Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
The mist :: ม่านหมอกในใจคน



photo by shashamane



วันนี้เลยที่เบื่อๆไม่มีไรทำ เลยออกไปดูหนังคนเดียว ด้วยเวลาอันจำกัดจำเขี่ย เลยได้ดูเรื่อง The mist ที่แปลว่า หมอก ...ซึ่งในภาษาอังกฤษ ยังมีความหมายอีก 1 ความหมาย คือ แปลว่า “สิ่งที่ทำให้มืดมน” แค่นี้ก็บอกเราเป็นนัยแล้วว่า หนังเรื่องนี้ ต้องมีนัยยะบางอย่าง ประกอบกับมีความประทับใจในหนังที่ดัดแปลงเรื่องราวจากนิยายของตา Stephen King ตั้งแต่เรื่องที่แล้วที่เกี่ยวกะเรื่องราววัยเด็ก เรื่องDreamcatcher เลยตัดสินใจตีตั๋ว 100 บาท เข้าไปดูได้ไม่ยากเย็นนัก

คำเตือน :
1. หากท่านต้องการความบันเทิง อยากดูสัตว์ประหลาดไล่ล่าผู้คน อยากดูพระเอก นางเอกที่หาทางออกให้ตัวเอง และพวกพ้องโดยการkill สัตว์ประหลาดด้วยวิธีการเท่ๆแบบเหนือความคาดหมาย อย่าไปดูหนังเรื่องนี้
2. หากท่านอยู่ช่วงเวลาของจิตตก จิตใจไม่เข้มแข็ง อย่าไปดูหนังเรื่องนี้เช่นกัน เพราะมันจะทำให้ท่านคิดมากเข้าไปอีก




ใครยังไม่ได้ดูห้ามอ่านต่อเด็ดขาด !!!








ช่วงต้นของเรื่องหนังเปิดเรื่องด้วยความรวดเร็วฉับไว คล้ายๆเป็นหนังสยองขวัญ สัตว์ประหลาดทั่วไปที่เราเห็นกันมา แต่ถ้าใครได้ดูหนังที่สร้างจากนวนิยายของStephen King บ่อยๆแล้วล่ะก็ คงจะพอเดาได้ไม่ยากว่า คุณนักเขียนชื่อก้องโลกผู้นี้ สอดใส่ประเด็นดราม่าและปรัชญาเข้ามาในงานเขียนของตัวเองที่ดูจาก “เปลือกนอก” มักเป็นหนังสยองขวัญสั่นประสาท+ตัวประหลาดจากนอกโลก เสมอๆ


ฉากที่เพื่อนบ้าน 2 บ้าน คือบ้านของตาDavid ผู้เป็นจิตรกรวาดภาพPosterส่งHollywood และ ตาทนายผิวดำเพื่อนบ้าน มีเรื่องกระทบกระทั่งกันมานานปี(จนถึงขั้นเกือบมีเรื่องฟ้องร้อง) กลับมาปรองดองกัน เพียงเพราะพายุที่พัดกระหน่ำเข้ามาทำให้ตัวละครต่างก็เห็นใจ กลับมาพึ่งพาอาศัยกัน ทำให้เรานึกถึงที่ใครเคยกล่าวไว้ว่า “ยามศึกเราร่วมกันรบ ยามสงบเรารบกันเอง”
ทำให้เราเองได้ย้อนกลับมามองตัวเองว่า จริงๆแล้ว เราได้เกลียดใครบางคนโดยที่จริงๆมันไม่จำเป็นเลยหรือไม่ ?

ฉากช่วงเปิดเรื่อง ทำให้เราเห็นธาตุแท้ในใจมนุษย์ ที่ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว ต่างรักตัวกลัวตาย ดังฉากที่ผู้หญิงผมสั้นกุดขอให้มีคนไปส่งเธอที่บ้านเพื่อไปหาลูก แต่ก็ไม่มีคนใดเสียสละไปกับเธอ รวมทั้งพระเอกของเรื่องคือ David ที่อ้างว่าต้องดูแลลูกชาย ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างปล่อยให้เธอเดินหน้าหายไปในท่ามกลางหมอก ทำให้คนดูหนัง ย้อนกลับมามองตัวเองว่า จะมีซักครั้งไหม ที่เราปล่อยให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยที่มีThe mist (สิ่งที่ทำให้มืดมน) เกิดขึ้นในใจเราเอง
คนดูหนัง และตัวละครที่ผจญกะ “หมอก” ในหนังนั้น ต่างมีความกลัวเกิดขึ้น กลัวทั้งๆที่ยังไม่รู้เลย ว่า ไอ้ที่อยู่ในหมอก และทำร้ายคน ทุกคนรับรู้เพียงแต่ว่าเจ้าตัวที่อยู่ในหมอกทำร้ายคนก็เพราะว่า ได้ยินเสียงร้องโหยหวน แต่ยังไม่เห็นด้วยตาว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ตัวละครทุกตัวนั้น เลือกที่จะเชื่อในทางร้ายไว้ก่อน เลือกที่จะกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งก็มีความหมายเดียวกับ The mist (สิ่งที่ทำให้มืดมน) อีกนั่นแหละ

ฉากที่ คนซ่อมบำรุงของsupermarket เถียงกะ David ที่ว่าจะให้เด็กยกของออกไปดูด้านนอก แล้วหาว่า David ได้ยินเสียงหลอนไปเอง ต่างคนต่างเถียงกันโดยที่คิดแต่ว่า “ข้ารู้เยอะกว่า” แสดงให้เห็นว่า คนเราทุกคนมีEgo บางที Ego เยอะเกินไปมันก็ทำร้าย/ทำลายอะไรบางอย่าง โดยที่จริงๆแล้วถ้าเราลดEgo ลงสักนิด หรือทุกๆคนลดego ของตัวเองลง เราอาจจะไม่ต้องสูญเสียบางสิ่งไปโดยที่ให้ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถทดแทน+นำอะไรที่เสียไปกลับมาได้

ฉากที่คนที่เจอหนวดหมึกยักษ์มาดึงเด็กยกของออกไปทำให้เค้าตาย โดยที่มีคนเห็นเพียงไม่กี่คนในห้องservice ของsupermarket โดยที่พอDavid ออกมาบอก ตาทนายผิวดำเพื่อนบ้านพระเอก เพื่อให้ตาผิวดำคนนี้ผู้ซึ่งเป็นทนายอนาคตไกลซึ่งแน่นอนว่า คนเป็นทนายย่อมจะมีการพูดที่ทำให้คนทั่วไปคล้อยตามได้ง่าย แล้วคุณทนายนี่ไม่เชื่อ เพียงเพราะคุณทนายคิดว่า David อยากทำให้เค้าเป็นตัวตลก เนื่องจากมีอคติ(bias) จากเรื่องในอดีตที่ไม่ดีจากความเป็นเพื่อนบ้านของDavid ทำให้คนดูตาดำๆแบบเราต้องนึกย้อนถามตัวเองอีกล่ะ ว่า
เคยมีไหมที่เรามีความรู้สึกในเชิงลบไปก่อนกับเหตุการณ์บางอย่าง เพียงเพราะว่า เกิดอคติในใจ เราไม่ได้ใช้จิตที่เป็นกลางในการตัดสินใจอย่างที่ควรกระทำ
เรื่องนี้พูดยาก ที่จะห้ามจิต+ใจของตัวเองไม่ให้ระลึกถึงประสบการณ์(Experience) ที่ผ่านมานำมาประกอบในการคิด ก็ในเมื่อมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ ยังมีสมองไว้จดจำ มีจิตไว้เชื่อมต่อเรื่องราว และมีใจไว้รับความรู้สึก

ฉากที่คุณทนายผิวดำ+พวก เดินฝ่าม่านหมอกออกไปกับคนจำนวนหนึ่ง ที่ไม่เชื่อเรื่องสัตว์ประหลาดจากปากDavidและพรรคพวก โดยไม่กลัวเพียงเพราะว่า คุณทนายผิวดำ+พวกที่เดินพร้อมออกไปนั้น ก็ “กำลังเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อ” ทำให้เขากล้าเดินออกไปท่ามกลางทะเลหมอก ที่แม้ว่ามองไปทางไหนก็เห็นเป็นเพียงความพร่ามัว+เลือนลาง


ฉากที่ป้าคาโมดี้-ผู้คลั่งศาสนาคุยกะพระเจ้าในห้องน้ำ ทำให้เราเห็นว่า คนเราเมื่อถึงเวลาอับจนหนทางแล้ว มักจะรำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ (อันนี้ไม่รู้ มีนัยยะอะไรไหม เพราะ “อ่าน”ไม่ออก)

ออลลี่ – ตาแว่นหัวล้าน พนักงานผู้กล้าหาญ ท่าทางเนิร์ดๆ ดูแหยๆนั้น แต่แท้จริงเป็นผู้กล้าหาญในหลายๆครั้ง ทำให้เราเห็นแบบที่เจ้าชายน้อยเคยพูดไว้ว่า
“เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา"
บ่อยครั้งไป ที่เรามองคนแค่ที่ภายนอก เชื่อสิ่งที่เราเห็นด้วยตา?!?

ป้าคาโมดี้ – ผู้ที่ไม่โดนแมลงต่อยทำไมแมลงจึงล่าถอยไป เพราะป้าเค้านิ่งๆ หรือว่า ป้าเค้าเชื่อในพระเจ้า ? พอแมลงล่าถอยเอง ทำให้ป้าแกเชื่อหนักเลยว่าเป็นเพราะป้าแกภักดีต่อพระเจ้า
เรื่องประเด็นที่ป้าแกพูดถึง แต่พระผู้เป็นเจ้ามากมายก่ายกองก็เป็นอะไรที่เราไม่ค่อยเข้าถึง แต่คิดว่า คนที่ยึดศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจคงมีอยู่ไม่น้อย


ฉากที่เราไม่เข้าใจมากที่สุด คือ ฉากที่Davidและพวก ตัดสินใจออกไปเอายาที่ร้านขายยาซึ่งต้องออกไปในม่านหมอก เพื่อเอายาที่จะระงับความเจ็บปวดเพื่อให้เพื่อนที่ถูกไฟคลอก
ไม่เข้าใจว่าจะเสี่ยงชีวิตตั้งหลายคน เพื่อไปเอายามาช่วยคนเพียง 1-2 คนทำไม เสี่ยงไปแล้วมีประโยชน์อะไร หรือแค่เป็นฉากที่อยากทำให้คนดูรู้ว่า David ก็เป็นผู้มีจริยธรรมแก่โลกนี้ ดีเกินมนุษย์ หรือเป็นเพียงฉากที่อยากบอกคนดูว่าทนายผิวดำ + พวกพ้องที่เดินออกไปด้วยกันถูกสัตว์ประหลาดทำร้าย + พันด้วยใยจนตายหมด


ฉากที่ทุกคนในsupermarketคุ้มคลั่ง กว่า 48ชม ที่หาทางออกไม่ได้ เริ่มเชื่อว่าพระเจ้าต้องการลงโทษ และต้องหาคนไปสังเวยตามที่ป้าคาโมดี้ ผู้ซึ่งทุกคนเชื่อว่า เป็นผู้สื่อสารกับพระเจ้าได้ ขณะที่ทะเลาะกันอยู่นั้น เมื่อหาต้นตอที่ทำให้ทุกคนมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ ก็เริ่มหาคนผิด และ คนที่เป็นแพะรับบาป ก็คือ น้องทหาร(คิ้วสวย) ผู้เป็นตัวแทนของกองทัพสหรัฐ ที่ทุกคนเชื่อว่าการวิจัยของกองทัพทำให้เกิดหมอก+สัตว์ประหลาด
น้องทหารหนุ่มเป็นแค่ตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง ต้องมาตายเพราะถูกมีดแทง เพียงเพราะสาวกป้าคาโมดี้ เชื่อว่า ต้องลงโทษตัวแทนกองทัพสหรัฐผู้นี้ ฉากนี้ดูแล้วเศร้ามากทีเดียวที่ บางครั้งมนุษย์ต้องมาเข่นฆ่าหรือทำร้ายกันเอง เพราะความเชื่อแบบผิดๆที่ถ้าไม่ได้ใช้จิตตรองดูก่อนที่จะกระทำ

อีกฉากที่ผู้คนคลุ้มคลั่งท้ายที่สุดกลายมาเป็น สาวกป้าคาโมดี้เกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกพระเอก ทำตามคำสั่งป้าแก โดยที่จะเอาลูกพระเอกมาสังเวย งงมากเลยว่าทำไมคนทั้งหมดคิดได้แค่นั้น นี่แสดงว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรมากดดันเรามากๆ มนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐจะใช้แค่สัญชาตญาณในการทำ/ไม่ทำบางอย่าง ซึ่งสัญชาตญาณเหล่านั้น ทำไมมักจะเป็นในด้านมืดเสมอ? อันนี้ใครรู้จริงช่วยตอบด้วยนะคะ เพราะเราสะดุดหูกับ ตอนนึงที่ผู้หญิงผมสีทองพยายามพูดกะทุกคนทางฝ่ายพระเอก ตอนที่จะหนีไปด้วยกันเพียงไม่กี่คนว่า “โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี” อันนี้ก็เป็นคำถามในใจเราค่ะ ใครก็ได้ช่วยตอบเรื่องนี้หน่อย?


ฉากที่David ต้องตัดสินใจยิงคนที่หนีรอดที่อยู่บนรถมาด้วยกัน เพียงเพราะว่า สิ้นหวังที่ไปเอายามาไม่ได้ สิ้นหวังแล้วที่ต้องหนีออกจากsupermarket เนื่องจากจะโดนเอาลูกชายสังเวยพระเจ้า สิ้นหวังแล้วที่ ขับรถกลับไปเจอที่บ้านเมียก็ตายเสียแล้ว แถมยังมาน้ำมันหมด+รถตาย โดยที่ยังขับหนีไปได้ไม่เลยม่านหมอกที่ปกคลุม เพียงเท่านั้นน่ะหรือ ที่ทำให้มนุษย์กลุ่มนึงที่ผจญเรื่องร้ายๆมากที่สุดในชีวิต ถึงกะคิดลาจากไปจากโลกนี้โดยน้ำมือและความสมัครใจของตัวเอง
ยอมละทิ้งสิ่งที่พยายามมาทั้งหมดเนื่องจากไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว
ม่านหมอกช่างทำให้ตัวละครทุกตัวในขณะนั้นไม่เห็นทางไปต่อ ไม่คิดแม้แต่จะลงจากรถมาเพื่อเดินเท้า หรือรอดูสถานการณ์ในรถ เพียงเพราะได้ยินเสียงสัตว์ประหลาดอยู่เบื้องหลัง
ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า เราเคยสิ้นหวัง+เลิกศรัทธาง่ายๆไหม
เราเคยไม่ได้พยายามอะไรถึงที่สุดก่อนที่จะเลิกล้มความตั้งใจหรือเปล่า
ทำไมถึงมีคำที่ว่า “ในโลกนี้มีแต่ใครล้มเหลวหรอก มีแต่คนที่เลิกล้มต่างหาก”

ฉากจบ ที่ David ร้องว่าพระเจ้าลงโทษเค้า เนื่องจากพอยิงทุกคนบนรถตายหมดแล้ว ไม่เหลือกระสุนแล้ว เค้ายังไม่ตาย จึงลงจากรถมาเพื่ออยากให้สัตว์ประหลาดมาทำให้เค้าตายไป
หนังทำเอาเราจุก เมื่อเราเห็นว่า สิ่งที่โผล่มาจากม่านหมอกนั้นไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นรถของทหารที่สามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว ถ้าเพียงแต่ทุกคนบนรถรอเพียงแค่5-10นาที ทุกคนก็ไม่ต้องตายจากไปแบบสิ้นหวัง ….

ไม่อยากให้จบแบบนี้เลยดูมันทำร้ายคนดูไปหน่อย จริงๆก็ชอบแทบจะทั้งเรื่องนะ แต่ไม่ชอบตอนจบจริงๆ แถมไปsearchเจอว่า ตอนจบในหนังสือ คือ ทุกคนบนรถหนีออกมาได้และพยายามวิทยุติดต่อกะคนอื่นอยู่ ยิ่งทำให้ชอบตอนจบในหนังสือมากกว่า เนื่องจากให้ทางเลือกที่เปิดกว้างให้เรากลับไปคิดต่อได้มากกว่าเยอะ


สรุปโดยรวม หนังเรื่องนี้ จี้ใจดำคนดูตาดำๆแบบเราเป็นระยะๆ เกือบทุก 5-10 นาที จะต้องมีช๊อตที่ทำให้เราคิดว่า ถ้าเราเป็นตัวละครตัวนั้นตัวนี้ เราจะทำแบบที่ตัวละครทำหรือไม่ //// ฝึกการเชคเรื่องคุณธรรม + จริยธรรมแบบจี๊ดๆ เหอๆ สม
สมดังชื่อเรื่อง the mist = สิ่งที่ทำให้มืดมน = ม่านหมอกในใจคน ที่ทำให้เราเห็นด้านมืดของจิตใจเราเสมอ

ปล ไม่เข้าใจแถมท้ายด้วยการเห็นผู้หญิงผมสั้นนั้นปลอดภัยมากับลูกๆเธอ บนรถทหาร อันนี้หนังอยากสื่ออะไรคะ อยากบอกว่า เป็นเพราะเรื่องดวงหรือเพราะพระเจ้า ?
ปล2 ผู้หญิงผมทองที่หนีไปกะDavid เป็นตัวแทนของอะไรหนังต้องการสื่ออะไรจากตัวละครตัวนี้คะ




Create Date : 03 มีนาคม 2551
Last Update : 21 มีนาคม 2554 23:21:21 น. 3 comments
Counter : 2282 Pageviews.

 
ไม่ได้แวะมาซะนานเลย ไม่ค่อยถูกโรคกะหนังแนวนี้ ขออนุญาตอ่านที่คุณเม้าท์ให้ฟังอย่างเดียว

ชอบรูปมากค่ะ แสงสีนุ่มตา ดูเหมือนภาพเขียนเลยค่ะ


โดย: haiku วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:19:56:04 น.  

 
ตามมาจากบลอคอบีไฮยูครับ วิจารณ์หนังเยี่ยมไปเลยครับ ผมชอบฉากสุดท้ายตอนที่กล้องค่อยๆสูงขึ้นเห็นทหารเดินทัพรู้สึกชอบครับ ชอบแนวโพสอะโพคาลิปซี่มากมาย อยากดูหนังแนวนี้อีก


โดย: ผมอย่ข้างข้างคุณ IP: 125.26.52.58 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:22:35:45 น.  

 
+_+ เปนบล็อคที่อ่านยาก เพราะไม่กล้าอ่าน
ขอไปดูก่อน จะกลับมาอ่าน

เด๋วสปอยยย ... เงิ่บบบ


โดย: อซ IP: 58.10.158.197 วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:0:52:40 น.  

vodca
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Friends' blogs
[Add vodca's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.