Bloggang.com : webew210 : ความรัก(ชาติ)

ความรัก(ชาติ)

จากวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ทั้งเรื่องนายกพระราชทาน เรื่องเลือกตั้งวันที่ 2เมษาที่ผ่านมาเป็นโมฆะ และรวมไปถึงเรื่องกกต.ถูกศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก4ปี ตัดสิทธิทางการเมือง10ปี โดยไม่รอลงอาญา เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถเรียนรู้จากวิกฤตการณ์ทางการเมืองเหล่านี้ ทำให้สังคมได้เรียนรู้และมีวิวัฒนาการจากความผิดพลาดต่างๆ และทำให้เราได้รู้ว่าการเมืองนั้นยังเป็นแค่การละเล่นของคนบางกลุ่มเท่านั้นเองซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนรวมในการเมืองตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2540 นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความรู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ๆมีอำนาจเท่านั้น

ภายหลังการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง และเกิดกระแสต้องการปฏิรูปทางการเมือง โดยการปฏิรูปทางการเมืองนั้นหลายฝ่ายนั้น บางฝ่ายเสนอในส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำให้รัฐบาลมีอำนาจน้อยลง เพื่อจะได้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลที่ดีกว่าที่เป็นอยู่(รัฐบาลเข้มแข็งมีเสถียรภาพ) ซึ่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการทำให้รัฐบาลมีอำนาจน้อยลงนี้ อาจจะทำให้กลับไปสู่ยุคพรรคการเมืองหลายพรรคและรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพเช่นเดิมก็ได้ และทำให้ความประชาธิปไตยของไทยไม่เติบโต

การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวโดยหวังที่จะทำให้การมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั้น ผมคิดว่าการแก้ไขแต่ตัวรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวคงจะไม่พอ และยังทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของไทยนั้นไม่พัฒนาไปข้างหน้าอีกด้วย ซึ่งผมคิดว่าการปฏิรูปทางการเมืองที่แท้จริงก็คือ การที่ทำให้ประชาชน(คนไทยทุกคน) มีความรู้เกี่ยวกับการเมือง โดยผ่านหลักสูตรในชั้นประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษา และการศึกษาทางการเมืองนี้ความจะเน้นให้ประชาชนนั้นเรียนรู้การเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เรียนรู้เพียงเพื่อให้ผ่าน หรือเรียนรู้เพียงเพื่อไปสอบอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ผมคิดว่าการปฏิรูปที่แท้จริงนั้นไม่อาจจะปฏิรูปได้แต่ตัวกฎหมายเท่านั้น ถ้าสมมติว่ามีการปฏิรูปเพียงแค่ตัวกฎหมาย โดยไม่ได้ทำให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ผมคิดว่าจะปฏิรูปไปอีกกี่ครั้ง การเมืองไทย ความเป็นประชาธิปไตยของไทย ก็ยังย่ำอยู่กับที่ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดทางให้กับกลุ่มทุนที่เล่นการเมืองได้หมุนเวียนเปลี่ยนกันบริหารประเทศท่ามกลางการย่ำอยู่กับที่ของประชาธิปไตยของไทย

การให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนทั่วไปนั้น มีมาตั้งแต่สมัยที่อาจารย์ปรีดี ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อที่จะให้การศึกษาเกี่ยวกับการเมือง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เกิดการศึกษาแบบตลาดวิชา รับสมัครโดยไม่จำกัดจำนวนนักศึกษา ทั้งนี้การก่อตั้งมหาวิทยาลัยเป็นไปเพื่อเจตนารมณ์ในการสอนเรื่องการเมืองให้แก่ประชาชน นอกจากการให้การศึกษาทางการเมืองกับประชาชนแล้ว การเมืองในระดับท้องถิ่นมีความสำคัญมาก ในหลายๆประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง การเมืองส่วนท้องถิ่นของเขา ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเท่านั้น แต่เขายังมีส่วนรวมในการกำหนดนโยบาย และมีส่วนรวมในการทำให้ชุมชนของเขาน่าอยู่ขึ้น โดยการร่วมกันทำสนามเด็กเล่นให้แก่ชุมชน การทำพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชุมชน ฯลฯ การปฏิรูปการเมืองต้องทำให้การเมืองระดับท้องถิ่นนี้ทำให้ประชาชนได้มีส่วนรวมอย่างจริงจังในการปกครองท้องถิ่นของตนเอง และต้องทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองนั้นสามารถมีส่วนร่วมในการเมืองได้ นอกจากนี้ต้องทำให้ประชาชนเปลี่ยนความรู้สึกว่าการเมืองคือการกาบัตรเลือกตั้งผ่านคูหาหรือการเมืองคือเรื่องของนักการเมือง ไปเป็นการเมืองคือการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน (ไม่ใช่แค่เรื่องของเสียงข้างมาก) ดังนั้นการปฏิรูปทางการเมืองครั้งนี้ควรจะเน้นในส่วนของการศึกษาทางการเมืองให้กับประชาชน และการทำให้การเมืองระดับท้องถิ่นแบบที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าการเมืองไทยนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ และการเมืองไทยที่ผ่านมายังย่ำอยู่กับที่นั้น เพราะเราละเลยในสองสิ่งดังที่กล่าวมาแล้ว

สุดท้ายนี้ผมหวังว่าหลังจากการปฏิรูปการเมืองคงจะไม่มีคำว่า“การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมือง”ต่อไปอีก

Create Date : 28 กรกฎาคม 2549

Last Update : 28 กรกฎาคม 2549 22:25:03 น.

2 comments

Counter : 369 Pageviews.

-*-

โดย: ปโตเรมี (โพลีติก

) วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:52:14 น.

การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน

ปล* ยาวมากเลยง่ะ ขอเม้นท์จองที่ไว้ก่อน แล้วมาอ่านทีหลังได้ไหม
แอบเห็นพูดถึงมธ.ด้วย

กอล์ฟน่าจะไปอยู่มธ.อ่ะ ดูแรงๆดี (ชมนะ 555+)

โดย: a r i t s u m e m o o n

วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:32:10 น.