In the Name of God ปรากฏการณ์ปากีสถาน
In the Name of God
ปรากฏการณ์ปากีสถาน
พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 27 เมษายน 2551
สุดสัปดาห์ต้นเดือนที่ผ่านมา (เมษายน 2551) มีหนังปากีสถานเรื่องหนึ่งเปิดฉายในโรงภาพยนตร์ในอินเดีย
ฟังแล้วไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไร หากไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่านี่คือหนังปากีสถานเรื่องแรกในรอบกว่า 4 ทศวรรษที่ได้ไปฉายในอินเดีย
หนังปากีสถานเรื่องนี้มีชื่อว่า Khuda Ke Liye หรือในชื่อภาษาอังกฤษ In the Name of God เนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวชาวปากีสถานฐานะดีที่ต้องเผชิญแรงเสียดทานระหว่างโลกมุสลิมผ่อนคลายกับโลกมุสลิมอันเคร่งครัด เชื่อมโยงกับเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 และการถล่มอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกา
พูดถึงหนังปากีสถานแล้วอาจนึกภาพตามไม่ออก อันที่จริงรูปร่างหน้าตาของหนังปากีสถานโดยส่วนใหญ่เหมือนกับหนังบอลลีวู้ดของอินเดีย ด้วยเรื่องราวเข้มข้นแบบเมโลดราม่าสลับด้วยฉากร้องเพลง-เต้นรำ แต่สำหรับ In the Name of God นั้นต่างออกไป หนังมีความเป็นดราม่าจริงจัง แม้จะยังมีฉากเล่นดนตรี-ร้องเพลงอยู่หลายฉากแต่ก็เกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาเรื่องราวโดยตรง
น่าสนใจตรงที่แม้จะผิดไปจากรูปแบบที่ชาวปากีสถานคุ้นเคยและชื่นชอบ แต่ In the Name of God กลับกลายเป็นหนังระดับปรากฏการณ์หลังจากออกฉายเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2007 และทำสถิติรายได้รวมสูงสุดตลอดกาล พิเศษกว่านั้นคือหนังได้ไปฉายในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในอินเดียดังที่กล่าวไว้แล้ว
เหตุใดการได้ไปฉายในต่างประเทศจึงเป็นเรื่องพิเศษ แล้วทำไมหนังปากีสถานจึงไม่ได้ไปอวดโฉมในอินเดียทั้งที่เป็นดินแดนบ้านใกล้เรือนเคียงและเคยเป็นประเทศเดียวกันมาก่อน คำตอบของคำถามนี้คงต้องเล่าย้อนไปไกลสักหน่อย
อุตสาหกรรมหนังปากีสถานมีชื่อเรียกว่า ลอลลีวู้ด เพราะมีฐานการผลิตอยู่ที่เมืองลาฮอร์ เหมือนกับ บอลลีวู้ด ซึ่งหมายถึงหนังอินเดียจากมุมไบหรือบอมเบย์ โดยก่อนหน้านี้มี การีวู้ด ที่ใช้เรียกศูนย์กลางผลิตหนังปากีสถานที่เมืองการาจี ก่อนจะซบเซาและเลิกราไปในช่วงทศวรรษ 80 เพราะผู้สร้างหนังย้ายไปรวมตัวกันที่เมืองลาฮอร์ และการเติบโตของ ปอลลีวู้ด หรือหนังปากีสถานจากเมืองเปชะวา
หนังปากีสถานใช้ภาษาอูรดู บางครั้งปะปนด้วยภาษาอังกฤษ แต่ไหนแต่ไรทั้งปากีสถานและอินเดียต่างเป็นตลาดหนังของกันและกัน อีกทั้งเมืองลาฮอร์เคยเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตหนังของอินเดียก่อนที่ปากีสถานจะถูกแยกเป็นประเทศในปี 1947
การแยกเป็นประเทศใหม่ทำให้บุคลากรด้านภาพยนตร์ขาดแคลนเนื่องจากต่างโยกย้ายไปอยู่ในอินเดีย ซ้ำร้ายหลังจากฟื้นฟูตนเองได้ไม่นาน อุตสาหกรรมหนังปากีสถานก็ต้องสูญเสียเมืองธากาซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตหนังของประเทศ เมื่อปากีสถานตะวันออกชนะสงครามและประกาศเอกราชเป็นบังกลาเทศในปี 1971
เห็นได้ว่าอุตสาหกรรมหนังปากีสถานได้รับผลกระทบโดยตรงจากพื้นที่ความเป็นชาติที่เปลี่ยนแปลงไป
ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้ในปี 1965 สงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถานทำให้ความสัมพันธ์ผ่านแผ่นฟิล์มแทบจะยุติลงโดยสิ้นเชิง ปากีสถานสั่งถอดและห้ามฉายหนังอินเดีย และไม่มีหนังปากีสถานได้ไปฉายในอินเดียอีก
คำสั่งแบนหนังอินเดียในปากีสถานยังมีอยู่ทุกวันนี้ด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันการแข่งขันกับหนังในประเทศ ยกเว้นบางเรื่องที่ได้รับอนุญาตให้ฉาย(เช่นเรื่อง Taj Mahal เพราะว่าด้วยทัชมาฮาลอันเป็นความภาคภูมิใจของชาวมุสลิม) แต่การปิดกั้นหนังอินเดียดูจะไม่มีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมหนังปากีสถานนัก เพราะชาวปากีสถานเองยังนิยมหนังอินเดียโดยหาดูได้จากดีวีดีและเคเบิลทีวี เพราะสร้างได้ประณีตสวยงามและยิ่งใหญ่กว่า มีผู้กล่าวว่าเงินทุนสร้างหนังปากีสถานเรื่องหนึ่งเท่ากับทุนสร้างฉากร้องเพลงเพลงเดียวในหนังบอลลีวู้ด
หนังปากีสถานค่อยๆ ตกต่ำซบเซาอย่างหนัก แต่ละปีมีหนังออกมาไม่กี่สิบเรื่อง โรงหนังปิดตัวเหลือเพียง 200 โรง จนผู้สร้างหนังต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมหนังในประเทศ และช่วยเปิดตลาดนานาชาติให้แก่หนังปากีสถาน
กระทั่งช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนทำหนังอิสระรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจกรอบจำกัดเรื่องเงินทุน หันมาทำหนังที่แตกต่างไปจากเดิมทั้งด้านรูปแบบและวิธีการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำแบบดิจิตอลซึ่งต้นทุนถูกกว่าแต่ได้เนื้องานที่มีคุณภาพ และไม่ใช่หนังร้องเพลง-เต้นรำแบบเดิมๆ
หนังอย่าง In the Name of God ก็คือหนึ่งในผลผลิตของผู้สร้างหนังอิสระดังกล่าวนั่นเอง ซึ่งไม่เพียงทำให้วงการหนังปากีสถานกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่ยังทำในสิ่งที่หนังปากีสถานทำไม่ได้มาเนิ่นนาน นั่นคือเจาะตลาดนอกประเทศ รวมทั้งยุติช่องว่างกว่า 4 ทศวรรษในอินเดียได้สำเร็จ
ดูที่ตัวหนังกันบ้าง...หนังจับช่วงเวลาราว 2 ปี ระหว่างปี 2001-2002 เล่าถึงชะตากรรมของ 3 ตัวละครหลัก ได้แก่ แมนซูร และซาร์หมัด สองพี่น้องนักดนตรีในครอบครัวร่ำรวยซึ่งเปิดกว้างทางความคิดและให้อิสระแก่สมาชิก อีกคนคือ แมรี่ หรือมารียัม สาวมุสลิมปากีสถานที่เติบโตและมีสถานะเป็นพลเมืองอังกฤษ
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อซาร์หมัดถูกชักจูงจากเมาลานาตาฮิรีผู้เคร่งครัดและแนบแน่นกับกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน กระทั่งยอมเลิกเล่นดนตรีซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม เริ่มไว้หนวดเคราและสวมผ้าโพกหัว ช่วงเวลาเดียวกับที่พ่อของมารียัมซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของซาร์หมัดกำลังหาทางไม่ให้ลูกสาวมีความสัมพันธ์กับหนุ่มอังกฤษ เพราะเป็นเรื่องต้องห้ามที่หญิงมุสลิมจะแต่งงานกับชายนอกศาสนา เขาจึงพามารียัมมายังปากีสถานและขอให้ซาร์หมัดแต่งงานกับเธอโดยไม่ให้เธอรู้ถึงแผนการนี้
เมื่อได้คำแนะนำจากตาฮิรีว่าการยับยั้งไม่ให้หญิงมุสลิมแต่งงานกับชายนอกศาสนาเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ซาร์หมัดจึงยอมตกลง มารียัมถูกพามายังหมู่บ้านห่างไกลในเขตอัฟกานิสถานเพื่อให้ไม่สามารถหนีได้ ถูกบังคับให้เข้าพิธีแต่งงาน และต้องอาศัยอยู่ในดินแดนที่เธอไม่รู้จักคุ้นเคยไม่ว่าจะด้วยสภาพแวดล้อมหรือวิถีชีวิต ตาฮิรียังได้แนะว่าซาร์หมัดควรจะมีลูกไว้ผูกมัดมารียัมอีกทางหนึ่ง ซึ่งวิธีที่จะทำได้มีเพียงการขืนใจเท่านั้น
เมื่อสหรัฐเปิดฉากถล่มตาลีบัน ซาร์หมัดจำต้องร่วมสงครามศาสนาด้วย จากคนที่เคยถือเครื่องดนตรีร้องเพลงจึงกลายเป็นนักรบถือปืนและต้องปลิดชีวิตเพื่อนมนุษย์
ฝ่ายแมนซูรหลังจากน้องชายไม่ยอมเล่นดนตรีด้วยกัน เขาจึงเดินทางมาเรียนดนตรีในสหรัฐอเมริกา ได้พบรักและแต่งงานกับหญิงสาวผิวขาวร่วมชั้นเรียน กระทั่งเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ความเป็นมุสลิมทำให้แมนซูรตกเป็นผู้ต้องสงสัย เขาถูกจับตัวไปทรมานสารพัดเพื่อคาดคั้นว่าเกี่ยวข้องกับบิน ลาเดน อย่างไร
แม้จะต่างสถานการณ์ แต่ทั้งแมนซูร ซาร์หมัด และมารียัม ล้วนตกอยู่ในชะตากรรมไม่ต่างกันนัก
เห็นได้ว่าหนังผูกเรื่องอย่างชาญฉลาดบนความขัดแย้งที่ชาวมุสลิมในปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่ ทั้งจากการปฏิบัติตนในสังคมและสิ่งที่สังคมปฏิบัติต่อชาวมุสลิม ทั้งในสังคมอิสลามเองและในสังคมภายนอก เรื่องราวที่เป็นสากลทำให้คนนอกเข้าถึงได้ง่ายและสามารถจับแก่นสารได้ชัดเจนและหนักแน่น น่าติดตามตลอดความยาว 2 ชั่วโมง 47 นาที อาจจะมีจุดด้อยอยู่บ้างเรื่องความเป็นเหตุเป็นผลของเหตุการณ์จนเกิดข้อสงสัยระหว่างดูเป็นระยะ รวมถึงฉากในศาลช่วงท้ายที่ให้เมาลานาคนหนึ่งแสดงทรรศนะทางศาสนาเนิ่นนานกว่า 10 นาที กระทั่งดูว่าหนังจงใจสั่งสอนจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยเนื้อหาบางอย่างซึ่งค้านกับกฎหรือจารีตของศาสนาอิสลาม และให้ภาพด้านลบกับตัวละครผู้นำทางศาสนาคนหนึ่ง หนังจึงถูกต่อต้านจากฝ่ายมุสลิมเคร่งครัด ผู้กำกับฯ เชาอิบ แมนซูร ถูกขู่ให้หยุดฉายหนัง ฝ่ายเจ้าของโรงหนังต้องให้ผู้ชมเดินผ่านเครื่องจับโลหะตรงทางเข้าเพื่อป้องกันเหตุร้าย
แต่ขณะที่หนังถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายหนึ่งอยู่นั้น ว่ากันว่าประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ซึ่งได้ดูหนังเป็นการส่วนตัวกลับออกมาให้การรับรอง แถมยังมีคำสั่งรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้กำกับฯ
ไม่รู้ว่าเหตุที่มูชาร์ราฟชื่นชอบหนังเรื่องนี้เพราะติดใจภาพร้ายๆ แบบไร้เดียงสาของสหรัฐในหนังหรือเปล่า