งานพิเศษ -ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน คิดว่าหลายๆคนเคยทำงานพิเศษมาเยอะ เรียมก็เหมือนกันค่ะ สมัยประถม ก็เอาผลไม้ในสวน เช่น มะม่วงหั่นใส่ถุงไปขายที่โรงเรียน... แต่ขายไม่ค่อยได้เพราะหน้าใหญ่ใจโต ชอบเอาไปแจกเพื่อน...... พอโตมาอีกนิดก็เอาพวกผักเล็กๆน้อยๆ เช่น ส้มจี๊ด ผักตำลึง ไปนั่งขายกับ ยายที่ตลาด ยายบอกว่าถ้าขายไม่หมดให้เอากลับไปทิ้งที่บ้าน ไม่ให้แจก..... เพราะคราวหน้าแม่ค้าแถวนั้นจะไม่ซื้อเราอีก.. หรือไม่ก็เก็บผักเก็บผลไม้ในสวนที่ไม่ใช่ผลไม้หลักของแม่ ฝากป้าแถวบ้านขาย ได้ค่าขนมเล็กๆน้อยๆ... สมัยมัธยม ไปทำงานพิเศษร้านถ่ายเอกสารเสาร์-อาทิตย์ ได้วันละ 150 บาท... วันไหนถ่ายได้เยอะ เจ้าของร้านก็มีทิปให้นิดหน่อย... ช่วงปิดเทอมก็ไปรับจ้างอาจารย์เฝ้าบ้าน ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่บ้านของอาจารย์.. ไม่ต้องทำอะไร วันๆก็แค่ตื่นมากินกับนอน จริงๆพ่อกับแม่ไม่ให้ไป เพราะไม่ได้เดือดร้อนอะไรขนาดนั้น..... แต่อาจารย์ไปรับถึงบ้านบอกว่าอยากให้มา เพราะเป็นลูกศิษย์ที่ไว้ใจ.... ตอนนั้นที่สนิทกับอาจารย์เพราะว่า... ตอนเรียนม.2 สอบวิชาสังคมได้คะแนนดีมากติดอันดับ 1-3 อาจารย์เลยเอ็นดู แต่จริงๆไม่ได้ฉลาดนะ.... แต่วิชาสังคมตอนม.2 จะเป็นประวัติศาสตร์ไทยเยอะ สมัยสุโขทัย อยุธยา กรุงธนฯ.... แล้วช่วงนั้นอ่านหนังสือนิยายของแก้วเก้า ทมยันตี ฯลฯ เยอะ.... ซึ่งจะเป็นนิยายเชิงประวัติศาสตร์เลยอิน คะแนนก็เลยดี.... พอม.3 คะแนนก็เริ่มตก เพราะเป็นเรื่องการเมืองระบบการปกครอง.... แล้วก็มาอ่านเพชรพระอุมา..ด้วยเกรดตกมาที่ 3.91 ได้อันดับที่เกือบท้ายๆของห้อง (ที่ 50 กว่า)..... เพื่อนๆได้เกรด 4 เกือบครึ่งห้อง...ที่เหลือก็ 3.97 หรือ 3.95 เลยเซ็งรพินทร์ไปเลย.... พอมัธยมปลายไม่ค่อยได้ทำงานพิเศษอะไรแล้ว...เตรียมเอ็นสะท้าน ... อ่านแล้วรู้เลยรุ่นไหน สมัยมหาวิทยาลัยปริญญาตรี .... มหาวิทยาลัยหางานพิเศษได้ไม่ยากนะ.... แต่สำหรับเราก็ยากนิดนึง เพราะข้อจำกัดด้านความสวยงาม.... เพื่อนไปทำงานพิเศษร้านพิซซ่าฮัท มีสลัดมาให้กินบ่อยๆ.... เพื่อนอีกคนไปเป็นแคดดี้ ทิปดีแต่ตัวดำไปนิดนึง.... เราก็รับจ้างแปลงาน.... เวลาอาจารย์ให้งานแปลมาเพื่อนที่ขี้เกียจก็จะมาจ้างเรา... หุหุ.. สมัยนั้นคิดเป็นหน้าๆละ 20 -25 บาทมั้งพิมพ์ใส่ word ให้เรียบร้อยพร้อมส่ง... รับจ้างเลี้ยงเด็ก.... จริงๆไปนั่งดูพี่เลี้ยงเด็กเขาเลี้ยงอีกที ประมาณว่าผู้ว่าจ้างมีพี่เลี้ยงเด็ก 1 คนแล้ว... ให้เราไปดูพี่เลี้ยงเด็กอีกที ไม่ค่อยได้ทำอะไร... ต่อมาก็ขายภาพโปสเตอร์ตามตลาดนัดแถวมหาวิทยาลัย มีเพื่อนที่เขาจะดูหนังฟังเพลงเยอะ จะรู้ว่าเขาฮิตอะไร ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่า X-Japan คือใคร ลูกค้ามาถาม ก็เปิดดูตามสบายเลยพี่... ต่อมาขายตุ๊กตา...แต่อันนี้ขายไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะหน้าไม่ให้... คนขายตุ๊กตาน่าจะเป็นสาวๆตัวเล็กๆน่ารักๆมากกว่า.... คือก่อนขายตุ๊กตาเหมือนต้องขายหน้าตาก่อน แต่งานที่น่าจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำหน่อย ก็น่าจะเป็นรับจ้างพิมพ์รายงานมั้ง เพราะมันง่าย แล้วเราก็พิมพ์สัมผัสได้เร็ว ทำที่หอได้ด้วย อีกงานหนึ่งก็ไปช่วยเพื่อนที่เป็นเด็กวิศวะไฟฟ้าขายเวลาโทรศัพท์... สมัยนั้น โทรศัพท์จะแพง แต่จะมีโปรโมชั่นนาทีแรก 3 บาท.... นาทีต่อไปนาทีละ 25 สตางค์ทั่วไทย(จำไม่ค่อยได้).... เพื่อนก็ออกโทรศัพท์มา 3 เครื่องพร้อมโปรโมชั่น ... แล้วก็มาตั้งให้เช่า เป็นนาทีๆละ 1-3 บาทอะไรประมาณนี้ ก็จะมีนศ.ในมอมาเช่า โทร.กลับบ้านโทร.หาแฟนบ้าง สมัยนี้คงไม่มีแล้วเพราะโทรศัพท์กับโปรโมชั่นมือถือถูก อันนี้เพื่อนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ เราได้ค่าข้าวบ้างโทร.ฟรีบ้าง มาเลิกตอนที่มีตำรวจมาหนีกันกระเจิดกระเจิง..ขำขำ.. แต่เพื่อนยังทำต่อนะ...ไม่เข็ด.... สมัยมหาวิทยาลัยป.โท ที่เยอรมนี ไปฝึกงานโรงย้อมที่ จริงๆฝึกงานที่นี่จะไม่ได้เบี้ยเลี้ยง... ไปฝึกอยู่เกือบ 3 เดือน หัวหน้าเอ็นดู ก็โรงงานที่ฝึกงาน คนทำงานเกือบทั้งหมดอายุเกิน 45 ปีทุกคน... พอมีอะไรเขาก็ใช้เด็กอย่างเรา เขาให้ทำอะไรก็ทำหมด(เท่าที่ฟังออก) ... มีงานย้อมตัวอย่างที่ใช้เครื่องซักผ้าฝากลม เขาเคยย้อมได้วันละสี พอเรามาย้อมได้ 3-4 สีต่อวัน ตักสีตักกรดเคมี คำนวณสูตร ใส่ข้อมูลในคอมพิวเตอร์....ให้เราทำหมด.... กลางวันกินข้าวเสร็จก็ล้างจานล้างแก้วให้ แบบว่ากลัวไม่ผ่านฝึกงาน เพราะบางเรื่องเขาต้องอธิบายให้เราฟังเป็นชั่วโมงกว่าจะรู้เรื่อง.... สุดท้ายตอนจะจบฝึกงาน หัวหน้าเอาชั่วโมงที่ฝึกงานมาเขียนเป็นโอทีให้ เพื่อเราจะได้เงินพิเศษ ได้มาหลายร้อยยูโรเหมือนกัน..... แต่กว่าจะได้ก็วุ่นวายนิดหน่อย เพราะต้องไปทำเรื่องกับกรมเมือง.... เพราะวีซ่าเราเป็นวีซ่านักเรียน.... พอได้เงิน...ก็เอาไปแชร์เช่ารถเที่ยวยุโรปกับเพื่อนๆพี่ๆที่เรียนป.โทป.เอกหมด แล้วก็มีงาน student working ในมหาวิทยาลัยอันนี้รุ่นพี่คนไทยที่เรียนป.เอกให้งานมา เป็นคุมเครื่องถักผ้าโครงสร้าง 3D เส้นใยแก้วเส้นใยอารามิดบ้างเส้นใยคาร์บอนบ้าง ... เส้นใหญ่เกือบเท่านิ้วก้อย แล้วไอ้เครื่องถักเครื่องนี้นะ บางวันมันอารมณ์ดี.... ก็จะถักได้วันละ 2-3 เมตรเลย บางวันมันอารมณ์ไม่ดี 10 ซม.ยังไม่ได้เลย มีอยู่วันหนึ่งสงสัยจะอารมณ์เสียจัด รางด้านบนหล่นโครมเฉียดหัวไปนิดนึง โดยนิ้วก้อยเลือดออกนิดนึง ตื่นเต้นทั้ง hall ประมาณว่าเราเป็นคนแรกที่มาทำลายสถิติอุบัติเหตุเป็นศูนย์ได้ ในรอบปีเนี่ยแหละ และเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงมาก T_T พอเปิดเทอม อาจารย์ที่ปรึกษานักเรียนทุน มาเจอเราฝึกงานที่นี่.... เป็นเรื่องใหญ่เลย เพราะเราได้ทุน DAAD.... อาจารย์บอกว่าเวลาว่างต้องไปอ่านหนังสือไม่ใช่มาทำงานหาเงิน ผลการเรียนก็ไม่ใช่ว่าจะติด Top five เศร้ารอบสอง ...ทำไมต้องเอาความจริงมาพูด... เกือบไม่ได้เงิน ต้องให้เพื่อนคนเยอรมันรับเงินแทนเราแล้วโอนเงินมาให้เราทีหลัง... ตอนหลังๆก็ไม่ค่อยได้ทำงานพิเศษแล้ว เพราะเสียดายเวลามากกว่าเสียดายเงิน เพราะมาเรียนถึงเยอรมัน ควรเอาเวลาไปเที่ยวเอ้ยไปเรียน... แต่เที่ยวบ้าง...เพราะวีซ่าเยอรมันจะเข้าประเทศยุโรปในกลุ่มเชงเก้นได้หลายประเทศ มัวแต่ทำงานพิเศษแล้วไม่ได้ไปเที่ยวเลยมันเสียโอกาสเปิดโลกทัศน์ เปิดหูเปิดตา กลับจบมาเมืองไทยอาจจะไม่มีเงินมาอีกหรืออาจจะทำงานซะไม่มีเวลามาอีก หลังๆก็ประหยัดๆ กินน้อยๆใช้น้อยๆ แล้วก็ฉายเดี่ยว...เที่ยวคนเดียวอย่างบ่อย ไปกับเพื่อนๆพี่ๆที่โน้นบ้าง ก็เก็บมาได้หลายประเทศเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะ... ปัจจุบัน.... งานหลักก็ทำงานเป็นผู้จัดการศูนย์วิจัยแห่งหนึ่ง...กับเลี้ยงลูก ดูแลครอบครัว งานรองเป็นวิทยากร เขียนหนังสือวิชาการด้านสายงาน รับจ้างแปลงาน (เฉพาะสายงานตัวเองอย่างเดียว เพราะหาคนแปลไม่ค่อยได้ โดนขอร้องมาบ่อย)... งานอดิเรก...เขียน blog แชร์เรื่องเรียนต่อเยอรมนี ทุนการศึกษา เรื่องลูก Skin care เงินไม่ได้แต่ใจรัก 5555 ชีวิตเรียมตอนนี้ยังไม่รวยเงิน...แต่รวยความสุข... ที่ร่ายยาวมาเนี่ย...เพราะมีน้องๆหลังไมค์มาถามเรื่องเรียน เรื่องทุนเยอะ... แต่คำถามหนึ่งที่อยากจะถามกลับไป...คือ น้องสู้เต็มที่แล้วหรือยัง น้องทำเต็มที่แล้วหรือยัง น้องพยายามเต็มที่แล้วหรือยัง เพราะอ่านคำถามบางทีรู้เลย...ว่าไอ้ที่เรียมเขียนมาเยอะๆ แถมทำเป็นสารบัญให้เนี่ย ไม่ได้ผ่านตา ไม่ได้นำไปวิเคราะห์กันเลย ว่าต้องทำอย่างไร ต้องเริ่มอย่างไร... แล้วจะไปเรียนที่เยอรมนีรอดเหรอ.....เครียดแทนค่ะ.... ถ้าสู้เต็มที่ พยายามเต็มแรง แล้วยังไม่ได้... ก็ยังที่อื่นอีกเยอะแยะมากมายที่รอเราคนอย่างเราอยู่... ตอนพี่เรียมจบป.ตรีใหม่ๆ สอบผ่านข้อเขียนป.โทม.ธรรมศาสตร์ - วิศวะสิ่งแวดล้อม แต่ตกสัมภาษณ์ เสียใจมากมาย... แถมหมอดูยังบอกอีก...หนูไม่มีดวงไปเมืองนอกเลยชีวิตนี้.... แต่วันนี้มองย้อนกลับไป...โชคดีจริงๆ...ที่วันนั้นสอบไม่ผ่าน และไม่เชื่อหมอดูเฮงซวยนั่น ไม่งั้นคงไม่มีวันนี้..... จะว่าไป...ทุน DAAD มีจำกัด เขาก็ต้องหาคนที่ดีที่สุด ณ จุดนั้น... ว่าเขาไม่ได้... แต่เราก็ต้องหาแผน 2 แผน 3 เช่นกัน ถ้าไม่ได้ที่นี่ ก็จะไปเรียนที่ออสเตรเลีย หรืออเมริกาเรียนไปทำงานไป... ป.โทเมืองไทยดีๆก็มีเยอะ... ชีวิตมีทางออกเสมอ.... ข้อเดียวคือ.... "อย่าท้อ อย่าถอย มุ่งมั่น ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน."... นี่คือสุภาษิตที่เรียมท่องไว้ ณ ตอนนั้นเพื่อเตือนใจตัวเองค่ะ อ่านเสร็จ กลับไปสู้ต่อ มีอะไรก็หลังไมค์ หน้าบ้าน หลังบ้าน อีเมล์มาถามได้... ตอบได้ก็จะตอบ อันไหนตอบไม่ได้จะพยายามไปหามาตอบให้ แต่ก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเช่นกัน... เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ.... จบนะ.... .......................................................................................... Kimmy's Family functionaltextiles.bloggang.com |
บทความทั้งหมด
|