1. อาการไข้หวัดและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หญิงวัย 42 ไปพบแพทย์ด้วยอาการไข้หวัดและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หลังกินยารักษาอาการติดเชื้อที่หมอจัดให้อาการก็ดีขึ้น ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เธอปวดบริเวณเหงือกและมีเลือดออกตามไรฟัน แต่คิดว่าคงเป็นอาการปวดจากฟันคุดจึงไปพบทันตแพทย์ หลังผ่าตัดฟันคุด ทันตแพทย์สงสัยลักษณะผิดปกติบริเวณเหงือก จึงตัดชิ้นเนื้อดังกล่าวส่งไปตรวจและแนะนำให้คนไข้ตรวจเลือดด้วย วันต่อมา หมอแจ้งให้เธอรีบไปตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันทีเนื่องจากผลการตรวจชิ้นเนื้อ ยืนยันว่าเธอเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตบางคนรีบไปพบแพทย์ทันทีที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย แต่คนจำนวนมากกลับเพิกเฉยไม่สนใจเนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์อายหรือกลัวหมอ แม้เลือดออกตามไรฟันจะเป็นอาการเบื้องต้นของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่พบไม่บ่อยนัก แต่คนส่วนใหญ่ก็มักมองข้ามอาการอื่นที่พบบ่อยกว่าอยู่เสมอ
2. เจ็บหน้าอก "เดี๋ยวก็หายเอง"
ผู้ป่วยหลายคนมักกล่าวเช่นนี้เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกโดยหารู้ไม่ว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ปี 2542 คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 42,288 คน ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิดรวมกัน (36,091 คน) เมื่อรู้สึกเจ็บหน้าอก คนทั่วไปมักคิดว่าเป็นเพราะอาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นขณะออกกำลัง ผู้ป่วยโรคหัวใจมักบรรยายลักษณะอาการเจ็บหน้าอกว่ารู้สึกอึดอัดแน่นคล้ายโดนบีบหรือเจ็บแปลบหน้าอก บางครั้งอาการเจ็บลามไปที่ขากรรไกร คอ หลัง หรือแขน บางรายมีอาการหายใจตื้น เหงื่อออก หรือคลื่นไส้ร่วมด้วย ผู้ที่มีน้ำหนักเกินระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือเบาหวานมีโอกาสเกิดโรคได้รุนแรงกว่าดังนั้น แม้เริ่มเจ็บหน้าอกเพียงเล็กน้อยก็ควรรีบไปพบแพทย์ หากเจ็บหน้าอกนานต่อเนื่องหลายนาทีควรตามรถพยาบาลฉุกเฉิน อย่าขับรถไปโรงพยาบาลด้วยตนเองเพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้
3. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
สมรรถภาพทางเพศเป็นประเด็นที่แพทย์มักละเลยไม่ถามถึงเมื่อมีการตรวจร่างกาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะรีบร้อนหรือผู้ป่วยไม่สะดวกใจหากต้องปรึกษาปัญหาทางเพศกับแพทย์ ปัญหานี้เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการใช้ยาคลายความซึมเศร้าและยาลดความดันโลหิต "การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหลายชนิด" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็น "การหมดความต้องการทางเพศทั้งในผู้ชายและผู้หญิง หรือภาวะองคชาตไม่แข็งตัวอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์ โรคซึมเศร้า และเนื้องอกบางชนิด" งานวิจัยล่าสุดพบว่า ภาวะองคชาตไม่แข็งตัวเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ดีว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคหัวใจระยะเริ่มต้น 4. การนอนหลับผิดปกติ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการนอนไม่หลับหรือหลับมากผิดปกติเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนซึ่งมีภาระหน้าที่มาก ความจริงแล้ว ลักษณะการนอนที่เปลี่ยนแปลงไปอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า บางคนมีโรคซึมเศร้าแอบแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว ผู้ป่วยจึงไม่แสดงอาการผิดปกติและไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นโรค ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมา เช่น ครอบครัวหรือหน้าที่การงานล้มเหลว ติดสุราหรือสารเสพย์ติด เป็นโรคหัวใจ หรืออาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย "แม้แต่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยก็ยังมองว่าการนอนเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ หมอจึงมักถามคนไข้ว่านอนหลับดีหรือไม่" แพทย์อธิบาย "คำถามนี้ช่วยให้วินิจฉัยคนไข้โรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลได้ดีขึ้น" การนอนหลับที่ผิดปกติส่งผลให้เกิดความเครียด ติดสุราหรือกาแฟ บางครั้งอาจเป็นอาการของโรคบางชนิด เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคไต หรือโรคเบาหวาน ผู้ที่ต้องนอนหนุนหมอนสูงๆจึงจะหลับได้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ เพราะการนอนในท่านั้นทำให้เลือดไหลเวียนไปที่เท้ามากขึ้น ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ปวดศีรษะ คลื่นไส้ วิงเวียน ผื่นตามร่างกาย หายใจไม่สะดวก ฯลฯ เหล่านี้อาจเป็นอาการของโรคหลายชนิด แต่คนส่วนใหญ่มักคิดไม่ถึงว่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา เมื่อคุณเริ่มใช้ยาชนิดใหม่และมีอาการข้างเคียงควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีและหากจะพบแพทย์ครั้งต่อไป จดรายชื่อยาทุกชนิดรวมถึงสมุนไพรที่คุณใช้เป็นประจำแนบไปด้วยเพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบ
5. การขับถ่ายผิดปกติ
"การขับถ่ายอุจจาระของแต่ละคนมีความสม่ำเสมอแตกต่างกันบางคนถ่ายวันละครั้ง บางคนบ่อยกว่า บางคนห่างกว่าซึ่งล้วนแต่ปกติทั้งสิ้น" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าว "หากการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไปจากปกติหรือไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เช่นเดียวกับอาการถ่ายมีเลือดปนหรืออาการปวดท้อง" บางครั้งโรคทางจิตเวชเช่นโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลก็อาจทำให้การขับถ่ายผิดปกติได้เช่นกัน ระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วยอาจผิดปกติ เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง ฯลฯ กลุ่มอาการดังกล่าวเรียกโดยรวมว่า โรคเครียดลงลำไส้ (irritable bowel syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางจิตใจ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งก่อนออกจากบ้านจะต้องตรวจดูเตาแก๊สและประตูว่าปิดสนิทดี หรือยังไม่ต่ำกว่า 15 ถึง 20 ครั้งเธอไปพบแพทย์เนื่องจากมีอาการอึดอัดในท้องทั้งที่จริงๆ แล้วมีปัญหาทางจิต สำคัญกว่านั่นคือโรคย้ำคิดย้ำทำ
6. ความเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง
ผู้ป่วยรายหนึ่งไปพบแพทย์ด้วยปัญหาก้อนเนื้อบริเวณขาซึ่งกลายเป็นถุงน้ำ ผู้ป่วยรายนี้มีปานดำอยู่ก่อนแล้ว แพทย์จึงขอตรวจดูผิวหนังทั้งตัว "ตอนแรกผู้ป่วยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมถอดเสื้อผ้าแต่พอทราบถึงความจำเป็นในการตรวจก็เข้าใจ" หมอเล่า หมอตรวจพบปานสีน้ำตาลขอบไม่ชัดบริเวณหัวไหล่ซึ่งผู้ป่วยทราบอยู่แล้วและ คิดว่าเป็นปานปกติ แต่หมอขอตัดชิ้นเนื้อไปเพื่อตรวจหามะเร็งผิวหนัง มะเร็งผิวหนังเป็นมะเร็งที่พบบ่อยประเภทหนึ่ง "เมลาโนมา" คือปานดำที่กลายเป็นมะเร็งได้ และตรวจพบประมาณร้อยละสี่ของมะเร็งทั้งหมดแต่มีความรุนแรงสูง ร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งผิวหนังเกิดจากเมลาโนมา ระหว่างปี 2516 ถึง 2540 จำนวนผู้ป่วยเมลาโนมารายใหม่ที่ตรวจพบในแต่ละปีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า เมลาโนมามีทางรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งมะเร็งยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ผลการตรวจชิ้นเนื้อของคนไข้รายนี้พบว่าเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงน้อยกว่าเมลาโนมา ดังนั้น ทุกคนจึงควรตรวจดูร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าไฝหรือปานมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือสีเปลี่ยนไปควรปรึกษาแพทย์ทันที หรือให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจผิวหนังทั้งร่างกายปีละครั้ง ความอายและความกลัวเป็นปัญหาใหญ่พอๆกับการละเลยไม่ใส่ใจอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น "การกลัวหมอ" หรือ "กลัวที่จะรู้ความจริง" ทำให้หลายคนไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีแพทย์ส่วนใหญ่รู้จักความกลัวประเภทนี้ดี แพทย์คนหนึ่งกล่าวว่า "หลังตรวจเสร็จและกำลังจะเปิดประตูออกไปคนไข้จำนวนไม่น้อยมักนึกอะไรขึ้นได้และกล่าวว่า "อ้อ อีกอย่างค่ะหมอ" "อาการอีกอย่างที่ว่านี้มักร้ายแรงกว่าอาการที่นำพาคนไข้ให้ไปพบแพทย์" คนไข้จำนวนมากเข้าข่ายนี้ จิตแพทย์คนหนึ่งให้ความเห็นว่า "พฤติกรรมของผู้ป่วยมักสะท้อนถึงความกังวล ความกระวนกระวายใจหรือความกลัวที่มีต่ออาการเจ็บป่วย" ผู้ป่วยหลายคนพยายามสร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นเองเพื่ออธิบายความเจ็บป่วยของตน วิธีนี้ไม่ช่วยให้เข้าใจอาการเจ็บป่วยหรือลดความกลัวลงได้ วิทยาการในปัจจุบันสามารถรักษาโรคร้ายต่างๆให้หายขาดได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อสิบปีก่อน โดยเฉพาะหากได้รับการรักษาตั้งแต่แรก ดังนั้น ทุกครั้งที่ไปพบแพทย์จงกล้าพูด อย่ากลัว และไม่ต้องรีบร้อน เตรียมจดคำถามหรือหัวข้อที่ต้องการปรึกษาแพทย์ไว้ล่วงหน้า เรื่องสำคัญที่สุดควรจัดไว้เป็นหัวข้อแรก แพทย์หลายคนมีความเห็นตรงกันว่าอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นทุกชนิดล้วนมีความสำคัญ แพทย์คนหนึ่งกล่าวว่า "คนส่วนใหญ่มักละเลยอาการเจ็บป่วยที่ตนเห็นว่าไม่สำคัญ แต่คนไข้ไม่ควรตัดสินใจด้วยตนเองว่าอาการเจ็บป่วยใดสำคัญหรือไม่" การกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ต้องการให้ทุกคนตีตนไปก่อนไข้ แต่อยากให้มีสติในการไตร่ตรองและไม่มองข้ามเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น หากคุณสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของร่างกายในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยดีกว่ารอให้อาการลุกลามยิ่งขึ้น กรณีของผู้ป่วยหญิงวัย 42 ที่กล่าวข้างต้นนั้น เธอไม่ได้ละเลยกับอาการเล็กน้อย เช่น เลือดออกตามไรฟัน แพทย์จึงวินิจฉัยพบโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวตั้งแต่ระยะต้น หกปีต่อมา หลังได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก เธอยังมีสุขภาพแข็งแรง และเป็นหนึ่งในจำนวนร้อยละ 20 ถึง 30 ของคนไข้โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ใหญ่ที่มีช่วงปลอดโรคเป็นระยะเวลานาน เธอประทับใจหมอที่ดูแลเป็นอย่างดีและไม่ได้รักษาเพียงอาการเล็กน้อยที่ ปรากฏ หากยังมองเห็นโรคร้ายที่แอบแฝงอยู่ด้วย
|