5 Steps to Tyranny: ปลุกด้านมืดในตัวคุณ (2)
Step 3 - Do ‘Them’ Harm (ทำร้าย “พวกเขา”)

เมื่อมีกลุ่มที่เหนือกว่าและพร้อมที่จะทำตามคำสั่ง ก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะทำร้ายคนอื่น หากผู้นำสั่ง แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดสามัญสำนึกของตัวเองก็ตาม การทำร้ายนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อผู้สั่งให้คำมั่นว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นเอง (แต่จะรับจริงหรือป่าวไม่รู้) เราจะรู้สึกว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะหากเกิดอะไรผิดพลาด เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ยิ่งถ้ามีการสร้างให้คู่ตรงข้ามเรามีคุณค่าต่ำกว่ามนุษย์ เราก็พร้อมที่จะกระทำรุนแรงได้ง่ายขึ้น การสร้างภาพศัตรูเป็นสัตว์ในช่วงสงคราม จึงมักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อบ่อยๆ



การทดลองในขั้นนี้ เป็นการทดลองเกี่ยวกับการเชื่อฟังของ Stanley Milgram นักจิตวิทยาการทดลองชาวอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยเยลในปี 1961 โดย Milgram ได้คัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดลองผ่านโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ให้เข้าร่วม “การศึกษาเกี่ยวกับความจำ” เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยพวกเขาจะได้รับมอบหมายให้แสดงบทบาทเป็น “ครู” และได้รับคำสั่งให้อ่านชุดของคำศัพท์ที่จับคู่กันให้แก่ผู้เข้าร่วมการทดลองอีกกลุ่มหนึ่งหรือ “นักเรียน” ฟัง จากนั้น “ครู” จะทดสอบความจำของ “นักเรียน” โดยอ่านเฉพาะคำศัพท์คำแรก และให้ “นักเรียน” ตอบคำศัพท์อีกคำซึ่งจับคู่กับคำแรก หากตอบผิด “ครู” จะกดปุ่มช็อตไฟฟ้า “นักเรียน” โดยที่ "ครู" และ "นักเรียน" จะไม่เห็นหน้ากัน ได้ยินเพียงเสียง

ทั้งนี้กระแสไฟฟ้าที่ช็อตจะแบ่ง ออกเป็นระดับๆ แต่ละระดับต่างกัน 15 โวลต์ เพื่อไม่ให้ “ครู” รู้สึกถึงความแตกต่างของแต่ละระดับมากนัก หาก “นักเรียน” ตอบผิดอีก “ครู” ก็จะกดปุ่มช็อตไฟฟ้าในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผลก็คือจากอาสาสมัครกว่า 900 คน ประมาณ 2 ใน 3 ใช้กระแสไฟฟ้าสูงถึง 450 โวลต์ สูงกว่าที่ใช้ตามบ้านเรือนกว่า 2 เท่า แม้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะประกาศก่อนทดลองว่าไม่มีทางใช้ไฟฟ้าช็อตคนที่ไม่รู้จัก

ในตอนท้าย Milgram เฉลยว่าทั้งหมดเป็นการจัดฉาก “นักเรียน” เป็นทีมงานของเขา และไม่ได้ถูกช็อตไฟฟ้าจริงๆ เพียงแต่แกล้งแสดงความเจ็บปวดออกมาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้ก็ถูกตั้งคำถามด้านจริยธรรมพอสมควร

Stanley Milgram






Step 4 – “Stand Up” or “Stand By” (“ยืนหยัด” หรือ “ยืนดู”)

เราอาจคิดว่า เมื่อเจอสิ่งไม่ชอบธรรม เราจะลุกขึ้นต่อต้านทันที หรือเมื่อเจอคนประสบเหตุร้าย เราจะเข้าช่วยเหลือทันที อย่างไรก็ตาม การทดลองในสารคดีแสดงให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มีความกังวลเมื่อต้องตัดสินใจว่าจะเข้าแทรกแซงเรื่องใดหรือไม่ หลายคนเลือกที่จะเพิกเฉย แต่การยืนดูอยู่รอบนอกในบางครั้งไม่ได้หมายความถึงการไม่ทำอะไรเลยเพียง อย่างเดียว แต่ยังคือการตัดสินใจไม่เข้าไปมีส่วนร่วม เมื่อคนเราไม่ยอมมีส่วนร่วมเมื่อพบเห็นสิ่งอยุติธรรม นั่นคือการอนุญาตให้ความอยุติธรรมนั้นดำเนินต่อไป ในทางจิตวิทยาสังคมเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “กลุ่มคนดู” ซึ่งมักมีจำนวนมากกว่า “กลุ่มคัดค้าน” จึงทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้อ้างความชอบธรรมของผู้นำเผด็จการ



การทดลองในขั้นนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 การทดลอง อย่างแรกทีมงานได้ให้ชายคนหนึ่งออกไปพูดไฮด์ปาร์คต่อหน้าฝูงชนโดยที่ซ่อน ไมค์ไว้ ในประเด็นเรื่อง “หากพบว่าเด็กในท้องพิการ ก็ควรกำจัดเสีย ไม่ควรให้เกิดมา” ขณะที่ทีมงานก็แอบถ่ายปฏิกิริยาของฝูงชน ผลปรากฏว่ามีเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่พูดคัดค้าน ขณะที่เหลือเกือบร้อยคนยืนฟังเฉยๆ ไม่โต้ตอบและปล่อยให้ชายคนนั้นพูดจนจบ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของชายคนนั้นก็ตาม

ขณะที่การทดลองที่ 2 เป็นของ Dr.Mark Levine แห่งมหาวิทยาลัย Lancaster อังกฤษ โดยได้ให้ชายคนหนึ่งแกล้งวิ่งล้มต่อหน้าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อดูว่าเขาจะช่วยชายคนนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ได้ให้ชายคนนั้นใส่เสื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูลสลับกัน ผลก็คือหากตอนนั้นชายคนนี้ใส่เสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็จะได้รับการช่วยเหลือทุกครั้ง แต่จะไม่ได้รับความช่วยเหลือเลยเมื่อใส่เสื้อลิเวอร์พูล นั่นแสดงให้เห็นว่า เราพร้อมจะช่วยหากเป็นคนที่มีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่จะเป็นเพียงผู้ยืนดูกับคนนอกกลุ่ม ซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์ที่เราคิดว่าไม่เกี่ยวกับเราด้วย

Dr.Mark Levine






Step 5 - Exterminate (กำจัดให้สิ้นซาก)

การกำจัดให้สิ้นซาก หรืออีกนัยหนึ่งคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในหน้าประวัติศาสตร์ เราอาจประหลาดใจว่าในหลายกรณีการฆ่านั้นเกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่เคยเป็นเพื่อน บ้านกัน เคยดูแลใส่ใจกัน กลายเป็นที่หมางเมิน เกลียดกัน และลุกขึ้นมาฆ่าคุณได้โดยไม่มีเหตุผล โดยที่เขาอาจไม่รู้สึกผิดแต่อย่างไร ทั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณให้ “อำนาจ” แก่คนใดคนหนึ่งมากเกินไป



การทดลองที่นำมาอ้างในขั้นนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นการทดลองที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ การทดลองคุกแสตนฟอร์ด (Stanford Prison Experiment) ของศาสตราจารย์ Philip Zimbardo แห่งมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ซึ่งได้คัดเลือกเด็กปริญญาตรีที่มีสุขภาพจิตดีจำนวน 24 คน มาแสดงบทบาทสมมติโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มหนึ่งแสดงเป็น “นักโทษ” และอีกกลุ่มแสดงเป็น “ผู้คุม” (คล้ายกับการทดลองในขั้นที่ 1 แต่จริงจังกว่า) โดยใช้ห้องใต้ดินในมหาวิทยาลัยเป็นคุกจำลอง ทำทุกอย่างให้สมจริงที่สุด และมีกล้องวงจรปิดคอยจับตาพฤติกรรมตลอดเวลา ผลก็คือจากความรู้สึกขำๆ ในวันแรกๆ วันต่อๆ มา “ผู้คุม” เริ่มอินกับบทบาทและ “อำนาจ” ที่ได้รับ จนเริ่มทำทารุณนักโทษรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะสั่งให้แก้ผ้า สั่งให้วิดพื้น จับอดอาหาร ฯลฯ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่ “ผู้คุม” คิดว่ากล้องวงจรปิดไม่ทำงาน การทดลองนี้ต้องยุติลงภายในเวลา 6 วันจากที่กำหนดไว้ 14 วัน เนื่องจากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น การทดลองนี้ยังถูกโจมตีด้านจริยธรรมอย่างหนัก แต่ก็ทำให้ Zimbardo ได้ข้อสรุปที่ว่า “คนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นคนเลวได้ หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุยงส่งเสริม”

Zimbardo ได้นำการทดลองนี้มาสร้างทฤษฎี The Lucifer Effect อธิบายว่า คนเราไม่มีดีไม่มีชั่วแต่กำเนิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม หากอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะเจาะคนดีสุดขีดก็สามารถกลายเป็นคนเลวสุดขั้วเช่น กัน อยากให้คนทำดี จึงต้องไปทำให้สภาพแวดล้อมดี ระบบดี ให้เอื้อต่อการทำดี ไม่ใช่ไปหวังกับคนดี ทั้งนี้ Zimbardo ยังได้เขียนหนังสือชื่อ The Lucifer Effect บันทึกการทดลองในแต่ละวันอย่างละเอียดอีกด้วย อนึ่งชื่อ Lucifer นั้นเป็นชื่อของเทวทูตในศาสนาคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้น แต่ต่อมาคิดกบฏต่อพระเจ้า จึงถูกขับไล่จากสวรรค์ และกลายเป็นซาตานในนรก

Philip Zimbardo






ท้ายที่สุดนี้ขอทิ้งท้ายด้วยคำกล่าวตอนท้ายในสารคดีที่ว่า

“นี่เป็นการเดินทางอันน่าสะพรึงกลัว แต่พฤติกรรมมนุษย์ที่นำไปสู่การกระทำที่เลวร้ายนี้ ก็เป็นพฤติกรรมเดียวกันกับที่สามารถนำไปสู่การเสียสละอันยิ่งใหญ่”

สุดท้ายนี้คงอยู่ที่คุณว่าจะยอมปล่อยให้ "ด้านมืด" ของตนเองออกมาหรือไม่


หมายเหตุ
คลิปที่โพสข้างต้น มีการตัดบางฉากออก ใครอยากดูฉบับเต็ม 1 ชั่วโมง ตามลิงค์ข้างล่างเลยครับ

Part 1 https://www.youtube.com/watch?v=68GzOJQ8NMw
Part 2 https://www.youtube.com/watch?v=3LpbAfz6BHI
Part 3 https://www.youtube.com/watch?v=MhKfGCJB0nE
Part 4 https://www.youtube.com/watch?v=bg-VyagA8FU
Part 5 https://www.youtube.com/watch?v=qmDmpt-NTrY
Part 6 https://www.youtube.com/watch?v=0yxiSrcD6vM
Part 7 https://www.youtube.com/watch?v=CXJTMwV9Ymo



Create Date : 11 เมษายน 2554
Last Update : 11 เมษายน 2554 20:02:40 น.
Counter : 5478 Pageviews.

11 comments
สรุปวิชาเคมีชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4) เรื่องตรางธาตุ นายแว่นขยันเที่ยว
(12 มิ.ย. 2567 00:03:51 น.)
ทำไมคนไทยต้องไปอวกาศ | วิดยงวิทยา EP.1 feat. กร KornKT(ช่องThe Principia) peaceplay
(12 พ.ค. 2567 02:07:53 น.)
น้ำฝนทั่วโลกปนเปื้อน ‘สารก่อมะเร็ง’ สมาชิกหมายเลข 4313444
(7 พ.ค. 2567 20:25:22 น.)
มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 347 Rain_sk
(28 ก.พ. 2567 08:43:19 น.)
  
มาลงชื่อครับ

ฮี่ๆ
โดย: ชายผู้หล่อเหลา...กว่าแย้นิดนึง. (เป็ดสวรรค์ ) วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:20:59:49 น.
  
คนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นคนเลวได้ หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุยงส่งเสริม

อันจริงแท้ ครับ

โดย: เชร็ค3 IP: 125.26.178.52 วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:9:57:51 น.
  

มนุษย์นี่น่ากลัวจริง ๆ .... เฮ้อออ

ปล. ขอบคุณมากค่ะ ได้ความรู้ใหม่ ๆ มากมาย
โดย: วัยรุ่นตลอดกาล IP: 124.122.189.253 วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:0:51:40 น.
  
เป็นบทความที่ดีมากครับ
โดย: timshel IP: 125.26.137.163 วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:12:21:15 น.
  
ผมชอบประโยคนี้ครับ “Stand Up” or “Stand By” (“ยืนหยัด” หรือ “ยืนดู”)

โดย: redcore IP: 180.183.123.31 วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:20:26:10 น.
  
มีประโยชน์มากจริงๆ
อ่านบทความนี้ อย่างน้อยเราก็อาจมีสติมากขึ้นในการดำรงชีวิตนะคะ
โดย: Sam IP: 223.205.74.65 วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:10:38:28 น.
  
มีประโยชน์มากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
โดย: เซียนซากุระ วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:2:04:33 น.
  
(-/\\-)

ขอบคุณมากค่ะ
โดย: Timmy IP: 180.210.216.131 วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:22:54:53 น.
  
ได้ความรู้มาก
โดย: สบายใจดี IP: 124.121.148.171 วันที่: 23 เมษายน 2554 เวลา:1:59:23 น.
  
ชอบๆ "คนเราไม่มีดีไม่มีชั่วแต่กำเนิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม หากอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะเจาะคนดีสุดขีดก็สามารถกลายเป็นคนเลวสุดขั้วเช่น"
โดย: N. shen IP: 113.163.187.98 วันที่: 25 มิถุนายน 2554 เวลา:19:43:56 น.
  
ดูเต็มๆ ในคลิปเดียวที่
//youtu.be/aaYig0KSRfY
โดย: samphan IP: 110.171.126.220 วันที่: 28 กันยายน 2555 เวลา:18:49:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Daengkhao.BlogGang.com

เซียวเล้ง
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]