช้กระดาษเกินพอดีกับสภาพความเปียกชื้น "หอยใหญ่กันนักรึไง ถึงได้ใช้เปลืองขนาดเนี้ย!?!" ฉันพึมพำอยู่คนเดียวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ความจริง เวลา ๑๒.๔๕ น. ในห้องรับประทานอาหารที่เพิ่งผ่านสมรภูมิน้ำย่อยไปหมาด ๆ แม่บ้านง่วนอยู่กับการเก็บจานชามที่อุดมไปด้วยข้าวและเศษอาหาร ซึ่งบ้างถูกกวาดมารวมกัน บ้างก็ถูกเกลี่ยกระจัดกระจาย ด้วยที่นี่มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กิน "ฟรี" จึงมีขยะเศษอาหารถุงใหญ่เป็นพิเศษเมื่อเทียบกับจำนวนพนักงาน เพราะคนมักมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาฟรี ๆ จึงกินเหลือทิ้งกันตามสบาย แต่ฉันรู้มาว่าขยะเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ขยะที่เหลือจากการกินทิ้งกินขว้างเหล่านี้จึงอาจมีมูลค่าเทียบเท่าอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ องศาของ มันจึงไม่ใช่ของฟรี แต่เป็นของ "แพง" ที่ถูกมองข้ามมากกว่า นี่คือความจริงบางส่วนที่ถูกมองเป็นเพียงเรื่องเบา ๆ ของสำนักงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งที่เป็นตัวการผลิตก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ ๓๐ จากทุกประเทศบนโลกใบนี้... ความจริง ไม่มีกำหนดเวลา- และที่พล่ามมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องให้ทุกคนเดินมาทำงาน ไม่ได้จะให้เลิกกินกาแฟ ไม่ได้บอกให้ปิดไฟแล้วใช้แสงธรรมชาติ หรือปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเปิดหน้าต่างแทนทั้งหมดหรือตลอดเวลา ฉันไม่ได้อยากฉี่แล้วไม่ต้องเช็ด ไม่ได้กำลังบอกให้ลดหรืออดอาหาร ฉันเพียงแต่เกิดความรู้สึกสงสัยว่าจากคำพูดของนายก ฯ มันเป็นเพียงความเพ้อฝัน หรือเราพอจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้มันใกล้เคียงความจริงขึ้นมาโดยมองจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จึงได้พบกับความเป็นจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตอยู่ในที่ทำงาน หรือเพราะบางคนมองว่าที่ทำงานไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่สมบัติของตัวเองที่ต้องมีส่วนดูแลและรับผิดชอบโดยตรง ค่าใช้จ่ายแทบทั้งหมดเจ้าของกิจการเป็นผู้รับผิดชอบ หรือบางแห่งก็ใช้เงินภาษี บางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าที่ทำงาน จึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่าง "ขาด" และ "เกิน" ฉันหมายถึงขาดจิตสำนึก แต่ เกินความพอดี ฉันคงไม่เที่ยวไปถามใคร ๆ หรอกว่า "เพราะที่ทำงานไม่ใช่บ้านเหรอ ?" เนื่องจากฉันยอมรับความจริงที่ว่า ที่ทำงานมันก็ไม่ใช่บ้านจริง ๆ นั่นแหละ แต่คำถามหนึ่งยังคงค้างอยู่ในโพรงแคบ ๆ ของจิตสำนึกของฉัน คือ "แล้วโลกใบนี้ล่ะ ใช่บ้านของเรารึเปล่า ?" สำหรับคำถามนี้ แค่ตอบในใจก็พอ... ป.ล. มีเหตุให้ต้องเขียนขึ้นมาเมื่อประมาณ สองปีก่อน หนูอ่านแล้ว กลับเข้าใจที่พี่เขียนทุกๆ ตัวอักษรเลยค่ะ
อาจจะเป็นเพราะบางอย่าง ที่ทำงานของเรา คงคล้ายๆ กัน ^^" ป.ล. ไม่ได้แวะมาบ้านนี้นานเลย สวัสดีพี่ร่วมฯ นะคะ จำหนูได้ไหม โดย: มรกตนาคสวาท
![]() เป้าหมายไม่เคยหนีไปไหน แต่มันสึกหรอได้ใช่ป่ะ ![]() นี่แหล่ะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ อะไรที่ตัวเองไม่เดือดร้อนโดยตรง ตอนนั้น เวลานั้น จะไม่รู้สึกรู้สา โดย: < h r i s t i A n Vi e ri >>
![]() เคยคิดเหมือนพี่ร่วมฯ แต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อ่ะ กรำ
ต.ย.การใช้ทิชชู่ของคนในสนง. เช็ดมือ เช็ดปาก เช็ด... เขาเคยหยิบ เคยกระชากมาใช้ยังไง ก็จะทำแบบนั้นตลอด โดยไม่สนว่าทิชชู่ที่ใช้อยู่ เกรดดีแล้วซึมซับได้เยอะ หรือแบบอย่างถูกที่เปียกนิดก็ยุ่ย หยิบแรงก็ขาด เราก็เลยสั่งแต่แบบถูกมาใช้ จะยุ่ยติด...ของเขาก็ม่ายสนอ่ะ กรำ โดย: แมวหง่าว IP: 61.47.18.239 วันที่: 17 มิถุนายน 2552 เวลา:11:07:29 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ไม่ได้เป็นพวกอนุรักษ์จัด แต่ว่า.. ไม่อยากเห็นขยะล้นเมือง.. เสียดายของ..
ป้าขอแอดหนูไว้นะ..