|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
พลังของท้องว่าง
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่ผมได้แปลให้เจ้านาย คิดว่าพอแบ่งปันให้เพื่อน ๆได้อ่านบ้าง เผื่อจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย ถือเสียว่าอ่านสนุก ๆ เพราะการแปลเนี่ยผมก็ไม่ถนัดเท่าไรนัก ยังอยู่ในขั้นฝึกหัด โปรดชี้แนะด้วยครับ พลังของท้องว่าง ๑. คำนำ กล่าวกันว่า ปิรามิดที่ก่อสร้างมานานกว่า 6000 ปีในประเทศอียิปต์ มีข้อความจารึกไว้ว่า มนุษย์ใช้ 1 ใน 4 ของอาหารมาประทังชีวิต ที่เหลืออีก 3 ใน 4 ใช้เพื่อดำรงชีพของแพทย์ ๒. แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพ 1. พลังท้องว่าง( 空腹力)สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น ภูมิคุ้มกัน หมายถึง ความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อทำหน้าที่กำจัดหรือควบคุมไม่ให้เชื้อโรคเพิ่มจำนวนลุกลามจนทำให้เราเจ็บป่วย เมื่อเรารับประทานอาหารจนอิ่ม สารอาหารในเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวก็อิ่มด้วย เมื่อมีเชื้อโรคมารุกราน เม็ดเลือดขาวก็จะไม่มีกำลังพอที่จะกัดกินเชื้อโรค ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อเรากินอิ่มเกินไป ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอ ตรงกันข้าม ช่วงเวลาที่หิว เม็ดเลือดขาวก็หิวด้วย เมื่อมีเชื้อโรคมารุกรานหรือเกิดเซลล์มะเร็ง เม็ดเลือดขาวก็จะไปกัดกินหรือทำลายพวกมัน หมายถึงมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ยามที่เราเจ็บป่วยจะรู้สึกเบื่ออาหาร นี่คือปฏิกิริยาโดยธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ จุดประสงค์เพื่อสร้างเม็ดเลือดขาวให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น( เม็ดเลือดขาวมีความแข็งแรง กระฉับกระเฉงว่องไวในอุณหภูมิที่ 37~ 40 C ) 2. การทำงานของร่างกายเมื่ออดอาหาร (1) ของเสียที่สะสมอยู่ภายในร่างกายจะถูกขับออกมาตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อถึงเวลาอดอาหาร ( Fasting ) ปากมีกลิ่นเหม็น ลิ้นเป็นฝ้า( ถ้าอาการหนักฝ้าจะหนาและมีสีเข้ม ผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการรักษาบางรายอาจจะกลายเป็นสีดำ )บางครั้งเสมหะจะมีสีเข้ม มีขี้ตา น้ำมูกสกปรก ปัสสาวะมีสีเข้มหรืออุจจาระเป็นสีดำ เป็นต้น สารพิษต่าง ๆจะถูกขับออกมาจากร่างกายพร้อมกับของเสียเหล่านี้ เลือดลมและสีหน้าของผู้อดอาหารจะค่อย ๆดีขึ้น อาการบวมน้ำจะหายไป ไขมันลดลง แม้กระทั่ง จุดด่างดำหรือฝ้าก็จะจางลง (2) อุณหภูมิของร่างกายจะขึ้น สามารปรับปรุงอาการของโรคด้วย ระหว่างอดอาหาร อวัยวะที่ควบคุมระบบย่อยและดูดซึมสารอาหารจะหยุดกิจกรรม ทำให้ส่วนอื่น ๆของร่างกายได้รับส่วนแบ่งของเลือดเพิ่มขึ้น ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานดีขึ้น อุณหภูมิขึ้นสูง เม็ดเลือดขาวก็แข็งแรงเพิ่มขึ้น ระหว่างอดอาหาร ไม่เพียงแต่กระเพาะอาหารได้หยุดพัก อวัยวะอื่น ๆก็หยุดพักได้อย่างเต็มที่ มีแต่หัวใจ ปอด ตับ ไตและสมองไม่ได้พักเพราะต้องรักษากิจกรรมของชีวิต เมื่อหยุดส่งสารอาหาร( Fasting ) อวัยวะเหล่านี้ก็จะใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบที่เหลืออยู่ในร่างกายโดนอัตโนมัติ รวมทั้งเซลล์ต่าง ๆที่เดิมทีก็ไม่ได้อยู่ในร่างกาย เช่น เซลล์มะเร็ง เซลล์อักเสบ คอเลสเตอรอลที่เป็นต้นเหตุของโรคต่าง ๆ ไขมัน น้ำตาลและของเสียต่าง ๆ ในการพยายามจะประคับประคองชีวิต (3) เมื่ออวัยวะได้พักผ่อนเต็มที่ กระแสเลือดไหลไปสู่อวัยวะของระบบต่าง ๆได้อย่างสะดวก อุณหภูมิของร่างกายค่อย ๆเพิ่มขึ้น ระบบต่าง ๆภายในร่ายกายก็จะใช้พลังงานที่เหลือมาซ่อมแซมอวัยวะต่าง ๆที่สึกหรอ ดังเช่น กิจการฟาร์มไก่ใช้วิธีบังคับให้แม่ไก่ผลัดขน ในยุคต้น ๆ จะทำการฆ่าแม่ไก่ที่ไม่สามารถออกไข่ได้อีก ปัจจุบัน ใช้วิธีบังคับแม่ไก่แก่เหล่านี้อดอาหาร 2 สัปดาห์( ไก่จะตาย 2 % ที่เหลืออีก 98 % ยังคงมีชีวิตอยู่ )หลังจากนั้นจะถอนขนแม่ไก่ออกให้หมด เพื่อให้เกิดขนใหม่ ก็จะสามารถออกไข่ได้อีก 1 ½ ปี ซึ่งเป็นตัวอย่างทั่วไปของการใช้ประโยชน์จากการอดอาหารเพื่อยืดพลังชีวิต ทำให้เกิดกำลังและฟื้นฟูสภาพ ซ่อมแซมระบบต่าง ๆ ของร่างกาย 3. อาการของโรค คือ ปฏิกิริยาจากการขจัดของเสียในเลือด (1) โรคเกาต์ ในร่างกายที่มีของเสียหรือสารอาหารสะสมอยู่มากเกินไป เมื่อมีสิ่งมีพิษเข้าสู่ร่างกาย คนวัยหนุ่มสาวก็จะมีอาการท้องเสีย อาเจียน มีผื่น อักเสบ ฯลฯ การขับถ่ายอย่างรุนแรงและเป็นไข้ตัวร้อน ร่างกายจะทำความสะอาดตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยปฏิกิริยาเหล่านี้ทันที แต่เมื่ออายุมากขึ้นตามกาลเวลาหรือสุขภาพค่อนข้างอ่อนแอ ของเสียหรือสารอาหารต่างๆเหล่านี้จะตกค้างสะสมอยู่ในเลือดหรือเซลล์ได้โดยง่ายและยากที่จะขับออกจากร่างกาย บางครั้ง อยากใช้ยาเข้ามายับยั้งอาการของโรคเหล่านี้ แต่ก็นำไปสู่การเกิดผลที่เหมือนกัน คนที่กินเนื้อสัตว์มากเกินไป และก็ดื่มเหล้าเบียร์ตลอดทั้งวัน กรดยูริกในเลือดจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี จนเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของไต ดังนั้น เพื่อให้กระแสเลือดสามารถไหลเวียนได้อย่างสะดวก กรดยูริกจึงตกตะกอนค้างอยู่ที่นิ้วโป้งเท้าทั้ง 2 ข้าง โรคนี้ก็คือโรคเกาต์ (2) โรคเบาหวาน การแพทย์ตะวันตกเห็นว่า โรคเบาหวานมีสาเหตุเกิดจากเซลล์ β ในเกาะแลงเกอร์ฮานส์หลั่งอินซูลิน( Insulin )ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นทฤษฏีที่ถูกต้องแน่นอน หลังจากที่ได้ทำการตรวจรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นจำนวนมาพบว่าร่างกายส่วนล่างของผู้ป่วยจะอรชรกว่าส่วนบน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ป่วยไม่ค่อยจะได้ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกายอยู่ในภาวะถดถอยเสียแล้ว อุณหภูมิของร่างกายมีมากกว่า 4 ส่วนเกิดขึ้นจากการเผาพลาญน้ำตาลของกล้ามเนื้อ และมีกล้ามเนื้อมากถึง 7 ส่วนอยู่ที่ส่วนล่างของร่างกาย เมื่อกล้ามเนื้อที่สะโพกและต้นขาลดน้อยลง การสูญเสียน้ำตาลก็จะลดน้อยตามไปด้วย ดังนั้น จึงทุกข์ทรมานจากโรคเบาหวานได้โดยง่าย ปกติ ไม่ออกกำลังกาย และไม่ใช่คนที่ต้องทำงานหนักด้วยแรงกาย เมื่อกินและดื่มมากจนเกินไป สารอาหารในเลือดมากจนไม่สามารถเผาผลาญให้หมดไปจึงเกิดการตกค้างและสะสมอยู่ในร่างกาย ดังนั้น ถ้าจะป้องกันหรือรักษาโรคเบาหวานจึงต้องทำเลือดให้สะอาด ซึ่งต้องใช้วิธีการควบคุมการดื่มกินแบบทางยุโรป-อเมริกาเป็นหลักในการปรับนิสัยด้วยการกินอาหารที่มีสารอาหารสูงและต้องกินให้น้อยลง ขณะเดียวกันก็ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ฝึกฝนกล้ามเนื้อส่วนล่าง เพื่อช่วยเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย (3) โรคไขมันในเลือดสูง เมื่อกินมากเกินไปจนทำให้สารอาหารเหลือเฟือ โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และขาดการออกกำลังกาย โคเลสเตอรอลและไขมันเป็นกลางในเลือดก็จะเกินดุล สุดท้ายกลายเป็นไขมันในเลือดสูง (4) โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว เมื่อป่วยเป็นโรคไขมันในเลือดสูง ความเข้มข้นของเลือดเพิ่มมากขึ้นเป็นเหตุให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี เพื่อปรับความเข้มข้นของเลือดในร่างกายให้จางลงส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด จะยอมให้คอเลสเตอรอลและไขมันส่วนเกินตกตะกอนอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว (5) โรคความดันโลหิตสูง เมื่อหลอดเลือดแข็งตัว ผนังด้านในของหลอดเลือดบางลง การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ด้วยเหตุนี้หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติโดยเพิ่มแรงดันให้สูบฉีดเลือดได้มากขึ้น ทำให้กลายเป็นโรคความดันสูง (6) โรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดที่ทำหน้าที่นำสารอาหารให้กับหัวใจ เพราะการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงทำให้ท่อลำเลียงตีบลง เมื่อไม่สามารถส่งสารอาหารหรือออกซิเจนให้กับหัวใจได้อย่างเพียงพอ จะเกิดอาการเจ็บหรือแน่นหน้าอก นี่ก็คือโรคหัวใจขาดเลือด (7) โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (coronary thrombosis ) มีก้อนเลือดอุดตันอยู่ที่หลอดเลือดหัวใจจนทำให้กระแสเลือดไม่สามารถไหลเวียน เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อตาย สารอาหารที่หล่อเลี้ยงหัวใจตกค้างอยู่บริเวณนั้น ทำให้เจ็บหน้าอก ถ้ารุนแรงอาจทำให้หัวใจหยุดเต้น เรียกว่าเส้นเลือดหัวใจอุดตัน (8) กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง( muscle rigidity )กับความสัมพันธ์ของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ( coronary thrombosis )และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ( cerebral infarction ) แพทย์ตะวันตกค่อนข้างจะละเลยต่อปรากฏการณ์ของกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง แต่แพทย์ทางตะวันออกจะให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก เพราะกล้ามเนื้อแข็งเกร็งแสดงว่ากระแสเลือดไหลเวียนไม่ดี และในเลือดมีสิ่งแปลกปลอม โดยเฉพาะบริเวณไหล่หรือคอนั้นมีอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณไหล่หรือคอ หมายถึงเส้นเลือดหัวใจหรือสมองอุดตัน เลือดที่มีของเสียเข้มข้นทำให้เลือดเป็นตะกอนและทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง เมื่อไหล่และคอแข็งเกร็ง หลอดเลือดภายในไหล่และคอก็จะแข็งตัว เป็นเหตุให้กระแสเลือดไหลเวียนไม่สะดวก เลือดที่ส่งให้สมองก็จะน้อยลง และจะส่งสัญญาณอันตรายที่แจ้งให้ทราบด้วยอาการปวดหัว (9) โรคนิ่วในถุงน้ำดี คอเลสเตอรอลที่อยู่ในน้ำดีมากกินไป ทำให้น้ำดีมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น น้ำดีก็จะไหลไม่สะดวก เพื่อทำให้น้ำดีไหลคล่อง ร่างกายก็จะทำให้คอเลสเตอรอลตกผลึกเป็นก้อนแข็งจนกลายเป็นนิ่วในถุงน้ำดี (10) โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ เมื่อของเสียในเลือด เช่น กรดยูริก แคลเซียมมากเกินไป การขับถ่ายปริมาณของปัสสาวะก็เพิ่มขึ้น จะเกิดการตกผลึก เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายต้องการให้ปัสสาวะสามารถขับออกมาได้อย่างสะดวก (11) เลือดออก เป็นการทำความสะอาดเลือดเพื่อขับสิ่งแปลกปลอมที่มีอยู่ในเลือด เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน การตกเลือดของริดสีดวงทวาร เลือดออกทางอวัยวะเพศหญิงหรือเลือดออกในสมอง เป็นต้น 4. สาเหตุที่เลือดมีสิ่งแปลกปลอม (1) ได้รับโปรตีนจากสัตว์มากเกินไป สาเหตุสำคัญที่ทำให้เลือดสกปรก คือ การกินและดื่มมากเกินไป เมื่อกินอาหารมากไป เลือดจะถูกบังคับให้รวมตัวอยู่ในกระเพาะอาหาร เป็นเหตุให้อวัยวะต่าง ๆ เช่น ลำไส้ใหญ่ ตับ ไต ขาดแคลนเลือด การขับถ่ายจะแย่ลง ทำให้ของเสียทั้งหมดตกค้างอยู่ในเลือด โดยเฉพาะโปรตีนจากสัตว์ เช่น เนื้อ นม ไข่ และเนย อาหารเหล่านี้ไม่มีใยอาหาร ทำให้เชื้อโรคร้ายในลำไส้ขยายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา โดยผลิต( NH3 สารประกอบทางเคมีที่เป็นเบส )แอมโมเนีย และกากของเสียเน่าเหม็น เป็นต้น โปรตีนจากสัตว์เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปก็จะถูกเอนไซม์ย่อยสลายจากตับอ่อนย่อยสลายเป็นกรดอะมีโน ๆ ที่เกินดุลก็จะถูกขับออกไปที่เลือด ทำให้เลือดค่อนไปทางเป็นกรด เพื่อให้กรดมีความสมดุล ร่างกายจะดึงแคลเซียม แมกนีเซียม ฯลฯ จากกระดูก และฟัน เป็นผลให้ร่างกายขาดแคลนแร่ธาตุ ร่างกายจะส่งสัญญาณจนเกิดอาการ ท้องว่าง ทำให้อยากกินอาหารโดยธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นอีก ขณะเดียวกันก็ยังคงดูดซึมเอาสิ่งที่เกินดุลอยู่แล้ว จนติดอยู่ภายใต้วัฏรจักรของความเลวร้าย อย่างใดก็ตาม การได้รับโปรตีนจากสัตว์มากเกินไปเท่าไหร่ แร่ธาตุก็จะยิ่งขาดหายไปเท่านั้น ยิ่งจะเกิดความรู้สึกท้องว่าง วิธีแก้ไขที่ดีที่สุด คือ ใช้วิธีกินอาหารที่มีสารอาหรเพียงพอต่อมนุษย์( สัดส่วนของอาหารที่ฟ้าประทานให้ ) (2) ออกกำลังกายไม่พอ เมื่อมนุษย์อยู่ในสถานะหยุดนิ่ง มีอุณหภูมิ 1 ใน 4 ส่วนภายในร่างกายได้รับจากกล้ามเนื้อ ตราบเท่าที่มีการเคลื่อนไหว ปริมาณความร้อนที่เกิดจากกล้ามเนื้อก็จะสูงขึ้น บางครั้งอาจขึ้นถึงครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิในร่างกาย อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสลาย ความมีชีวิตชีวาของเม็ดเลือดขาวก็ดีขึ้น หลังจากที่ออกกำลังกายแล้ว ร่างกายจะรู้สึกสบาย นั่นเป็นเพราะอุณหภูมิเพิ่มขึ้น ของเสียและสารอาหารที่เหลือในร่างกายจะถูกเผาผลาญกลายเป็นเหงื่อหรือปัสสาวะ การหายใจออกก็นำเอาของเสียออกมาด้วย เสมือนร่างกายทำความสะอาดชำระล้างครั้งยิ่งใหญ่ (3) ความเครียด เมื่อมนุษย์ได้รับความกดดัน ไตก็จะหลั่งสารประกอบทางเคมีของฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น Epinephrine และ Cortisol เพื่อรักษาร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติ แต่ถ้าอยู่ในสภาวะแบบนี้ตลอดเวลา ความดันโลหิตจะขึ้นสูง ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ น้ำเหลืองในเม็ดเลือดขาวถูกย่อยสลายจนหมด สุดท้ายภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง Cortisol เป็นฮอร์โมนที่ช่วยสร้างน้ำตาลกลูโคส เมื่อสังเคราะห์มากเกินไป ก็จะเพิ่มความดันของเลือด Cortisol ยังทำให้การทำงานของเซลล์ NK ลดลง( น้ำเหลืองชนิดหนึ่ง มีหน้าที่โจมตีเซลล์มะเร็ง ) ดังนั้น เมื่ออยู่ภายใต้สภาพของความเครียด คอเลสเตอรอล ไขมันที่เป็นกลาง น้ำตาล เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดต่าง ๆก็จะเพิ่มมากขึ้น เลือดมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ทำให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย การไหลเวียนของเลือดแย่ลง อุณหภูมิลดลงตาม การเสริมสร้างเซลใหม่ทดแทนก็ด้อยลง เป็นผลให้ร่างกายสะสมของเสียเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเลือดก็ปนเปื้อนของเสียรุนแรงยิ่งขึ้น 5. การจัดสัดส่วนของอาหารที่ฟ้าประทานให้ ฟันของคนเรามีทั้งหมด 32 ซี่ แบ่งออกเป็น ฟันหน้า 8 ซี่ ใช้กินพืชผักผลไม้ ฟันเขี้ยว 4 ซี่ ใช้กินเนื้อสัตว์และเนื้อปลา ฟันกราม มี 20 ซี่ ใช้กินพืชประเภทเมล็ด และ ข้าว โดยรวมแล้วฟันกรามเท่ากับ 62.5 % ฟันหน้าเท่ากับ 25 % ฟันเขี้ยวเท่ากับ 12.5 % จากสัดส่วนดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ได้ว่าสารอาหารโปรตีนดั้งเดิม( ฟ้าประทาน )ของมนุษย์ คือ 60% มาจากพืชประเภทเมล็ด 25 30 % มาจากผลไม้ และอีกประมาณ 10 % มาจากสัตว์ เมื่อเป็นเช่นนี้ สารอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ มนุษย์เรากินเพียง 1 ส่วนจากอาหารที่กินทั้งหมดก็เพียงพอแล้ว ๓. วิธีทำให้สุขภาพแข็งแรง 1. วิธีการอดอาหารครึ่งวันแบบไม่ทานมื้อเช้า ตารางที่1 เมนูอาหารสำหรับการฝึกพลังของท้องว่าง( เมนู 1 วัน ) มื้อเช้า ไม่กิน หรือดื่มแต่ชาและกินบ๊วยแห้ง หรือดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแครอท 1 ~ 2 แก้ว หรือชาแดงใส่ขิง( 生薑紅茶 ) 1 ~ 2 แก้ว มื้อกลางวัน หมี่ Buckwheat ( 蕎麥麵 ) หมี่ Buckwheat สาหร่าย หมี่ Buckwheat ฮ่วยซัวบด ( เติมผง Paprika 7 รสหรือต้นหอมให้มาก ๆ ) หรือพิซ่า หรือมักโรนี ( จะต้องใส่ซอสพริกทาปาซิโก ) หรือทานอาหารเบาแบบง่าย ๆ มื้อเย็น ทานได้หมดทุกอย่าง รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทสุรา ( ตอนกลางวันถ้ารู้สึกหิวหรือกระหาย อาจดื่มขิงชาแดงในสัดส่วนที่พอเหมาะ ) 2. รายละเอียดของโภชนาการจากวิธีบำบัดแบบอดอาหารของอิชิฮารา ( ระยะเวลารักษา 1 สัปดาห์ ) ตารางที่ 2 รายละเอียดวิธีรักษาการแบบอดอาหารด้วยน้ำแอปเปิ้ลและเครอทใน 1 สัปดาห์ เช้า 7.00 น. กายบริหาร และเดิน เป็นต้น
เช้า 8.00 น. น้ำแอปเปิ้ลเครอท 3 แก้ว ( รวม 480 ซี.ซี.) * วิธีทำน้ำแอปเปิ้ลแครอท 1. แครอทที่ไม่มีการปนเปื้อนสารเคมีหรือมีก็เล็กน้อย 2 หัว ( ประมาณ 400 กรัม ) แอปเปิ้ล 1 ผล ( ประมาณ 300 กรัม ) อัตราส่วน 1 : 1 2. ใช้แปรงทำความสะอาดผิวของแอปเปิ้ลและแครอท จากนั้น( ไม่ต้องปอกผิว )ใส่ลงในเครื่องแยกกากผลไม้ สกัดเอาน้ำออกมา เป็นอันสำเร็จ * ข้อควรระวัง ผู้ที่มีธาตุกายค่อนข้างกลัวร้อน ในฤดูร้อนอาจเติมน้ำมะนาวเล็กน้อย
สาย 10.00 น. ซุปมิโซะ ( Miso ) 1 ถ้วย ( ประมาณ 150 cc. ) * ข้อควรระวัง ใช้เห็ดหอมแห้งและสาหร่ายทำเป็นน้ำซุป ปรุงด้วยน้ำมิโซะ( Miso ) ที่ผลิตโดยวิธีธรรมชาติ เที่ยง 12.00 น. เหมือนเวลา 8.00 น. ดื่มเพียงน้ำแอปเปิ้ลแครอท 3 แก้ว บ่าย 15.00 น. น้ำขิง 1 ถ้วย ( 100 150 cc. ) * วิธีทำน้ำซุปขิง 1. เติมน้ำสำหรับทาน 1 คน ลงหม้อต้ม ใส่น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำผึ้ง 2. นำขิงขนาดเท่านิ้วโป้งบดทั้งผิว คั้นน้ำแล้วใส่ลงในหม้อต้ม หลังจากนั้นจึงเติมแป้งมันที่ละลายน้ำแล้ว เย็น 17.00 น. เหมือนเวลา 8.00 น. ดื่มแต่น้ำแอปเปิ้ลแครอท 3 แก้ว เย็น 18.00 น. บำบัดด้วยกายภาควิทยา ( ฝังเข็ม บีบนวด ) อาบน้ำ( แช่ในน้ำ ) รายละเอียดข้างต้น คือ การบำบัดแบบอดอาหารของโรงพยาบาลของเรา สำหรับผู้ที่มีธาตุกายค่อนข้างเย็น ในฤดูหนาวทางเราจะจัดน้ำซุปแครอลแทนน้ำแอปเปิ้ลแครอท 1 หรือ 2 มื้อ * วิธีทำน้ำซุปเครอท 1. นำแครอท 2 หัวและหัวหอมครึ่งลูกมาหั่นให้ละเอียด ต้มด้วยน้ำซุป( หรือน้ำ ) 1000 CC. 2. รอให้แครอทและหัวหอมนิ่ม จึงเทลงเครื่องสกัดน้ำผลไม้ จากนั้นเติมเกลือหยาบ ( 3 6 กรัม )หรือปรุงรสด้วย Miso 3. ช่วงเวลาที่เริ่มกินอาหารหลังจากอดอาหาร( Fasting )มีสำคัญมาก โดยทั่วไปมีโปรแกรมบำบัดแบบ 1 สัปดาห์ และแบบ 10 วัน โปรแกรมบำบัด 1 สัปดาห์ประกอบด้วย อดอาหาร ด้วยน้ำผลไม้ 5 วัน ช่วงเริ่มกิน 2 วัน โปรแกรมบำบัดแบบ10 วัน ประกอบด้วย อดอาหารด้วยน้ำผลไม้ 7 วัน ช่วงเริ่มกิน 3 วัน การเริ่มกินอาหารอีกครั้ง ใช้วิธีทยอยเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ มื้อที่ 1 และมื้อที่ 2 ของวันที่ 1 ทานเฉพาะน้ำข้าวที่เคี่ยวมาจากข้าวกล้องและมิโซะ( Miso ) อย่างละ 1 ถ้วย ร่วมด้วยบ๊วยแห้งกับหัวผักกาดบด ถึงแม้ซุปจะเป็นของเหลว แต่ก็ต้องค่อย ๆเคี้ยวอย่างละเอียดจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ในปากแล้ว จึงตัก กิน น้ำซุปคำต่อไป จุดนี้มี ความสำคัญมาก เพราะเป็นมื้อแรกที่เริ่มกิน จุดประสงค์เพื่อส่งสัญญาณให้กระเพาะอาหารได้ทราบว่า อาหารกำลังจะมา มื้อเช้าและมื้อเที่ยงของวันที่ 2 ยังคงเป็นน้ำข้าวที่เคี่ยวมาจากข้าวกล้องและซุปมิโซะ ( Miso ) อย่างละ 1 ถ้วย เสริมด้วยถั่ว Natto และเต้าหู้ เล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ต้องค่อย ๆเคี้ยวอย่างละเอียดแล้วจึงกลืนลงท้อง มื้อเย็นกินเฉพาะข้าวกล้องและให้อิ่มแค่ 6 ส่วน ผู้ที่เลือกโปรแกรม 10 วัน อดอาหารได้ 7 วันแล้ว ทานเฉพาะเมื้อเช้ากับมื้อเย็น รายละเอียดของการเริ่มกินเหมือนโปรแกรมแรก วันที่ 2 ทานข้าวกล้อง 2 มื้อและให้อิ่มแค่ 6 ส่วน เมื่อเริ่มกลับมากิน กระเพาะอาหารเริ่มต้นทำงาน ปกติความอยากจะกินอาหารมักจะเพิ่มขึ้น ความรู้สึกท้องว่างจะมีความรุนแรงมากกว่าช่วงอดอาหาร จะต้องหักห้ามความรู้สึกอยากให้ได้ มีหลายคนบอกว่า ช่วงเวลานี้ลำบากยิ่งกว่าช่วงอดอาหารเสียอีก คนที่ประสบความล้มเหลวในการอดอาหารมักจะเป็นช่วงเวลาเริ่มกลับมากินหรือไม่ก็แอบกินอาหารในช่วงอดอาหาร 4. การดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวันของ อิชิฮาราi หลังจากที่อายุเลย 46 ปี ก็เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารเป็นวันละ 2 มื้อ ทุก ๆเช้าจะดื่มน้ำแอปเปิ้ลแครอท 2 แก้วและชาแดงกับขิงที่เติมด้วยน้ำตาลทรายดำอีก 1 แก้ว มื้อเที่ยงทานหมี่ Buckwheat กับฮ่วยซัวบด มาในระยะหลัง เนื่องจากมีแขกมาเยี่ยมในช่วงเวลาพักเที่ยงบ่อย ๆ ใน 1 ปี มีประมาณ 200 กว่าวันที่ไม่ทานมื้อเที่ยง ดื่มแต่ชาแดงกับขิง 2 แก้ว หลังจากนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้าน จะออกกำลังกายการวิ่ง 4 กิโลเมตร เว้นระยะ 1 หรือ 2 วัน ยังดำเนินการฝึกน้ำหนัก ( 重量訓練 ) เนื่องจากผมไม่ทานเนื้อและไข่ไก่ มื้อเย็นมักจะทานกุ้ง ปู ปลาหมึกและหอยต่าง ๆ พร้อมทั้งดื่มเบียร์หรือเหล้าญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็คลุกข้าวด้วยซุปมิโซะ ( Miso ) ถั่ว Natto และเต้าหู้เป็นต้น โดยปกติแล้วมื้อเย็นนึกจะกินอะไรก็กิน อยากดื่มอะไรก็ดื่ม 5. สุรากับการดูแลสุขภาพ ก่อนหน้าได้กล่าวไว้ว่า ขอเพียงไม่ทานอาหารมื้อเช้า มื้อเย็นก็จะอิสระเพลินเพลินไปกับอาหาร ปริมาณเหล้าที่ดื่มกำหนดโดยจำนวนดีกรี เหล้าญี่ปุ่มจะกำหนดไว้ที่ 180 ซี.ซี. ส่วนเบียร์ดื่มได้จำนวน 2 ขวด เหล้าที่ชงด้วยน้ำร้อนสามารถดื่มได้ 3 ~ 4 แก้ว วิสกีผสมน้ำเปล่าจำนวน 3 แก้ว เหล้าองุ่นก็ประมาณ 3 แก้ว ขอให้ไม่เกินจากปริมาณที่กำหนด คนที่ชอบดื่มเหล้าถึงแม้จะดื่มทุกวันก็ไม่มีปัญหาอะไร มาตรฐานนี้ อาจไม่เหมาะกับทุกคนเสมอไป เป็นปริมาณโดยเฉลี่ยของประชากรทั่วไป ยังมีอีกเรื่องที่มีความสำคัญมาก คือ การออกกลังกายมากหรือน้อย ย่อมส่งผลกระทบต่อปริมาณเหล้าที่ร่างกายรับได้ คนที่ทำงานหนักหรือมีการออกกำลังกาย ดื่มมากหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร เหล้าสามารถทำให้ร่างกายอบอุ่น เช่น เหล้าญี่ปุ่น เหล้าไวน์แดง เหล้าเส้าซิน ( 紹興酒 ) วอกก้า( 伏特加 ) เป็นต้น และเหล้าที่ทำให้ร่างกายหนาวเย็น เช่น เบียร์ วิสกีผสมน้ำ เป็นต้น เมื่ออักเสบ สามารถดื่มเหล้าไข่( 蛋酒 ) ( อุ่นเหล้าญี่ปุ่น 1 ถ้วยแล้วใส่ไข่แดง 1 ใบ ) วิสกีมะนาว( อุ่นวิสกีใส่น้ำมะนาว )เหล้าอุ่น( 燒酒)หรือเหล้าไวน์ 6. ชีวิตประจำวันของชาวคอเคเชี่ยน ชาวคอเคเชี่ยนส่วนมากจะมีอายุยืนมากกว่า 100 ปี เพื่อเปิดเผยความลับของการมีอายุยืน ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมชาวคอเคเชี่ยนไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง พวกเขาต่างก็ใช้ถ้วยคำที่สูงส่งมากล่าวต้อนรับพวกเรา ขณะเดียวกันก็ยินดีอธิบายให้พวกเราเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านกับคนที่มีอายุเกิน 100 ปี( Centenarians )หลังจากที่อธิบายจบแล้ว พวกเราทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่บ้านของคนที่มีอายุเกิน 100 ปี แล้วก็เริ่มงานเลี้ยงสังสรรค์ พวกเขาเล่าว่า พวกเขามักจะรวมตัวกันจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กันที่บ้านของคนใดคนหนึ่ง ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงพวกเราจะเริ่มชน แก้วก่อน แต่การชนแก้วครั้งนี้แทบจะไม่มีวันจบสิ้น พวกเขานำเหล้าไวน์แดงที่ปรุงเองมารินใส่แก้ว หลังจากนั้นจะคล้องแขนซึ่งกันและกันแล้วดื่มเหล้าจนหมดแก้ว ถ้าอีกฝ่ายดื่มไม่หมดแก้วจะไม่ยอมให้เอาแขนออก จนกระทั่งพวกเราทุกคนเกือบจะต้องถูกหิ้วปีกเสียแล้ว แต่คนที่มีอายุกว่า 100 ปี แค่หน้าแดงเล็กน้อย เมื่อข้าพเจ้าได้ถามเคล็ดลับของการมีอายุยืนคืออะไร พวกเขาบอกว่า อันดับแรก คือ ขยันทำงาน หลังจากนั้น ก่อตั้งชมรมขับร้องหมู่ แล้วรวมตัวกันร้องเพลง ต่อจากนั้นก็ ออกไปล่าสัตว์ เดินทางบ่อย ๆ สุดท้ายที่ทำคือ ไปดื่มเหล้าสังสรรค์กันที่บ้านเพื่อน โดยปกติ พวกเขาจะเข้านอนเวลา 22.00 น. และตื่นนอนเวลา 5 6 โมงเช้า หลังจากทำงานในช่วงเช้าเสร็จ ก็จะทานอาหารเบา ๆที่ปรุงขึ้นเอง เช่น โยเกิร์ต ชีส ถั่ว สลัดผัก ชาสมุนไพร และขนมปัง เป็นต้น มื้อเที่ยงจะทานชีสเนยแข็งที่ผลิตเองและมีรสชาติค่อนข้างแรง ผักสดที่เพิ่มเก็บมา ถั่วต่าง ๆ และอาหารประเภทของดองต่าง ๆ สมุนไพรและผลไม้ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ดื่มเหล้าไวน์บ้างเล็กน้อย ส่วนอาหารประเภทเนื้อกินอาทิตย์ละครั้ง หรือ 2 ครั้งเท่านั้น และก็ใช้เนื้อเล็กน้อยต้มกับน้ำก่อน พยายามเอาไขมันออกจากเนื้อก่อนนำมากิน ส่วนอาหารประเภทปลาก็ทานเพียงอาทิตย์ละครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นปลาทาราท์ในแม่น้ำของหมู่บ้าน ในชีวิตประจำวันของพวกเขา มื้อเที่ยงทานน้อยที่สุด ส่วนมื้อเย็นจะทานเวลาประมาณ 20.00 น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารประเภทเนยชีส โยเกิร์ต และผลไม้ แต่ก็มีปริมาณค่อนข้างน้อย การปรุงรส ใช้น้ำส้มสายชู เกลือหยาบ และน้ำผึ้ง ไม่ใช้เครื่องปรุงประเภทน้ำตาลเลย ถึงแม้พวกเขาจะทำงานหนักจริง ๆ แต่ข้าพเจ้าก็เห็นพวกเขาทำงานด้วยความสนุก ดื่มเหล้าไวน์ที่ผลิตเองวันละ 2 แก้วโดยประมาณ และไม่สูบบุหรี่ ด้านอาหารค่อนข้างเน้นรสชาติหนัก บนโต๊ะอาหารมักจะมีขวดเกลือ ทุกครั้งที่ทานอาหารประเภทผักและผลไม้ จะต้องโรยเกลือจำนวนมากก่อนแล้วจึงกิน สำหรับชาวคอเคเชี่ยนแล้ว การทำงานหนักตลอดทั้งวัน จึงไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเพื่อฝึกร่างกายอีกและไม่มีวันปลดเกษียณ ทำงานจนกระทั่งตาย พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ มีผู้หญิงไม่น้อยที่อายุ 65 ปีแล้วยังสามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก และมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่มีอายุมากกว่า 80 ปีแล้วยังเป็นพ่อของเด็กทารกที่เกิดใหม่ได้อีก มีผู้ชายคนหนึ่งบอกผมว่า เมื่อเขาอายุได้ 90 กว่าแล้วจึงรู้สึกว่ากำลังวังชาเริ่มถดถอยบ้าง
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 9:04:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 981 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|