Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
19 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
ไขปัญหา ผีอำมีจริงหรือ

จาก
//www.freewebs.com/itplaza2006/knowledge/SP.html



ไขปัญหา ผีอำมีจริงหรือ
หมอเมืองกรุง
27 กุมภาพันธ์ 2550

หลายคนอาจเคยสงสัยหรือเคยได้ยินคนอื่นเล่าถึงอาการนอนอยู่แล้วเกิดขยับแขนขาหรือส่งเสียงร้องไม่ได้มาบ้างแล้ว ที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่าผีอำ แต่ท่านเคยสงสัยบ้างไหมว่าผีอำ คืออะไร เกิดได้อย่างไร เป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์หรือเป็นจากการกระทำของผีสางกันแน่ ผมก็สงสัยเหมือนที่หลายคนอยากรู้นั่นแหละ และจากการไปค้นคว้ามาจึงขอนำ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบดังนี้ครับ
ผีอำหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Sleep paralysis นั้นจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในขณะที่คนเรานอนหลับอยู่ ซึ่งจะขออธิบายกันก่อนว่า การนอนหลับของคนเรานั้นมี 2 ช่วง คือ

ช่วงที่ตาไม่กระตุก (Non-rapid eye movement sleep ; non-REM sleep)
ช่วงที่ตากระตุก (rapid eye movement sleep ; REM sleep)

เมื่อคนเราเริ่มหลับนั้น การหลับจะเริ่มด้วยช่วงตาไม่กระตุกก่อนแล้วเปลี่ยนเป็นแบบตากระตุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นตาไม่กระตุกใหม่ สลับกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ โดยช่วงที่หลับแบบตาไม่กระตุกจะสั้นลงๆ และช่วง ที่หลับแบบตากระตุกจะยาวขึ้นๆ เมื่อใกล้ตื่น โดยเฉลี่ยช่วงตาไม่กระตุก รวมทั้งหมดจะประมาณร้อยละ 75-80 ของเวลาหลับทั้งหมด ส่วนช่วงตากระตุก รวมทั้งหมดจะประมาณร้อยละ 20-25 และการหลับช่วง สุดท้ายก่อนจะตื่นขึ้นตามธรรมชาตินั้น จะเป็นการหลับแบบตากระตุก
การนอนหลับช่วงตาไม่กระตุกแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ตามลักษณะของคลื่นไฟฟ้าสมอง คือ
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่คลื่นไฟฟ้าสมองเริ่มช้าลง เป็นระยะที่ปลุกให้ตื่นได้ง่าย
ระยะที่ 2 เป็นระยะที่คลื่นไฟฟ้าสมองช้าลงอีก เป็นระยะที่ปลุกให้ตื่นได้ยากขึ้น หรือหลับลึกขึ้นนั่นเอง
ระยะที่ 3 เป็นระยะที่คลื่นไฟฟ้าสมองช้าลงและใหญ่ขึ้นอย่างมาก และพบคลื่นสมองไฟฟ้าแบบนี้อย่างน้อยร้อยละ 20 แต่ไม่เกินร้อยละ 50 ของคลื่นไฟฟ้าสมองที่บันทึกได้ ระยะนี้กินเวลาเพียงไม่กี่นาที ก็จะเข้าระยะที่ 4
ระยะที่ 4 เป็นระยะที่คลื่นไฟฟ้าสมองช้าลงและใหญ่มากจะพบได้เกินร้อยละ 50 และระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 20-40 นาที
ระยะที่ 3-4 นี้เองที่เป็นระยะที่คนหลับลึก หลับสนิท ตาทั้งสองข้างจะหยุดการเคลื่อนไหว การหายใจเปลี่ยนเป็นแบบสม่ำเสมอ และหายใจช้าลงๆ หัวใจ (ชีพจร) จะเต้นช้าลงๆ ความดันโลหิตจะลดลงๆ กล้ามเนื้อจะอ่อนตัวลง แต่ไม่ถึงขั้นอัมพาต
การหลับที่เข้าสู่ระยะ 3-4 นี้ เป็นระยะที่ปลุกให้ตื่นได้ยากคนที่หลับอยู่ในระยะนี้ ถ้าถูกปลุกอย่างรุนแรงจนตื่นจะมีอาการสับสนเลอะเลือน ละเมอ หรือจำในสิ่งที่ตนเองทำไป ไม่ได้เลย อย่างเช่น การเดินละเมอ ปัสสาวะรดที่นอน หรือขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะหลับ เป็นต้น ประมาณกันว่าในคืนหนึ่งๆ คนเราจะมีการพลิกตัว ขยับตัวหรือเปลี่ยนท่าทางการ นอนอย่างน้อย 8-9 ครั้ง เมื่อลักษณะการหลับเปลี่ยนจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง (จากแบบตาไม่กระตุกเป็นแบบตากระตุก)
ส่วนการนอนหลับช่วงตากระตุกนั้น เป็นการหลับที่คลื่นไฟฟ้าสมองมีลักษณะเหมือนกับในขณะที่ตื่นอยู่ การหลับช่วงนี้เป็นการหลับที่ประกอบด้วยการกระตุก (การเคลื่อนไหว เร็วๆ) ของตาทั้ง 2 ข้างเป็นพักๆ ภายใต้หนังตาที่หลับอยู่ ช่วงนี้การหายใจจะไม่สม่ำเสมอ และช้าลงกว่าแบบตาไม่กระตุก มีการหายใจทางท้อง (ก็คือการหายใจโดยใช้กระบังลมนั่น เอง) เป็นสำคัญ กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะอ่อนตัวลงมากเหมือนเป็นอัมพาต ยกเว้นกล้ามเนื้อตาที่ยังทำงานให้ตากระตุกเป็นพักๆ
ในขณะที่นอนหลับช่วงตากระตุกนี้ เป็นช่วงที่ปลุกให้ตื่นได้ง่าย หรือบางคนก็อาจจะตื่นเอง และมักจะจดจำความฝันต่างๆ ในช่วงก่อนตื่นได้ (เพราะฝันในช่วงที่หลับแบบ ตากระตุก) และนี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่ตื่นในช่วงนี้เกิดอาการขยับแขนขาหรือส่งเสียงร้องไม่ได้ จึงเรียกกันว่า ผีอำ และทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมผีอำจึงมักเกิดช่วงใกล้ตื่น เพราะตรงกับช่วงตากระตุกนี่เองครับ ทำให้ กล้ามเนื้อยังอ่อนแรงอยู่ในขณะที่เราเริ่มมีความรู้สึกตัวกลับคืนมา และการที่ขยับตัวไม่ได้เลยทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนถูกของหนักทับที่หน้าอกดังที่คนที่เคยเป็นผีอำเล่าต่อๆ กันมานั่นเองครับ
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมบางคนจึงเกิดผีอำ บางคนไม่เกิดผีอำล่ะ ก็เคยมีคนรายงานไว้ถึงปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดผีอำครับ ได้แก่
การนอนหลับในท่านอนหงาย
การที่นอนหลับไม่เป็นเวลาหรืออดหลับอดนอน
มีความเครียด
มีการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมหรือการดำเนินชีวิตอย่างกะทันหัน
อุปกรณ์ที่ช่วยในการนอนหลับหรือยาที่รักษาโรคซนสมาธิสั้น หรือยากลุ่ม antihistamines เช่น chlorpheniramine ที่เราใช้ลดน้ำมูกจากโรคหวัดนี่เองครับ

โดยปกติแล้วผีอำไม่ถือเป็นโรค ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาครับ เวลาโดนผีอำให้นอนเฉยๆ สักพักอาการจะหายไปเอง หรือป้องกันการเกิดผีอำโดยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดผีอำดังกล่าวข้างต้น เช่น นอนหลับให้เป็นเวลา รู้จักผ่อนคลายความเครียด เป็นต้น แต่สำหรับคนที่มีอาการบ่อยๆ ก็มีวิธีการที่พอจะช่วยได้ คือ การผ่อนคลายความเครียด โดยก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง อย่าไปทำอะไรที่มันตื่นเต้น (เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมส์) ก่อนนอนอาจจะอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่นๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีสะกดจิตเข้าช่วย โดยการโปรแกรมจิตใหม่ก็ช่วยได้ กรณีที่มีอาการมากๆ เราอาจใช้ยาได้ โดยใช้ยาพวกยาคลายเครียด หรือยาต้านเศร้า เช่น imipramine ซึ่งจะทำให้เขาหลับสนิทขึ้นโดยไม่ต้องฝันมากนัก
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :

ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์.นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 284 ปีที่ 24.,2546.
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด.Guidebook for Health and Wellness.บริษัท พิมพ์ดี จำกัด,2549.
Wikipedia The Free Encyclopedia
Dennis L.Kasper, Anthony S.Fauci, Dan L.Longo et al.16th Edition Harrison's Principles of Internal Medicine Volume I : Sleep Disorders.McGraw-Hill Companies, Inc.,2005.

จาก
//www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1198145879


เป็นภาวะที่สมองตื่นเต็มที่น่ะครับ ในทางแพทย์น่ะนะ

แต่ในทางศาสนา เราถือว่าเป็นภาวะที่จิต ตื่นตัวเต็มที่ครับ แต่เท่าที่อ่านมา ของคุณน่าจะมีทิพยจักษุบ้างนะครับ จึงเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
ส่วนตัวเคยเป็นแต่ไม่เคยเห็นอะไรครับ แต่เท่าที่สังเกตตัวเองนะครับ การเหนื่อยเต็มที่ หลับลึก แต่จะตื่นเร็ว และจิตจะตื่นดีมาก คงคล้ายๆกัน

ปัญหาคือกรณีของคุณ ดูท่าทางสติยังไม่มีมาก อาจตื่นกลัวผวาได้ง่าย ควรหัดฝึกสตินะครับ เจริญสติปัฎฐานสี่ครับ เพราะอย่างน้อย สิ่งไม่ดีจะไม่มาแผ้วพานคุณครับ แต่หากจะนั่งสมาธิในกรณีของคุณจะต้องมีครูบาอาจารย์นะครับ อย่าหัดเอง เพราะจะ..เห็น.. เยอะมากครับ ถ้าสติยังไม่แข็ง อย่าเพิ่งนะครับ

ถามว่าทำไมจึงเห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็น เชื่อว่าชาติที่แล้วคงเคยฝึกมาทางนี้น่ะครับ ยังไงก็ตามทำใจให้เป็นกลางนะครับ เพราะสิ่งที่เห็นน่ะเห็นจริงครับ แต่ส่วนใหญ่ของที่ถูกเห็นน่ะไม่ใช่ของจริงครับ เป็นภาพที่จิตสร้างมาหลอก
ให้สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็นก็พอครับ อย่าพยายามดิ้นรนหนีให้ตื่น เพราะจะไม่มีทางหนีได้ครับ


Create Date : 19 เมษายน 2551
Last Update : 19 เมษายน 2551 18:59:36 น. 1 comments
Counter : 317 Pageviews.

 


โดย: shame_of_sins วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:11:10:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นั่งพื้น
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add นั่งพื้น's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.