ตอนที่ 2 ครับ
ตอนที่ 2 ครับ หวังว่าคงยังไม่หลับกันนะครับ เดี๋ยวหมอจะพยายามหารูปมาอัพให้ดูง่ายขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะอัพเป็นรึเปล่าอิอิ
SKIN APPENDAGES
SEBACEOUS GLAND
มีหน้าที่ส้รางสกัด LIPIDเกิดจาก EPITHELIAL BUD จาก OUTER ROOT SHEATH บริเวณรอยต่อระหว่าง INFUNDIBULUM และ ISTHMUS ของ HAIR FOLLICLE พบทั่วไป ยกเว้นบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า พบมากที่สสุดบริเวณหนังศีรษะ ,หน้าผาก , ใบหน้า และบริเวณอวัยวะเพศถึงประมาณ 400-900ต่อม / 1 ตร.ซม. โดยที่ทั่วไปต่อมไขมันจะเปิดเข้าสู่ HAIR FOLLICLE แต่ก็มมีต่อมไขมันบางบริเวณที่ไม่เกี่ยวข้องกับ HAIR เลย เช่นที่ BUCCAL MUCOSA และ VERMILLION( FORDYCE’S SPOTS) AREOLAS ในผู้หญิง ( MONTGOMERY ’S TUBERCLES) , PREPUCE ( TYSON’S GLANDS) และที่ ELELID ( MEIBOMIAN GLANDS)
ต่อมไขมันจัดเป็น HOLOCRINE GLAND เพราะเซลล์ของต่อมไขมันจะมี DIFFERENTIATION ในลักษณะเดียวกับ KERATINIZATION และมี END PRODUCT คือ SEBUM นั่นเอง การทำงานของ SEBACEOUS GLAND อยู่ใต้การควบคุมโดย ANDROGENSดังนั้นต่อมไขมันจะทำงานมากขึ้นในวัยรุ่น วึ่งได้รับ ANDROGENจาก TESTIS , OVARIES AND ADRENAL GLANDS ทำให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้น MITOTIC RATE เพิ่มและ SEBUM PRODUCTION มากขึ้น และในผู้ชายก็จะมีการทำงานมากกว่าผู้หญิง SEBUM ประกอบด้วย TRIGLYCERIDE 41% , FREE FATTY ACID 16 % , WAX ESTER 25 % , SQUALENE 12 % DIGLYCERIDE 2 % CHOLESTEROL ESTER 3 % AND CHOLESTEROL 1.5 %
HAIR FOLLICLE
มนุษย์เรามีขนหรือผมอยู่ทั่วร่างกาย ยกเว้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า ถึงแม้ผมหรือขนเหล่านี้จะไม่ได้มีหน้าที่ในการป้องกันการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย แต่ก็เป็น SEXUAL ATTRACTION ที่สำคัญอย่างหนึ่ง HAIR FOLLICLE แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
1. INFUNDIBULUM คือ ส่วนบนสุด ตั้งแต่รูเปิดของขุมขน จนถึงส่วนของ FOLLICLE ที่มีต่อมไขมันมาเปิด ส่วนนี้มี EPITHELIUM คล้ายกับ EPIDERMIS และเป็นที่อยู่ของ MICROORGNISM เช่น P-ACNE , PITYROSPORUM , STAPHYLOCOCCI AND DEMODEX
2. ISTHMUS เป็นส่วนกลาง อยู่ระหว่างคอเปิดต่อมไขมัน ข้างบนและ INSERTION ของ ARRECTOR PILI MUSCLE
3. INFERIOR SEGMENT นับจาก INSERTION ของ ARRECTOR PILI MUSCLE จนถึง BASE OF FOLLICLE ที่ BASE จะมี HAIR BULB และ HAIR PAPILLAE โดยพบ MELANOCYTE GERMINATIVE CELL ที่ HAIR BULBS , ที่ INFERIOR SEGMENT ก็ยังแบ่งเป็น OUTER ROOT SHEATH และ INNER ROOT SHEATH ส่วน HAIR SHAFT จะอยู่ตรงกลาง INFERIOR SEGMENT นี้จะหายไปใน INVOLUTIONAL STAGE และจะ REFORM ใหม่ใน GROWTH PHASE ต่างจาก INFUNDIBULUM และ ISTHMUSซึ่งจะคงอยู่ตลอดไปไม่ว่า PHASE ไหน
สีของผมขึ้นกับจำนวนและการกระจายของ MELANIN ใน HAIR SHAFT เช่น ในคนผมสีทอง MELANOCYTE ที่ HAIR BULBS จะสร้าง MELANOSOME น้อยกว่า ส่วนในคนผมหงอกจะเกิดจากการที่ไม่มี MELANOCYTE เหลือแล้ว
GROWTH CYCLE ของ HAIRแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ
1. ANAGEN ( GROWING) PHASE
2. CATAGEN ( INVOLUTING) PHASE ; INFERIOR SEGMENT จะค่อยๆหดตัวเป็น THIN CORD ของ EPITHELIAL CELL HAIR PAPILLAR ก็จะเคลื่อนที่สูงตามขึ้นไป
3. TELOGEN ( RESTING) PHASE ; HAIR BULB จะอยู่ที่ระดับ ARRECTOR PILLI MUSCLE
สำหรับ SCALP HAIR จะมี GROWING PHASE นาน 3-10 ปี , CATAGEN PHASE 3 wk และ RESTING อีก 3 เดือน โดยปกติจะพบ TELOGEN เพียง 10 % ของ SCALP HAIR เท่านั้น และจะมี ANAGEN ประมาณ 1แสนเส้น ปกติผมจะยาววันละ 0.35 mm หรือ เดือนละ 1 cm
APOCRINE GLAND
พบที่ AXILLA , AREOLA , MON PUBIS , LABIA MINORA, PREPUCE , SCROTUM , PERIUMBILICAL , CIRCUMANAL AREA , EXTERNAL EAR CANAL และ EYELIDS และพบที่หน้า หนังศีรษะ และ EPITHELIAL HAMARTOMAบางอย่างเช่น NEVUS SEBACEOUS , SYRINGOCY STANDENOMA PAPILLIFERUM , APOCRINE GLAND สร้างสารบางอย่างออกมา แต่ไม่ทราบหน้าที่แน่ชัดในมนุษย์ ในสัตว์จะสร้าง PHEROMONE
APOCRINE GLAND แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนล่างจะเป็น COLIED SECRETORY GLAND อยู่ใน RETICULAR DERMIS หรือ SUBCUTANEOUS FAT และส่วนบนจะเป็น STRAIGHT EXCRETORY DUCT ซึ่งเปิดเข้าที่ INFUNDIBULAR PART ของ HAIR FOLLICLE
APOCRINE SECRETION มีจำนวนน้อย ลักษณะเป็น MILKY COLOR ซึ่งประกอบด้วย PROTEINS , CARBOHYDRATES , FATTY ACIDS ในท่อต่อม SECRETION จะ STERILE และไม่มีกลิ่น แต่เมื่อขับออกมาที่ผิวหนัง BACTERIA จะทำการย่อยสลาย SECRETION ทำให้เกิดกลิ่น ซึ่งเฉพาะตัวในแต่ละคน
ECCRINE SWEAT GLAND
พบทั่วไป ยกเว้นที่ MUCOCUTANEOUS JUNCION พบมากที่สุดที่ PALMS , SOLES , FOREHEAD , AXILLA และน้อยที่สุดที่ ARMSและ LEGS ต่อมเหงื่อจะขับเหงื่อซึ่งเป็น HYPOTONIC SOLUTION ออกมาที่ผิวหนัง เพื่อลดความร้อนในร่างกาย เมื่อมี EVAPORATION ออกไป
SWEAT GLAND UNIT แบ่งเป็น 4 ส่วนดังนี้
1. COILED SECREATORY GLAND ซึ่งอยู่ระหว่างชั้น DERMIS และ SUBCUTANEOUS FAT
2. COILED DERMAL DUCT
3. STRAIGHT DERMAL DUCT
4. SPIRALED INTRAEPIDERMAL DUCT ( ACROSYRINGIUM) ในชั้น EPIDERMIS โดยจะเปิดสู่ผิวหนังโดยตรง
เหงื่อจะประกอบด้วยน้ำ 99 % ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ประกอบด้วยเกลือแร่ต่างๆ เช่น SODIUM, POTASSIUM , CHLORIDE , UREA , CALCIUM , PHOSPHATE , PROTEINS AND LIPIDS มี Ph 4.5 – 5.5 SWEAT GLAND รวมกับ CUTANEOUS BLOOD VESSELS มีหน้าที่สำคัญใน THERMAL HOMEOSTASIS ของร่างกาย
NAIL UNIT
ประกอบด้วย NAIL PLATE และ SOFT TISSUE รอบๆ NAIL จะหนา 0.5 – 0.75 MM คลุม DORSAL DISTAL PHALANGES , NAIL แบ่งเป็น DISTAL FREE EDGE , ส่วนที่เป็น FIXED PORTION กับ NAIL BED และ PROXIMAL EDGE ที่อยู่ใต้ PROXIMAL NAIL FOLD
FINGERNAILS จะยาวประมาณ 0.1 MM/ DAY ยาวเร็วกว่าเล็บเท้ามาก หนาร้อนยาวเร็วกว่าหน้าหนาวและในเด็กจะยาวเร็วกว่าผู้ใหญ่
GENERAL FEATURES OF THE SKIN
สีของผิวหนังขึ้นกับ BIOCHROME 4 ชนิดอันได้แก่
- MELANINซึ่งมีสีน้ำตาลและสามารถ ABSORB ได้ทั้ง ULTRAVIOLETและ VISIBLE LIGHT อยู่ใน EPIDERMIS
- CAROTENOIDSให้สีเหลือง และอยู่ใน EPIDERMIS เช่นกัน
- OXYHEMOGLOBINสี BLUISH RED อยู่ในชั้น SUBPAPILLARY VENOUS PLEXUS
ดังนั้นเส้นเลือดที่ผิวหนังจึงมีบทบาทสำคัญที่ทำให้สีผิวแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างเช่น เส้นเลือดขยายตัวหรือหดตัว สัดส่วนของ OXYHEMOGLOBIN และ REDUCED HEMOGLOBIN และจำนวนของ HEMOGLOBIN ทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้ชัดในบริเวณที่ชั้น STRATUM CORNEUM บางหรือไม่มี เช่นที่ริมฝีปาก หรือ MUCOUS MEMBRANE ถ้าที่ไหนมี ARTERIAL BLOOD FLOW สูงก็จะดูผิวหนังสีแดงเช่น ฝ่ามือ ที่หน้า แต่ถ้าบริเวณใดมี VENOUS PLEXUSหนาแน่น ก็จะดูสีคล้ำลงไม่แดง เช่นที่ลำตัวส่วนล่าง และหลังเท้า ถ้าในเลือดมี REDUCED HEMOGLOBIN มากกว่า 5g/dL ก็จะเห็นผิวหนังสีม่วงคล้ำเกิดภาวะ CYANOSISขึ้นและถ้าระดับ HEMOGLOBIN ลดลงก็จะเกิดอาการซีด ซึ่งเห็นได้ชัดบริเวณใบหน้า NAIL BED เช่นในคนไข้ ANEMIA
สำหรับ CAROTENOIDSในผิวหนังนั้นมาจากผักผลไม้ที่รับประทานเข้าไป CAROTENOIDS จะอยู่ในชั้น STRATUM CORNEUM และใน SEBACEOUS GLAND และ SUBCUTANEOUS FAT ปกติ CAROTENOIDจะมีบทบาทน้อยต่อสีของผิวหนังแต่ในบางภาวะเช่น มีการรับประทานอาหารบางชนิดมากเกินไป เช่น แครอท มะเขือเทศ มะละกอ จะเห็นผิวหนังมีสีเหลืองชัดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่มีชั้น STRATUM CORNEUM หนา เช่นฝ่ามือ ฝ่าเท้า
MOISTURE ปกติผิวหนังจะมีความชุ่มชื้นพอสมควร แต่บางงกรณีก็พบผิวแห้งได้ เช่นในคนสูงอายุ ในฤดูหนาว หรือในสถานที่ที่มี LOW HUMIDITY นอกจากนี้อาการผิวแห้งยังเกี่ยวกับโรคทาง SYSTEMIC ได้ เช่น MYXEDEMA , ICHTHYOSIS , CHRONIC NEPHRITIS , LARGE DOSE ของ NIACIN , RETINOIDS , ATROPINE – LIKE DRUGS บางคนอาจมีผิวชื้นตลอดเวลาได้ โดยเฉพาะบางบริเวณเช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและ AXILLA ในคนปกติ หรือในขณะที่มีไข้ หรือภาวะ THYROTOXICOSIS
TURGOR เป็นการดู SKINหรือ TISSUE HYDRATION โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับผิวหนังยกขึ้นแล้วปล่อยให้ผิวหนังที่ถุกยืดตัวขึ้นกลับสู่ภาวะปกติ ถ้าผิวหนังไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วแสดงว่ามี HYDRATION ลดลง แต่ในบางภาวะก็มีการบวมได้ ถ้ามี GENERALIZED EDEMA ควรคิดถึง SYSTEMIC DISEASE ที่ทำให้มี HYPOPROTEINEMIAเช่น SEVERE LIVER และ RENAL DISEASE หรือ อาจมีภาวะ CONGESTIVE HEART FAILURE
TEXTURE เป็นการบรรยายลักษณะของผิวหนังที่รู้สึกได้ด้วยการสัมผัส ( TACTILE SENSE) เช่น SOFT HARD , INDURATED เช่นใน SCLERODERMA , LICHENIFICATION , MYXEDEMA การบอก TEXTURE ของผิวหนังมักบ่งบอกถึงลักษณะของ CONNECTIVE TISSUE หรือภาวะที่มี METABOLIC DEPOSIT ในผิวหนังเป็นต้น
TEMPERATURE เนื่องจากผิวหนังมีหน้าที่ ควบคุม BODY TEMPERATURE ดังนั้น อุณหภูมิของผิวหนังจึงเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของร่างกาย เช่น ขณะมีไข้ผิวหนังก็จะร้อนไปด้วย ถ้ามี VASCULAR INSUFFICIENCY ผิวหนังบริเวณนั้นก็จะเย็นลงด้วยเช่นกัน
Free TextEditor