Group Blog
 
 
มิถุนายน 2562
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
9 มิถุนายน 2562
 
All Blogs
 
ตอนที่ 6

อาจารย์กระบองเพชร ตอนที่ 6.1

บรูซยังคงสอนเราเรื่องพลังชีวิต เขาสร้างบทเรียนหลากหลายเพื่อให้เราได้สัมผัส จักระ ในรูปแบบต่างๆ การให้พลัง รับพลัง และมันก็ทำได้ง่ายๆ ด้วย

ถ้าคุณยืนอยู่ข้างๆ คนที่นอนหงาย แล้วเอาฝ่ามือไปอยู่เหนือลำตัวประมาณหนึ่งฟุต คุณจะรู้สึกว่ามีบางจุดที่ร้อน จุดเหล่านี้คือ จักระ บางครั้งจักระไม่ได้ส่งเป็นพลังความร้อนแต่รู้สึกได้เป็นลมโชยเย็นๆ แทน เหมือนมีพัดลมตัวเล็กๆ อยู่ที่จักระ

เพียงคุณทำตัวให้ผ่อนคลายคุณก็จะสัมผัสกับจักระได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งพิเศษลึกลับ หรือเป็นเรื่องของจิตวิญญาณแต่อย่างใด แค่ทำใจให้สงบเท่านั้น มันต้องนิ่งๆ เหมือนที่คุณจะสนด้ายเข้าเข็มนั่นแหละ

คนส่วนใหญ่พบว่ามือสองข้างไวต่อการสัมผัสพลังจักระไม่เท่ากัน และเมื่อทำไปแล้วมือจะชาไปสักพัก ซึ่งแก้โดยสะบัดข้อมือสองสามครั้งเหมือนคุณสลัดน้ำออกจากมืออย่างนั้น ความรู้สึกก็จะกลับมาเป็นปกติ และเนื่องจากโลหะรบกวนพลัง คุณควรจะให้เขาถอดเข็มขัดที่เป็นหัวเหล็กอันใหญ่ๆ ซึ่งจะรบกวนพลังจักระตำแหน่งที่ 2 หรือให้ถอดจี้โลหะที่อาจมีผลต่อจักระหัวใจ (น่าแปลกว่าเราออกแบบเครื่องประดับต่างๆ เพื่อซ่อนตำแหน่งจักระ เช่น มงกุฏ จี้ สร้อยคอ หัวเข็มขัด)

และผมก็สังเกตว่าทุกครั้งที่เราทดสอบกันเรื่องพลัง อากาศในห้องจะหนาหนัก ทุกคนจะรู้สึกเช่นนี้ มันเหมือนเรานั่งอยู่ห้องครัวที่กำลังอบขนมปัง มันมีความอิ่มใจอย่างนั้นเอง
เราพบว่าพลังเป็นเรื่องที่แตกต่างไปตามแต่ละบุคคล  ถ้าคนสองคนตรวจคนที่สาม เขาจะเห็นตรงกัน เช่นจักระที่สามร้อน อันที่สี่ย้ายตำแหน่ง อันที่ห้าเย็น และอื่นๆ คุณอาจตรวจแยกกัน แล้วจดบันทึกไว้ เผื่อว่าจะอยากลองเอามาเทียบกัน เพราะมันไม่ใช่เรื่องละเมอเพ้อพก แต่เห็นได้ชัดว่าพลังชีวิตนี้เป็นของที่มีอยู่จริง
คุณไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์เฉพาะถึงจะสัมผัสได้ หรือไม่จำเป็นต้องเป็นนักบุญวิปัสสนา และไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อก่อนด้วย เพียงคุณทำใจให้สงบแล้วเอามือไปไว้เหนือลำตัวของใครก็ได้ จะว่าไปแล้วเรื่องพลังชีวิตนี้เป็นเรื่องที่สัมผัสได้จริง คงทนถาวร และตรงไปตรงมา ถึงขนาดสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มพวกเรามักพูดว่า “ทำไมไม่เคยมีใครบอกเราเรื่องพวกนี้เลยนะ”

มันง่ายมากที่จะสัมผัสกับพลังชีวิต บรูซบอกว่าเราสามารถมองเห็นพลังด้วยซ้ำ วันหนึ่งเขาให้รมควันกระจกหน้าต่างจนดำพอสลัวๆ แล้วให้เราเอาผ้าสีน้ำเงินเข้มมาปูพื้นห้อง จากนั้นเอามือไปไว้เหนือผ้า แล้วหรี่ตามอง คุณจะเห็นพลังชีวิตได้ ที่นับว่าแปลกคือผมจำได้ว่าผมเคยเห็นอย่างนี้ตอนยังเด็ก แต่ไม่ได้ใส่ใจเพราะนึกว่าเป็นเพียงภาพลวงตา คุณจะเห็นพลังได้ง่ายบนพื้นสีเข้มในห้องที่มืดสลัว ซึ่งระดับความสลัวนี่แหละที่สำคัญ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องหรี่ตามอง
พลังจะพุ่งเป็นเส้นหมอกสีเหลืองออกจากปลายนิ้ว เส้นหมอกจะมีหนาแน่นตรงปลายนิ้วแล้วกระจายออกไป เหมือนคุณมีขนสีเหลืองอุยอยู่รอบนิ้ว

คุณต้องผ่อนคลายถึงจะมองเห็นพลังได้เหมือนกับที่จะรู้สึกได้ ถ้าคุณตื่นเต้นคุณจะยังไม่เห็นทันที มันดูลึกลับ แต่ก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ใช้ประสาทสัมผัส เมื่อคุณได้เห็นแล้วคุณก็จะรู้ว่าเป็นแบบไหนซึ่งง่ายแล้วล่ะที่จะเห็นอีกในครั้งต่อๆ ไป
ตอนแรกผมนึกว่าที่เห็นนั้นเป็นภาพลวงตา แต่คนอื่นก็มองเห็นพลังของเราและพูดถึงมันด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งลวงแน่
พอผมเห็นพลังแล้ว ผมก็ลองเล่นไปเรื่อย เป็นต้นว่าห่อฝ่ามือเข้าหากัน จะเห็นพลังเป็นลูกกลมสีเหลืองอยู่ตรงกลาง หรือว่านั่งหันหน้าหาอีกคนแล้วตั้งใจว่าจะส่งพลังไปให้
แล้วผมก็เห็นเส้นหมอกสีเหลืองพุ่งยาวจากปลายนิ้วออกไปยังหน้าอกของอีกคน แล้วคนที่อยู่ใกล้ๆ เราก็พูดว่า “ดูสิ มันพุ่งไปที่หน้าอกเลย”
สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับว่าพลังเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ
 
บรูซเอาไพ่ทาโรท์มาแจกพวกเราหลายสำรับ ผมค่อนข้างแอนตี้ไพ่ทำนายดวงชะตาที่มีมาแต่ยุคกลางนี้ และไม่อยากเชื่อเลยว่าแพทย์ที่เรียนวิทยาศาสตร์จะมาให้เราเสียเวลากับเรื่องหลงละเมอไร้สาระอย่างนี้ เอาละเห็นแก่ว่าบรูซได้แสดงให้เราได้ประจักษ์พลังชีวิตแล้ว ผมจะยอมฟังเขาว่าเรื่องไพ่อีกสักเรื่อง เขาบอกว่า “ให้ดูไพ่ทั้งสำรับแล้วเลือกใบที่ชอบมากที่สุด และที่ชอบน้อยที่สุดมาอย่างละใบ”

ผมชอบไพ่ดาบสามเล่มน้อยที่สุด และชอบไพ่ผู้วิเศษมากที่สุด ผมเลือกแบบตรงไปตรงมา เพราะไพ่บางใบจะดูดีน่าสนใจโดดเด่นกว่าใบอื่นๆ และบางใบก็ดูไม่ดีอย่างชัดแจ้ง ส่วนมากไพ่ที่แต่ละคนเลือกก็จะหลากหลายออกไป แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะคาดเดาไม่ได้เสียทีเดียว คือคนที่เลือกไพ่ความตาย หรือไพ่คนถูกแขวนคอ เป็นไพ่ที่ชอบมากที่สุดก็คงจะเป็นคนที่ประหลาดเอามากๆ เหมือนคนที่เลือกไพ่คู่รัก หรือ ไพ่ถ้วยทองสิบอัน ว่าเป็นไพ่ที่ไม่ชอบที่สุดนั่นแหละ ผมจึงไม่คิดว่าการเลือกไพ่จะแสดงทางเลือกของแต่ละคนได้มากนัก

บรูซกล่าวว่า “เอาละ ตอนนี้ให้สมมติว่าไพ่ใบที่คุณชอบน้อยที่สุดเป็นไพ่คุณชอบมากที่สุด แล้วให้พูดด้านดีของไพ่ใบนี้ และพูดด้านไม่ดีของไพ่อีกใบ”
ผมพบว่าผมสลับความรู้สึกไม่ได้

ไพ่ดาบสามเล่ม มีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง ถูกแทงด้วยดาบสามเล่ม มีเมฆพายุ และฝนสีเทาเป็นพื้น ผมไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานและหัวใจสลาย ผมไม่สามารถสร้างความรู้สึกว่านี่เป็นไพ่ที่ดีได้

คนที่นั่งรอบข้างผมต้องช่วยแนะนำ บ้างก็ว่ามันไม่มีเลือดนะ แสดงว่าเป็นการกระทำที่เฉียบขาด บ้างก็ว่าเป็นไพ่ที่แสดงความเด็ดขาดนะเพราะตัดตรงเข้าหัวใจของเรื่องนั้นๆ แล้วฝนก็เป็นการชำระล้าง ดาบสามเล่มแทงหัวใจอย่างมีสมดุล ทุกเล่มแทงเข้าที่จุดกลางหัวใจ ดาบจัดวางเป็นสามขาที่มั่นคง ไพ่แสดงถึงการมีจุดจบ ความสิ้นสุด พายุจะพัดผ่านไปในที่สุด ทั้งหมดนี้คือใช้เหตุผลมาอยู่เหนืออารมณ์ ซึ่งก็ทำให้เราหาข้อดีของมันได้

ทั้งที่ตอนแรกผมคิดว่าคงจะตกม้าตายในบทนี้เสียแล้ว ตอนนี้ผมกำลังมองหาข้อเสียของไพ่ผู้วิเศษ ซึ่งในรูปภาพจะเป็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่หน้าสิ่งของต่างๆ ชูไม้วิเศษขึ้นอย่างมั่นใจ มีสัญลักษณ์ไม่มีที่สิ้นสุด ลอยอยู่เหนือศรีษะ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี  มีพลังอำนาจ

แต่ผมไม่สามารถมองให้เห็นต่างออกไปจากนี้ ผมนึกหาข้อเสียไม่ออก แล้วคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ต้องช่วยผมอีก เช่นว่า ผู้วิเศษดูเด็กและไม่จริงจังนะ ดูเป็นคนชอบอวดและตุกติกนะ ดูเขาสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ขี้โอ่และไม่จริงใจนะ ชุดสีขาวที่เขาใส่ดูดีไม่มีที่ติเลยแสดงว่าเขาไม่ได้ทำงานอะไรจริงๆ คงจะใช้เวทมนตร์คาถาเสกตลอด ไม้วิเศษดูเป็นแค่เทียนที่เผาทั้งสองปลายแสดงว่าเขาน่าจะเป็นคนเหลวไหล สัญลักษณ์ไม่มีที่สิ้นสุดน่าจะแสดงว่าเขาไม่เคยจบเรื่องอะไรได้ โดยรวมแล้วสรุปว่าผู้วิเศษ หรือนักมายากลนี้เป็นคนลวงโลก

พอได้ยินที่เขาว่ามาก็ให้แปลกใจว่าทำไมเราเห็นว่าไพ่ใบนี้เป็นไพ่ที่ดีนะ เพราะมีที่ให้ติอยู่ตั้งหลายอย่าง
บรูซอธิบายว่านี่เป็นการแสดงให้เห็นคุณค่าของการพิจารณาไพ่ หรือช่วงต่างๆ ของชีวิต จากมุมมองทุกด้าน การจะบอกว่าสิ่งใดดีหรือเลวนั้นไม่ได้ความว่าสิ่งนั้นมีแต่สิ่งดี หรือ สิ่งเลวแต่เพียงอย่างเดียว เขาบอกว่าการที่เรายึดความรู้สึกของเราต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ทำให้เรากลายเป็นคนที่ยอมหักไม่ยอมงอ

อาจารย์กระบองเพชร ตอนที่ 6.2

บรูซเอาไพ่ทาโรท์มาแจกพวกเราหลายสำรับ ผมค่อนข้างแอนตี้ไพ่ทำนายดวงชะตาที่มีมาแต่ยุคกลางนี้ และไม่อยากเชื่อเลยว่าแพทย์ที่เรียนวิทยาศาสตร์จะมาให้เราเสียเวลากับเรื่องหลงละเมอไร้สาระอย่างนี้ เอาละเห็นแก่ว่าบรูซได้แสดงให้เราได้ประจักษ์พลังชีวิตแล้ว ผมจะยอมฟังเขาว่าเรื่องไพ่อีกสักเรื่อง เขาบอกว่า “ให้ดูไพ่ทั้งสำรับแล้วเลือกใบที่ชอบมากที่สุด และที่ชอบน้อยที่สุดมาอย่างละใบ”

ผมชอบไพ่ดาบสามเล่มน้อยที่สุด และชอบไพ่ผู้วิเศษมากที่สุด ผมเลือกแบบตรงไปตรงมา เพราะไพ่บางใบจะดูดีน่าสนใจโดดเด่นกว่าใบอื่นๆ และบางใบก็ดูไม่ดีอย่างชัดแจ้ง ส่วนมากไพ่ที่แต่ละคนเลือกก็จะหลากหลายออกไป แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะคาดเดาไม่ได้เสียทีเดียว คือคนที่เลือกไพ่ความตาย หรือไพ่คนถูกแขวนคอ เป็นไพ่ที่ชอบมากที่สุดก็คงจะเป็นคนที่ประหลาดเอามากๆ เหมือนคนที่เลือกไพ่คู่รัก หรือ ไพ่ถ้วยทองสิบอัน ว่าเป็นไพ่ที่ไม่ชอบที่สุดนั่นแหละ ผมจึงไม่คิดว่าการเลือกไพ่จะแสดงทางเลือกของแต่ละคนได้มากนัก

บรูซกล่าวว่า “เอาละ ตอนนี้ให้สมมติว่าไพ่ใบที่คุณชอบน้อยที่สุดเป็นไพ่คุณชอบมากที่สุด แล้วให้พูดด้านดีของไพ่ใบนี้ และพูดด้านไม่ดีของไพ่อีกใบ”
ผมพบว่าผมสลับความรู้สึกไม่ได้

ไพ่ดาบสามเล่ม มีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง ถูกแทงด้วยดาบสามเล่ม มีเมฆพายุ และฝนสีเทาเป็นพื้น ผมไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานและหัวใจสลาย ผมไม่สามารถสร้างความรู้สึกว่านี่เป็นไพ่ที่ดีได้

คนที่นั่งรอบข้างผมต้องช่วยแนะนำ บ้างก็ว่ามันไม่มีเลือดนะ แสดงว่าเป็นการกระทำที่เฉียบขาด บ้างก็ว่าเป็นไพ่ที่แสดงความเด็ดขาดนะเพราะตัดตรงเข้าหัวใจของเรื่องนั้นๆ แล้วฝนก็เป็นการชำระล้าง ดาบสามเล่มแทงหัวใจอย่างมีสมดุล ทุกเล่มแทงเข้าที่จุดกลางหัวใจ ดาบจัดวางเป็นสามขาที่มั่นคง ไพ่แสดงถึงการมีจุดจบ ความสิ้นสุด พายุจะพัดผ่านไปในที่สุด ทั้งหมดนี้คือใช้เหตุผลมาอยู่เหนืออารมณ์ ซึ่งก็ทำให้เราหาข้อดีของมันได้

ทั้งที่ตอนแรกผมคิดว่าคงจะตกม้าตายในบทนี้เสียแล้ว ตอนนี้ผมกำลังมองหาข้อเสียของไพ่ผู้วิเศษ ซึ่งในรูปภาพจะเป็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่หน้าสิ่งของต่างๆ ชูไม้วิเศษขึ้นอย่างมั่นใจ มีสัญลักษณ์ไม่มีที่สิ้นสุด ลอยอยู่เหนือศรีษะ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี  มีพลังอำนาจ

แต่ผมไม่สามารถมองให้เห็นต่างออกไปจากนี้ ผมนึกหาข้อเสียไม่ออก แล้วคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ต้องช่วยผมอีก เช่นว่า ผู้วิเศษดูเด็กและไม่จริงจังนะ ดูเป็นคนชอบอวดและตุกติกนะ ดูเขาสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ขี้โอ่และไม่จริงใจนะ ชุดสีขาวที่เขาใส่ดูดีไม่มีที่ติเลยแสดงว่าเขาไม่ได้ทำงานอะไรจริงๆ คงจะใช้เวทมนตร์คาถาเสกตลอด ไม้วิเศษดูเป็นแค่เทียนที่เผาทั้งสองปลายแสดงว่าเขาน่าจะเป็นคนเหลวไหล สัญลักษณ์ไม่มีที่สิ้นสุดน่าจะแสดงว่าเขาไม่เคยจบเรื่องอะไรได้ โดยรวมแล้วสรุปว่าผู้วิเศษ หรือนักมายากลนี้เป็นคนลวงโลก

พอได้ยินที่เขาว่ามาก็ให้แปลกใจว่าทำไมเราเห็นว่าไพ่ใบนี้เป็นไพ่ที่ดีนะ เพราะมีที่ให้ติอยู่ตั้งหลายอย่าง
บรูซอธิบายว่านี่เป็นการแสดงให้เห็นคุณค่าของการพิจารณาไพ่ หรือช่วงต่างๆ ของชีวิต จากมุมมองทุกด้าน การจะบอกว่าสิ่งใดดีหรือเลวนั้นไม่ได้ความว่าสิ่งนั้นมีแต่สิ่งดี หรือ สิ่งเลวแต่เพียงอย่างเดียว เขาบอกว่าการที่เรายึดความรู้สึกของเราต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ทำให้เรากลายเป็นคนที่ยอมหักไม่ยอมงอ

เขาบอกว่าที่เขาใช้ไพ่ทาโรท์ก็เพราะเราจะสำรวจไพ่โดยใช้จิตใต้สำนึก เนื่องจากไพ่เหล่านี้ไม่มีใบไหนที่ดีหรือเลว แต่ความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นไพ่ต่างหากที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกของเราว่ามีความรู้สึกต่อไพ่ใบนั้นอย่างไร
นี่ทำให้ผมเห็นด้วยอย่างมาก เพราะการกระทำของเราโดยมากมาจากจิตใต้สำนึก ไม่ใช่จากจิตรู้สำนึก ดังนั้นเมื่อเราดูไพ่ด้วยจิตใต้สำนึก ก็จะเป็นการยกสำนึกรู้ที่มีอยู่ทั้งหมดตอนนั้นให้แก่จิตใต้สำนึกตัดสิน และถ้าคุณคิดว่าคุณจะหยั่งรู้อนาคตได้ด้วยจิตใต้สำนึก ซึ่งแน่นอนมีหลายคนที่หยั่งรู้อนาคตได้ ถึงตอนนั้นไพ่ทาโรท์จะช่วยให้จิตใต้สำนึกของคุณมีบทบาทโดดเด่นออกมา และถ้าคุณคิดว่าจิตใต้สำนึกมีผลต่อจิตใจเป็นอันดับต้นๆ แล้ว ไพ่ทาโรท์ก็จะเป็นเหมือนอุปกรณ์ที่พาคุณเข้าถึงจิตใจส่วนลึกได้

เนื่องจากไพ่ทาโรท์ทำงานโดยติดต่อกับจิตใต้สำนึก จึงไม่มีข้อแตกต่างว่าคุณกำหนดให้คำถามเป็นเช่นไร เช่นถ้าคุณบอกว่า “ไพ่ใบต่อไปที่ผมจะดึงออกมาจะบอกความรู้สึกของผมในอนาคต” ดังนั้นเมื่อหยิบไพ่ออกมาจิตใต้สำนึกก็จะแปลความหมายให้ตอบโจทย์ที่ตั้งขึ้น

แล้วผมก็ยอมรับการดูไพ่ทาโรท์ และก็อบรมเรื่องไพ่ต่อไปตามหน้าที่ แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่ชอบการดูไพ่อยู่ดี ไพ่ทาโรท์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นความฝันของคนอื่น
จากนั้น บรูซ ก็พูดถึง ไอ ชิง มันเป็นวิธีทำนายแบบจีนที่คุณโยนเหรียญสามอัน จำนวนหกครั้ง นำตัวเลขมาคำนวณ แล้วดูคำทำนายจากคู่มือ
ขั้นตอนดูเป็นวิชาคำนวณและไม่ซับซ้อน แล้วพอไปอ่านคำทำนาย ก็จะพบว่าไม่ได้บอกอะไรมากนัก เช่น “จะมีผู้ส่งเสริมสนับสนุนเต็มที่ ขนาดเต่าสิบตัวก็ต้านไม่ได้” หรือ “จะต้องซ่อมบ่อก่อนที่จะปล่อยน้ำเข้าไป” มันยากที่จะเข้าใจได้ว่าทำนายว่าอะไร

ทั้งที่มีข้อเสียเช่นนี้ ผมกลับสนใจ ไอ ชิง ตอนแรกผมคิดว่าผมชอบ ไอ ชิง เพราะการคำนวณทำให้ผมสนุกกว่าการทำนายด้วยวิธีอื่นๆ แต่ตอนหลังผมพบว่า ที่ผมชอบก็ที่คำที่ทำนายนี่แหละ และผมยังพบอีกว่าผมสนุกกับการอ่านตำราทำนาย เปิดหาคำทำนาย ท้ายที่สุดผมสรุปว่าทำนายได้ถูกต้องด้วย
แน่นอนหลักการทำนายของ ไอ ชิง ก็เหมือนกับการทำนายโดยใช้ไพ่ทาโรท์ คือให้สิ่งกระตุ้นที่แปลความหมายได้หลายทางแก่จิตใต้สำนึก เพราะคำทำนายในตำราของ ไอ ชิง ก็กำกวมพอๆ กับรูปภาพในไพ่ทาโรท์

ในสมัยก่อน ไอ ชิง ถูกวิจารณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า คำทำนายแบบนี้ “จะตีความหมายไปในทางใดก็ได้” ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าถูกต้องแล้ว เพราะถ้าคำทำนายชัดเจนไปในทางใดทางหนึ่ง จิตใต้สำนึกก็จะไม่มีบทบาท การทำนายก็จะเป็นไปโดยจิตรู้สำนึก แล้วก็จะเกิดปัญหาว่าคำทำนายไม่แม่น เพราะตำราจีนที่อายุ สองพันห้าร้อยปี จะตอบคำถามของคนตะวันตกในยุคปัจจุบันได้อย่างไร แค่คิดก็ไม่เข้าท่าแล้ว

เนื่องจากหนังสือไม่สามารถบอกคำตอบได้ หนังสือไม่มีอำนาจวิเศษ ในขณะที่คุณมีคำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่หาวิธีไปเจอคำตอบเท่านั้น และในที่สุดจิตใต้สำนึกของคุณก็จะเป็นผู้ตอบคำถามให้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมคนหลายคนรวมถึง คาร์ล จุง และ จอห์น บโลฟิลด์ บัณฑิตจากจีน ถึงได้ติดใจคำทำนายที่ มีลักษณะเฉพาะตัวอย่างนี้

จุดประสงค์ของ ไอ ชิง หรือ ไพ่ทาโรท์ ก็ตาม เป็นการช่วยให้คุณเข้าถึงตัวคุณเอง โดยใช้สิ่งที่ตีความไปได้หลายทางมาเป็นสื่อ แล้วคุณก็เลือกคำตอบเองโดยใช้จิตใต้สำนึก แล้วสิ่งที่นำมาใช้เป็นสื่อนี้ก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการทอดลูกเต๋า หรือลักษณะลมฟ้าอากาศ หรือเหตุอาเพธต่างๆ ลักษณะการบินของนก ที่คนอาจเห็นเป็นลาง หรืออาจเห็นว่าไม่มีความหมายก็ได้
สิ่งเดียวที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์การทำนายแบบนี้ได้ก็คือ เหตุใดจึงทำนายได้แม่นยำนัก
 
พอใกล้จะครบเวลาสองอาทิตย์ ผมก็เริ่มคิดเรื่องจะได้กลับบ้าน และไม่ใช่แต่ผมเท่านั้นที่คิดเรื่องนี้ มีอีกหลายคนที่คิดว่าเราจะทำอะไรเมื่อกลับถึงบ้าน
โดยส่วนตัวแล้ว ผมนึกอยากทาน บิ๊กแม็ค นึกไปว่าทันทีที่จบการอบรม ขณะที่ขับรถกลับบ้านจะแวะซื้อแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ๆ น่าขยะแขยง ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่มีจิตวิญญาณ เสียหน่อย
แทบจะรอไม่ได้เลยทีเดียว
 
ในวันสุดท้าย ผมแวะไปอำลากระบองเพชร เขานั่งอยู่ที่นั่น และไม่พูดกับผม แต่ผมบอกเขาไปว่า ผมขอบคุณที่เขาสอนผม และผมก็มีความสุขที่ได้ใช้เวลาร่วมกับเขา ซึ่งอันนี้ไม่ค่อยจริงนัก เพราะบ่อยครั้งที่ผมรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อคิดแล้วก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง กระบองเพชรไม่ได้ตอบแต่อย่างใด
แล้วผมก็สังเกตขึ้นมาได้ว่าตำแหน่งที่กระบองเพชรอยู่ ไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้ เขาอยู่ที่ตรงนี้มานานหลายปีและหมดสิ้นโอกาสที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ตกดินไปชั่วชีวิต แล้วผมก็ร้องไห้ออกมา
พลันกระบองเพชรก็เอ่ยขึ้นว่า “ฉันดีใจนะที่เราได้รู้จักกัน”
ผมเลยร้องไห้ต่อเป็นวรรคเป็นเวร
 
ขณะขับรถกลับบ้าน ผมไม่ผ่านร้านแมคโดนัลด์เลย สุดท้ายมาเจอร้านแมรี่ คอลเลนเดอร์ ผมเข้าไปในร้านแล้วสั่ง เบอร์เกอร์รสเผ็ด มันฝรั่งทอด โค้กกับพายอีกหนึ่งชิ้น แต่พอได้ตามที่สั่ง มันกลับดูเลี่ยนและหนักมากเกินไป สุดท้ายผมกินไม่หมดและพบว่าไม่ได้อยากกินอาหารแบบนี้เลย

เมื่อถึงบ้านผมถึงกับตะลึงเมื่อเห็นบ้านที่อยู่ว่าสวยขนาดไหน มันอยู่บนชายหาดมาลิบู แต่ผมเลิกดูวิวไปนานแล้ว และยังมัวแต่ไปบ่นกับการจราจรที่ติดขัดแทน ตอนนี้ที่ผมทึ่งคือผมมีบ้านอยู่ในสถานที่ตากอากาศที่แสนงดงาม

ครั้นไปที่ทำงาน พอผมเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือบนจอก็ติดดับๆ สลับกัน เหมือนไฟกระพริบ ผมก็นึกว่าคอมพิวเตอร์เสีย พลันก็นึกออกว่าว่าผมเห็นการกระพริบของจอภาพ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ แต่ปกติเราจะไม่สังเกตเห็น เหมือนกับที่เราไม่รู้สึกว่าหลอดไฟกระพริบหกสิบครั้งต่อนาที ผมดูที่จอแล้วก็รู้ว่านี่เป็นประสาทสัมผัสที่ละเอียดมาก แต่ก็สงสัยอยู่ว่าแล้วจะทำงานได้ยังไง

ต่อมาผมจึงทราบว่าประสาทสัมผัสที่ละเอียดขึ้นนี้มักพบหลังจากการทำสมาธิอย่างต่อเนื่องแล้วอีกสองสามวันก็หายไป
ผมรู้สึกมีชีวิตชีวามากอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แต่แล้วก็ค่อยๆ จางหายไป เหมือนเวลาที่เราไปพักร้อนแล้วความสนุกค่อยลืมเลือนไป ผมรู้สึกไม่ดีเลย รู้สึกว่าเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนถาวร ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งที่พลังก็เป็นเรื่องจริง ทำสมาธิก็เป็นเรื่องจริง แต่มันจะดีได้ยังไงในเมื่อมันไม่สามารถคงอยู่กับเราต่อไปในชีวิตประจำวันได้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ก็แค่สิ่งลวงตาอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นค่ายฤดูร้อนสำหรับผู้ใหญ่ มีเรื่องเก๋ๆ ชวนให้ตื่นเต้น

ต่อจากนี้อีกระยะหนึ่งมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แฟนสาวที่คบมาสองปีก็มีอันต้องเลิกกันไป งานไม่เป็นที่น่าพอใจ ผมอยากย้ายที่ทำงาน เลขาขอให้ไล่เธอออก ผมทำตามที่เธอขอ
จากนั้นไม่นาน ผมมองย้อนกลับไปและพบว่าภายในเวลา แปดเดือน ที่กลับจากทะเลทราย ผมเปลี่ยนแฟน ที่พัก ที่ทำงาน อาหารการกิน นิสัยต่างๆ ความสนใจ การออกกำลังกาย เป้าหมายชีวิต รวมแล้วก็คือเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตที่เปลี่ยนได้  ทั้งหมดนี้เปลี่ยนอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันรู้สึกตัว
ยังมีอีกอย่างที่ผมเปลี่ยนไป ผมเกิดชอบกระบองเพชรขึ้นมาอย่างจริงจัง และมักหาซื้อมาปลูกในทุกๆ แห่งที่ผมอยู่

จบค่ะ


Create Date : 09 มิถุนายน 2562
Last Update : 9 มิถุนายน 2562 13:02:35 น. 0 comments
Counter : 607 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

พวงแสด ลำปาง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add พวงแสด ลำปาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.