โอวาทธรรมของหลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโลวัดป่ามณีรัตน์ อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี หลวงปู่ทองรัตน์ ท่านได้ติดตามสืบหาจนได้พบ
ครูบาอาจารย์มั่น ภูริทัตฺโตขณะนั้นท่านพำนักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
ซึ่งแต่ก่อนเป็นป่าที่เหมาะแก่การภาวนามาก
จึงได้ไปกราบท่าน ขอพักอยู่กับท่าน ๓-๔ วันเพื่อขอรับฟังโอวาทจากท่าน
หลวงปู่มั่นได้เมตตาให้อุบายในการปฏิบัติและไล่ให้ไปปฏิบัติเอง
หลวงปู่ทองรัตน์ท่านได้กราบลาพระอาจารย์มั่น
ออกปฏบัติตามคำแนะนำตามลำพัง
ยิ่งปฏิบัติไปในความรู้สึกมีแต่ความหนักไปหมด
นั่งก็หนัก ยืนก็หนัก นอนก็หนัก แก้ไม่ตก
จึงคิดถึงพระอาจารย์มั่นขึ้นมาและไปกราบท่านอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อไปกราบพระอาจารย์มั่น ท่านก็ถามว่า
"เป็นจั่งได๋การปฏิบัติ?"หลวงปู่ทองรัตน์ไม่รู้จะเอาอะไรมากราบเรียนท่าน
เพราะไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น มีแต่หนักอย่างเดียว
เดินก็หนัก นอนก็หนัก นั่งก็หนัก
(พระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺโต)
พระอาจารย์มั่นพูดเป็นเชิงดุว่า
"การปฏิบัติอยากแต่ให้มันสงบ เอาแต่ตัณหาเข้าไปทำ มันจะเห็นอะไร?"แล้วท่านก็ไล่ให้ไปปฏิบัติอีก
ด้วยนิสัยที่ดุดัน เอาจริงเอาจังเป็นทุนอยู่แล้ว
เมื่อท่านได้ยินครูบาอาจารย์ท่านดุ เหมือนกับว่า ครูบาอาจารย์ท่านให้กำัลังใจจึงได้สะพายบาตร แบกกลด มุ่งหน้าสู่ป่าหนาดงทึบ
คราวนี้เอาจริงยิ่งกว่าเดิม
ทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิทั้งคืนทั้งวัน
ให้เวลาในการพักผ่อนน้อย ฉันก็ลดลง
จนมีอยู่วันหนึ่งขณะเดินจงกรมอยู่ อาการที่ว่า
"หนัก" ไม่รู้หายไปไหน
กลับมีแต่ความเบากายเบาใจ เดินไปทางไหนเหมือนกันจะปลิวไป
ไม่สามารถจะเล่าให้ใครฟังถูก
ปฏบัติติดต่ออยู่นาน อาการเบานั้นก็ยังเหมือนเดิม
จึงคิดว่า
"นี่หรือ..ที่คณูบาอาจารย์มั่นบอกว่า อาการของจิตสงบ"และได้กลับไปหาท่านพระอาจารย์มั่นอีกครั้ง
เมื่อกลับไปกราบเรียนพระอาจารย์มั่นคราวนี้
ท่านไม่ดุเหมือนก่อน และกราบเรียนท่านไปว่า
"ขะน้อยเห็นแล้วจิตสงบ""มันเป็นจั่งได๋จิตสงบ?" พระอาจารย์มั่นถาม
"จิตนั้นมันเบากาย เบาใจ ในอิริยาบถได๋มันก่ะเบา บอกบ่ถืก"หลวงป่ทองรัตน์ท่านได้กราบเรียนให้พระอาจารย์มั่นฟังถึงอาการต่างๆ
ที่ได้ประสบจากการทำความเพียรจนหมดสิ้น
พระอาจารย์มั่นท่านได้แนะนำแนวทางปฏิบัติต่อ
โดยให้พิจารณาขันธ์ ๕ ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณาให้เห็นแล้วย่อเข้ามา คือ กายกับใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของไม่มีตัวตน แยกมันให้ออกหลังจากได้รับอุบายจากพระอาจารย์มั่นแล้วก็กราบลาท่าน
ได้ออกปฏฺบัติเอง แล้วก็นำอุบายที่ท่านให้มา
พิจารณากลับไปกลับมาอยู่เป็นเวลานานหลายเดือน
จนก่อนเข้าพรรษาที่ ๓ ก็ปรากฏสภาวะทุกอย่างลงตัว
เกิดปีติขึ้นในจิตใจ สว่างโร่ทั้งกลางวันกลางคืน
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่แตกต่างกันอย่างไร
โลกทั้งโลกไม่สงสัยอะไร คิดอยู่ในใจว่า
ถ้าจะมีปัญหาร้อยแปดก็ไม่สงสัย
อาการของจิตในขณะนั้นนิ่งมาก ไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวได้อีกต่อไป
ยิ่งในอาการดังกล่าวยากที่จะบรรยายถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ได้
นอกจากตัวเองที่เรียกว่า
"ปัจจัตตัง"ลูกศิษย์รูปหนึ่ง เคยได้ยินหลวงปู่ทองรัตน์ท่านพูดเสมอว่า
"คำสอนถึงจะมีมากมายสักเพียงไร ก็ไม่เท่าการปฏิบัติให้เห็นเอง"จึงได้ถามหลวงปู่ต่อไปว่า
ที่ว่าคำสอนไม่เท่าการปฏิบัติมันเป็นอย่างไร?
หลวงปู่ตอบว่า
"การที่ฟังจากคนอื่นพูด เป็นได้แค่แนวทางเท่านั้น
ผู้อื่นไม่สามารถบอกผลการปฏิบัติเป็นคำพูดได้
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันจะเกิดขึ้นเอง
หากมีการปฏิบัติด้วยการทำกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์
ศีล สมาธิ ปัญญา จึงจะเกิดเอง"
"เรื่องอารมณ์เล็กๆน้อยๆอย่าข้าม
ถ้าศีลบริสุทธิ์ สมาธิและปัญญาจะก้าวหน้า
นั่งสมาธิบางทีก็มีคำถามและคำตอบขึ้นมาพร้อม
ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ เข้าป่าเป็นพระกรรมฐานไม่ได้
ผีหักคอบ้าง เสือกินบ้าง
พระที่ศีลไม่บริสุทธิ์เสือกัดตาย ตามถ้ำตามเขาเห็นกระดูกกองถมไป" เรียบเรียงจาก
หนังสือมณีรัตน์ อัญมณีแห่งไพรสณฑ์
ประวัติและปฏิปทาหลวงปู่ครูบาอาจารย์เฒ่าทองรัตน์ กนฺตสีโล. พิมพ์ครั้งที่ ๔,๒๕๕๒.หน้า ๒๕-๒๙