ตอนที่ 5 : เติมไฟให้ฝัน เคยเป็นบ้างไหมครับ บางวันชีวิตก็แสนราบรื่น ทำอะไรก็มีความสุข แต่บางวันก็ทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนอยู่ในนรก และชีวิตมันก็หมุนเวียนสุขทุกข์แบบนี้โดยตลอด จนผมไม่เข้าใจว่า ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มันดีหรือแย่กันแน่? ก่อนที่จะขึ้นเวทีร้องเพลง ผมต้องนั่งทำใจว่าคนฟังจะเบื่อเพลงของผมไหม มันซ้ำๆ เดิมๆ ไม่มีเพลงอะไรอัพเดทเลย ตัวผมเองทนได้ แต่ผมแคร์ความรู้สึกของแขกประจำเสียมากกว่า เขาจะเบื่อแค่ไหน กับแอคติ้งเดิมๆ รอยยิ้มเดิมๆ ท่าทางเดิมๆ น้ำเสียงเดิมๆ เมื่อก่อนจะแปลกใจว่าทำไมชอบร้านแรกมากกว่าร้านรอบดึก คิดไปคิดมาก็เพราะว่า ร้านรอบหัวค่ำนั้นมีแขกที่ไม่ซ้ำหน้าเยอะ ทำให้ผมไม่ต้องแคร์แขกว่าเขาจะเบื่อไหม แต่ร้านรอบดึกนั้นแขกประจำเยอะมาก เขาก็ย่อมเบื่อเพลงเดิมแน่นอน อันนี้ผมมั่นใจ บนเวทีต้องใช้พลังสมองและร่างกายค่อนข้างสูง สายตา ต้องมองแขกว่าเขารู้สึกอย่างไร ควรจะเล่นจังหวะไหน จะแป้กไหม และยังต้องมองเนื้อเพลงอีกในบางเพลงที่ยาก หู จะต้องฟังเสียงที่ออกมาจากลำโพงว่าสมดุลไหม เสียงชัดใสไม่เพี้ยน เสียงคนฟังที่ร้องคลอตามว่าดังพอหรือยังที่จะยื่นไมค์ให้เขาร้องตาม เสียงของนักดนตรีที่บอกชื่อเพลงถัดไป ปาก อันนั้ไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งดึกยิ่งหมดแรง เมื่อยคอมาก จะต้องออมแรงแค่ไหนกันเชียวถึงจะกำลังดีในระยะยาว รูปร่าง ผมเป็นคนยืนเอียงทอดขา บุคลิกไม่ดีเอาเสียเลย พยายามปรับปรุงความมั่นใจแล้วก็ยังไม่ดีพอ มันคือจุดบอดในชีวิตของผม ยิ่งตัวเตี้ยอีกก็เลยทำให้เราเป็นเด็กไป มันใช้พละกำลังกายและใจคล้ายๆกับเรียนฟิสิกส์ตอนปี 1 นั่นแหละ ผมว่าอาจจะมากกว่านิดนึงด้วย เพราะผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักร้องหรอก เพราะหน้าที่ของเรามันจะต้องทำ พอเราทำอะไรที่มันไม่ใช่เราจริงๆ ไฟในตัวเรามันจะหมดไวกว่าคนอื่นครับ เผลอๆมีความคิดจะย้ายวง มีความคิดจะไปเมืองนอก ฟุ้งซ่านต่างๆนาๆ เพราะหนีปัญหาเดิมของเราเอง ผมไม่อยากหนีมันอีกแล้ว ทุกครั้งที่ร้องเพลงเสร็จ ผมจะขับรถเครื่องวนละแวกนั้น วนไปวนมาเพื่อคิดอะไรในใจให้มันได้ระบายออกมา แล้วก็หนีไม่พ้นเซเว่น จะต้องติดนมติดขนมมากินบ้างคลายเครืยดรอบดึก พอกลับมาก็รีบอาบน้ำ มาเล่นคอมพิวเตอร์อย่างสบายใจ ช่วงเวลานี้ก็ฟุ้งซ่านหนักกว่าเก่า เราไม่อยากตื่นถึงวันพรุ่งนี้ เพราะต้องเจอหน้าที่อะไรอีกมากมาย สอนร้องเพลงพวกน้องๆก็เริ่มที่จะต้องหาวิชาความรู้เพิ่มเติมเพื่อจะได้เอาไปสอนเขาอีก ทุกอย่างล้วนต้องใช้พลังทั้งนั้น ไฟในตอนนี้ของผมคือ การนับถอยหลังเวลาที่เหลืออยู่ แทนที่จะบอกตัวเองว่าเราจะทำถึงเมื่อไร แต่เราเริ่มนับถอยหลังเลย หนึ่ง เราจะได้ทำมันเต็มที่ สอง เราจะได้เก็บหอมรอมริบสตางค์เอาไว้ อดที่จะกินของแพงๆ อดที่ะซื้อเสื้อผ้าหรูๆ และต้องมองว่าไม่นานนี้เราก็อาจโดนไล่ออกได้นะ ส่วนไฟที่มาจากคนรัก ผมยังไม่มีคนรัก แต่ผมก็มองว่ามันคือสิ่งเติมเต็มผมได้ ผมได้แต่รอเวลาให้เขาเข้ามาในชีวิตผม และผมจะดูแลให้ดีที่สุด ผมมองเงินที่เป็นก้อนแบงค์ นี่หรือที่เราเหนื่อยมาโดยตลอด เรากำลังจะเอาไปฝากธนาคาร ในชีวิตไม่เคยมีเงินอยู่ในธนาคารเท่านี้เลย มันทั้งภูมิใจและหนักใจเพราะรู้ว่าสักวันเงินเหล่านี้มันจะหมดไปของมันเอง ที่ผมไปฝากธนาคารก็เพราะผมเชื่อเรื่องดวงครับ ผมเองเวลาเอาเงินใส่กระเป๋าสตางค์ มักหมดไวมาก ผมจึงต้องเหลือทิ้งไว้ในกระเป๋าแค่ไม่เกินร้อยบาทเอง เงิน คือไฟของผม ถ้าเธอเป็นไฟดังตะวันฉันจะเป็นฟ้า
ยามเธอเผาไหม้ ฟ้าไม่กลัวไฟ ฉันไม่กลัวใจเธอจริงหรือปลอม พร้อมจะเจ็บปวดอย่างที่เป็น เล่นกับไฟด้วยใจยินยอม ให้อ้อมกอดโชคชะตา นำพารักสุดปลายฝัน จนวันโลกดับสลายใต้ฟ้าตะวันเดียว จะเป็นไฟที่มาช่วยเติมเต็ม และจาเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้างตลอดไปนะ โดย: TaM:เด็กน้อย IP: 222.123.84.13 วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:19:49:59 น.
สู้ๆๆเน้อ
โดย: ต๊ะเอง IP: 183.89.98.51 วันที่: 29 มิถุนายน 2553 เวลา:7:05:15 น.
สิ่งทีั่แย่ที่สุดคือ ความคิดที่คิดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องน่ะ
แต่ข้อบกพร่องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พระเจ้าให้มา ทำให้คนต้องขวนขวายแก้ไข ใช่ป่ะ โดย: บ้านใกล้ IP: 125.24.12.85 วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:10:56:11 น.
|
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
หากเอาตังค์ไว้ในกระเป๋า..
รู้สึกเหมือนตังค์มันจะร้อนรน ร้องไห้งอแง ขอออกจากกระเป๋าเรา ไปอยู่กระเป๋าอื่นน่ะ
ฝากธนาคาร หรือซื้อที่ดินเก็บไว้ดีกว่า..