วิชาบัญชี
แนวข้อสอบกลางภาค
ใครทำแบบฝึกหัดได้ก็ทำข้อสอบได้นะ 1. ให้แบ่งประเภทของค่าใช้จ่ายว่าแต่ละค่าใช่จ่ายเป็นต้นทุนประเภทไหน เช่น เงินเดือนผู้จัดการ เป็นต้นทุนคงที่,เป็นเป็นต้นใรการบริหาร 2. ดูแบบฝึกหัดจะเป็นเรื่องการหา POHR จะให้งานมาแล้วหาต้นทุนของแต่ละงานแล้วจะถามว่างานที่ทำเสร็จมีต้นทุนเท่าไรจะขายได้กำไรเท่าไรงานที่ทำไมเสร็จคืนงานอะไรต้นทุนเท่าไร (ดูแบบฝึกหัดข้อ 3-45 หน้า 121) 3. เป็นเรื่องหนวบเทียบสำเร็จรูปดูแบบฝึดหัดข้อ( 4-28หน่า 161,4-31หน้า163) 4. ต้นทุนตามฐานกิจกรรม ABC เหมือนแบบฝึกหัดเช่นกัน สรุปดูแบบฝึกหัดให้ดีๆๆก็จะทำได้นะ
|
|
|
การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน
จุดคุ้มทุน หมายถึง จุดการดำเนินงานที่กิจการไม่มีกำไร และไม่ขาดทุน การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนสามารถวิเคราะห์ได้ 3 วิธี คือ 1.วิธีการใช้สมการ (The equation approach) 2.วิธีกำไรส่วนเกิน (The contribution approach) 3.วิธีแผนภาพ (The graphical approach)
เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ตลอดจนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจของกิจการประเภทต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ก็จะขออธิบายและยกตัวอย่างประกอบในแต่ละวิธีดังต่อไปนี้ 1.วิธีการใช้สมการ (The Equation Approach) เป็นการใช้สมการขั้นพื้นฐานของการคำนวณต้นทุนมาทำการประยุกต์ กล่าวคือ ยอดขาย = ต้นทุนผันแปร + ต้นทุนคงที่ + กำไรสุทธิ หรือเขียนเป็นสัญลักษณ์S = VC + FC + NI
ดังนั้น ณ จุดคุ้มทุนก็คือ :
S = VC + FC + o ถ้ากำหนดให้ X = ปริมาณหน่วยที่ผลิตและจำหน่ายเราก็สามารถเขียนสมการได้ในอีกลักษณะหนึ่ง คือ PX = VX FC
ด้วยเหตุนี้การหาจุดคุ้มทุนในลักษณะที่เป็นจำนวนเงินก็คือค่า S แต่ถ้าต้องการหาจุดคุ้มทุนในลักษณะของการคำนวณหน่วยก็คือค่า X
ตัวอย่างของบริษัท ABC จำกัดขายสินค้าราคาขายต่อหน่วย (P) = 25 บาท ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย (V) = 10 บาท และต้นทุนคงที่ (FC) = 15,000 บาท ดังนั้น เราสามารถแทนค่าในสมการได้โดย
PX = VX FC 25x = 10x + 15,000 25x 10x = 15,000 (25 - 10)x = 15,000 15x= 15,000 x= 15,000 / 15 x = 1,000 หน่วย
ดังนั้นจุดคุ้มทุนของบริษัท ABC จำกัด ก็จะเท่ากับ 1,000 หน่วย
2. วิธีการกำไรส่วนเกิน (The Contribution Margin Approach) การใช้แนวคิดเกี่ยวกับกำไรส่วนเกิน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราสามารถนำมาทำการคำนวณจุดคุ้มทุนได้โดยง่าย และเป็นวิธีที่นิยมใช้กันค่อนข้างมาก ดังสูตรต่อไปนี้
จุดคุ้มทุน (หน่วย)=ต้นทุนคงที่ กำไรส่วนเกินต่อหน่วย
หรือเขียนเป็นสัญลักษณ์ X(BE)=FC UCM
ถ้าต้องการที่จะได้คำตอบจากการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนในรูปของจำนวนเงิน ก็สามารถที่จะคำนวณได้จาก จุดคุ้มทุน (บาท) = จุดคุ้มทุน (หน่วย) x ราคาขายต่อหน่วย
หรือ จุดคุ้มทุน(บาท) = ต้นทุนคงที่ อัตรากำไรส่วนเกิน เขียนเป็นสัญลักษณ์
S(BE) = FC CMR
จากตัวอย่างเดิมกำไรส่วนเกินต่อหน่วยก็จะเท่ากับ 15 บาท (25 - 10) และอัตรากำไรส่วนเกิน 60% ดังนั้น เราสามารถวิเคราะห์จุดคุ้มทุนได้จาก
จุดคุ้มทุน(หน่วย)= 15,000 / 15 = 1,000 หน่วย
จุดคุ้มทุน(บาท)= 1,000 x 25 = 25,000 บาท
หรือ จุดคุ้มทุน(บาท) = 15,000 .60 = 25,000 บาท 3. วิธีแผนภาพ (The Graphical Approach) เป็นวิธีการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนด้วยแผนภาพหรือแผนภูมิ ซึ่งบางครั้งเราก็จะเรียกว่าแผนภาพจุดคุ้มทุน (Break even chat) ดังแสดงในรูปที่ 4 1 ข้อมูลเกี่ยวกับยอดขาย ต้นทุนผันแปร ต้นทุนคงที่ ก็จะถูกกำหนดบนแกนตั้ง ในขณะที่ปริมาณหรือจำนวนหน่วยจะถูกกำหนดลงบนแกนนอน จุดคุ้มทุน ก็คือ จุดที่เส้นของยอดขายและเส้นของต้นทุนรวมตัดกัน นอกจากนี้ในการวิเคราะห์เกี่ยวกับกำไร ซึ่งเราเรียกว่า แผนภาพกำไร (The profit volume chart) ดังแสดงในรูปที่ 4 2 ได้แสดงเน้นลงไปในเรื่องของกำไรของกิจการว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ไปตามปริมาณได้อย่างไร โดยกำหนดให้แกนตั้งเป็นตัวเลขของกำไร ในขณะที่แกนนอนจะเป็นตัวเลขของปริมาณ ให้สังเกตว่า ความชัน (slope) ของเส้นในแผนภาพ ก็คือ กำไรส่วนเกินต่อหน่วยนั้นเอง
ที่มา //www.geocities.com/mppm6055
|
|
|
ต้นทุนมาตรฐานและการวิเคราะห์ผลต่าง
ประเด็นสำคัญประการหนึ่งของการใช้ระบบบัญชีตามความรับผิดชอบก็คือ การกำหนดต้นทุนมาตรฐาน และการประเมินผลงานโดยนำต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงมาทำการเปรียบเทียบกับต้นทุนมาตรฐาน ซึ่งผลแตกต่างระหว่างต้นทุนจริงและต้นทุนมาตรฐานนั้น เรียกว่า ผลต่าง (Variance) โดยสามารถวิเคราะห์ได้จากศูนย์ต้นทุนต่าง ๆ และผลต่างที่วิเคราะห์ได้นี้เองก็กลายเป็นเครื่องมือของผู้บริหารในการ ใช้ประเมินผลงานของศูนย์ต้นทุนนั้น ๆ ต้นทุนมาตรฐาน (Standard Cost) จะถูกกำหนดขึ้นภายใต้หลักเกณฑ์ทางกายภาพ (Physical) และ จำนวนเงิน โดยในการกำหนดต้นทุนมาตรฐานก็จะนำปริมาณมาตรฐาน (Standard quantity) ที่จะใช้ในการผลิต คูณกับราคามาตรฐาน (Standard price) และโดยทั่วไปในการวิเคราะห์ผลต่างก็จะได้ผลต่าง อยู่ 2 ชนิดคือ ผลต่างทางด้านราคา (Price Variance) และผลต่างทางด้านปริมาณ (Quantity) การคำนวณหาผลต่างดังกล่าวสามารถกำหนดได้จากสูตรดังนี้ ก) ผลต่างทางด้านราคา = ปริมาณจริง x (ราคาจริง - ราคามาตรฐาน) หรือ Price variance = Actual Quantity x (Actual price - Standard price) = AQ x (AP - SP) = (AQ x AP) - (AQ x SP)
ข) ผลต่างทางด้านปริมาณ = (ปริมาณจริง - ปริมาณมาตรฐาน) x ราคามาตรฐาน หรือ Quantity variance = (Actual quantity - Standard quantity) x Standard price = (AQ - SQ) x SP = (AQ x SP) - (SQ x SP)
รูปที่ 2 ได้แสดงรูปแบบทั่วไปสำหรับการวิเคราะห์ผลต่างของศูนย์ต้นทุนในกิจการต่าง ๆ และมีข้อสังเกตที่สำคัญ 3 ประการดังนี้ 1. ผลต่างทางด้านราคา และผลต่างทางด้านปริมาณนี้สามารถใช้ในการวิเคราะห์ต้นทุนผันแปรทั้ง 3 ชนิดได้คือ วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรงและค่าใช้จ่ายโรงงานส่วนที่ผันแปรเพียงแต่ชื่อที่ใช้เรียกผลต่างนั้น ๆ ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปบ้างเช่น ถ้าเป็นผลต่างทางด้านราคาก็จะเรียกได้เป็น ผลต่างทางด้านราคาวัตถุดิบ ผลต่างทางด้านอัตราค่าจ้างแรงงานและผลต่างทางด้านการใช้จ่ายค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปร (Variable Overhead spending Variance) เป็นต้น 2. ผลต่างที่วิเคราะห์ได้จะถือว่า ไม่น่าพอใจ (Unfavorable = U) ก็ต่อเมื่อราคาจริง (AP) หรือปริมาณจริง (AQ) สูงกว่าราคามาตรฐาน (SP) หรือปริมาณมาตรฐาน (SQ) แต่ถ้าผลต่างที่วิเคราะห์ได้เกิดจาก ราคาจริง (AP) หรือปริมาณจริง (AQ)ต่ำกว่าราคามาตรฐาน (SP) หรือปริมาณมาตรฐาน (SQ) ก็จะถือเป็นผลต่างที่ น่าพอใจ (Favorable = F) 3. ปริมาณมาตรฐานที่ควรจะเป็นตามผลผลิตจริง (The standard quantity allowed for output) จะเป็นแนวคิดหลักสำหรับการวิเคราะห์ผลต่าง
รูปที่ 2 แสดงรูปแบบของการวิเคราะห์ผลต่างของศูนย์ต้นทุน
ผลต่างทางด้านวัตถุดิบ (Materials variances) ผลต่างทางด้านราคาวัตถุดิบที่ซื้อ จะเกิดขึ้นเมื่อกิจการได้ทำการซื้อวัตถุดิบ ในการคำนวณก็จะใช้ ราคาวัตถุดิบที่ซื้อจริงและปริมาณวัตถุดิบที่ซื้อจริงเป็นเกณฑ์ โดยปกติแผนกจัดซื้อ ก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เกี่ยวกับผลต่างทางด้านราคาวัตถุดิบที่เกิดขึ้น ส่วนการคำนวณผลต่างทางด้านปริมาณการใช้วัตถุดิบที่ใช้จริง ซึ่งแผนกผลิตก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับผลต่างทางด้านปริมาณการใช้วัตถุดิบที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างที่ 1 บริษัท อินทรา จำกัด ได้ใช้ระบบต้นทุนมาตรฐานโดย มีต้นทุนผันแปรมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ A ดังต่อไปนี้ วัตถุดิบ : 2 ปอนด์ ๆ ละ 3 บาท ค่าแรงงาน : 1 ชั่วโมง ๆ ละ 5 บาท ค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปร : 3 บาทต่อชั่วโมงแรงงาน ในระหว่างเดือนมีนาคม บริษัทได้ทำการซื้อวัตถุดิบทั้งสิ้น 25,000 ปอนด์เป็นเงิน 74,750 บาท และวัตถุดิบได้ถูกใช้ในการผลิต 20,750 ปอนด์สำหรับการผลิตสินค้า A จำนวน 10,000 หน่วย ค่าแรงงานทางตรงเกิดขึ้นทั้งสิ้นเท่ากับ 49,896 บาท (10,080 ชั่วโมง) และส่วนค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปรเกิดขึ้นเท่ากับ 34,776 บาท จงวิเคราะห์ผลต่างของวัตถุดิบที่เกิดขึ้นในระหว่างเดือนมีนาคมของบริษัท อินทรา จำกัด ผลต่างทางด้านราคาวัตถุดิบที่ซื้อ = AQ(AP - SP) = (AQx AP) (AQ x SP) Materials purchase price variance) = 25,000 ปอนด์ (2.99 บาท - 3.00 บาท) = 74,750 บาท - 75,000 บาท = 250 บาท (F) [F = Favorable พอใจ เพราะราคาต่ำกว่าที่ตั้งไว้]
ผลต่างทางด้านปริมาณการใช้วัตถุดิบ (Materials quantity (usage) variance) = (AQ SQ) SP=(AQ xSP)(SQ x SP) =(20,750ปอนด์20,000*ปอนด์)(3.00 บาท) = 62,250 บาท - 60,000 บาท = 2,250 บาท (U) [ U = Unfavorable ไม่ พอใจ เพราะใช้วัตถุดิบสูงกว่าที่ตั้งไว้ ] * สินค้าที่ผลิตได้ 10,000 หน่วย โดยการผลิตสินค้าสำเร็จรูป 1 หน่วยต้องใช้วัตถุดิบ 2 ปอนด์ จากการคำนวณผลต่างดังกล่าว เราจะสังเกตได้ว่าปริมาณการซื้อและการใช้วัตถุดิบในที่นี้มีจำนวนไม่เท่ากัน ดังนั้นการหาผลต่างรวมของวัตถุดิบด้วยแผนภาพต่อไปนี้ (รูปที่ 3) จึงไม่สามารถที่จะแสดงได้ด้วยการนำ (AQ x AP) (SQ x SP)
รูปที่ 3 แสดงการวิเคราะห์ผลต่างทางด้านวัตถุดิบ ผลต่างทางด้านแรงงานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ผลต่างทางด้านอัตราค่าจ้างแรงงาน และ ผลต่างทางด้านประสิทธิภาพแรงงาน ซึ่งผลต่างทั้ง 2 ประเภทนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันทันที่ที่กิจการมีการใช้ แรงงานในการผลิต โดยฝ่ายผลิตจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเกิดผลต่างทั้ง 2 ประเภท เพื่อจะได้ ทราบแนวทางใน การวิเคราะห์หาสาเหตุความบกพร่องในการใช้แรงงานเพื่อการผลิตต่อไป ตัวอย่างที่ 2 จากข้อมูลเดิมในตัวอย่างที่ 1 การวิเคราะห์ผลต่างทางด้านแรงงานสามารถทำการวิเคราะห์ได้ด้วยการคำนวณ และแผนภาพดังต่อไปนี้ข้อ ผลต่างทางด้านอัตราค่าจ้างแรงงาน = AH(AR - SR) (Labor rate variance) = (AH x AR) (AH x SR) = (10,080 ชั่วโมง) (4.95 บาท 5.00 บาท) = 49,896 บาท - 50,400 บาท = 504 บาท (F)[F = Favorable พอใจ เพราะ ค่าแรงจริงต่ำกว่าที่ตั้งไว้] ผลต่างทางด้านประสิทธิภาพแรงงาน = (AH - SH)SR (Labor efficiency variance) =(10,080 ชั่วโมง 10,000*ชั่วโมง)x 5.00 บาท = 50,400 บาท - 50,000 บาท = 400 บาท (U)[ U = Unfavorable ไม่พอใจ เพราะ ทำงานนานกว่าที่ตั้งไว้] * ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป 1 หน่วยต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมง ดังนั้นในเดือนมีนาคมนี้กิจการทำ การผลิต 10,000 หน่วยก็ควรจะใช้เวลา 10,000 ชั่วโมงตามมาตรฐาน หมายเหตุ : AH = จำนวนชั่วโมงแรงงานจริง SH = จำนวนชั่วโมงแรงงานมาตรฐาน AR = อัตราค่าจ้างแรงงานจริง SR = อัตราค่าจ้างแรงงานมาตรฐาน
รูปที่ 4 แสดงวิเคราะห์ผลต่างทางด้านแรงงาน ผลต่างทางด้านค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปร (Variable factory overhead variances) ผลต่างทางด้านค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปร สามารถที่จะทำการคำนวณได้ง่าย ๆ เช่น เดียวกับการหา ผลต่างทางด้านแรงงาน โดยทั่วไปแล้วแผนกผลิตก็จะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับผลต่างชนิดนี้ที่เกิดขึ้น สำหรับผลต่างทางด้านค่าใช้จ่ายโรงงานคงที่ก็สามารถที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการควบคุมให้เกิดประสิทธิภาพได้ แต่ตามปกติแล้วผลต่างประเภทนี้ก็มักจะอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของฝ่ายผลิต
ตัวอย่างที่ 3 จากข้อมูลในตัวอย่างที่ 1 เราสามารถนำมาทำการวิเคราะห์ปาผลต่างทางด้านค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปรได้ดังนี้ ผลต่างทางด้านการใช้จ่ายค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปร (Variable overhead spending variance) = AH(AR - SR) = (AH x AR) - (AH x SR) = (10,080 ชั่วโมง) (3.45 บาท - 3.00 บาท) = 34,776 บาท - 30,240 บาท = 4,536 บาท(U) ผลต่างทางด้านประสิทธิภาพค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปร = (AH - SH)SR (Variable Overhead efficiency variance) = (10,080 ชั่วโมง 10,000*ชั่วโมง) (3.00 บาท) = 30,240 บาท - 30,000 บาท = 240 บาท(U)
* เมื่อกิจการทำการผลิต 10,000 หน่วยและมีชั่วโมงการผลิตมาตรฐาน 1 หน่วยต่อ 1 ชั่วโมงดังนั้นเวลาที่ใช้ในการผลิตตามมาตรฐานจึงเท่ากับ 10,000 ชั่วโมง หมายเหตุ : AH = จำนวนชั่วโมงแรงงานจริง SH = จำนวนชั่วโมงแรงงานมาตรฐาน AR = อัตราค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปรจริง SR = อัตราค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปรมาตรฐาน หรือ สามารถวิเคราะห์ผลต่างในลักษณะแผนภาพก็ได้เช่นเดียวกัน ดังในรูปที่ 5
รูปที่ 5 แสดงการวิเคราะห์ผลต่างทางด้านค่าใช้จ่ายโรงงานผันแปร
เอกสารเพิ่มเติม ต้นทุนมาตรฐานและการวิเคราะห์ผลต่าง( โดย.. ธนิดา ภู่แดง ) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
|
|
|
แนวข้อสอบปลายภาค 1. จุดคุ้มทันจะเป็นธุรกิจบริการซึ่งที่ผ่านมาอาจารย์จะให้ทำแบบฝึกหัดเป็นการผลิตสินค้าโดยอาจารย์จะให้ข้อมูลเกียวกับโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดให้บริการ 60 เตียงนอน โดยจะมีถึงต้นทุนคงที่(ต่อเตียงนอน)และต้นทุนผันแปร(ต่อวันนอน) และก็จำบอกว่าโดยต้นทุนดังกล่าวยังไม่รวมเงินเดือนหมด,พยาบาลและผู้ช่วยพยายาลแต่จำนวนหมด,พยายาลและผู้ช่วยพยาบาลขึ้นอยู่กับจำนวนวันนอนซึ่งอาจารย์จะให้ ช่วงของวันนอนว่า 0-20,001จะมีหมอ..2คน....มีพยาบาล ....3คน...มีผู้ช่วย....3คน แล้วก็บอกต่อว่าโรงพยาบาลเปิดให้บริการ 365 วันต่อปี โดยมีรายได้ปีที่ผ่ามา 12,000,000 บาท ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะมีรายได้วันละ 600 บาท 1. ให้หาจำนวนวันนอน 2. ให้หาจุดคุ้มทุนเป็นวันนอนและเป็นบาท 3. ให้ห้ส่วนเกินปลอดภัย
2. ให้หาผลต่างของ DM,DL (ดูแบบฝึกหัด) 3. ให้หาผลต่างของ V.MOH,F.MOH (ดูแบบฝึกหัด) 4. ให้โจทย์มาจะมีอัตราดอกเบี้ยมูลค่าตลาดของหุ้นราคาตามบัญชีของหุ้นและอัตราการจ่ายเงินปันผล อัตราภาษีให้คำนวนหา WACC,EVA 5. ให้โจทย์มาจะบอกราคาขาย,ต้นทุนผันแปรและจะบอกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจะมีต้นทุนคงที่ .... บาทต่อชัวโมง ให้หากำไรส่วนเกินต่อหน่วย,จะผลิตสินค้าตัวไหนก่อน,และผลิดได้เท่าไรต้องซื้อเท่าไร
|
|
|
Create Date : 04 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 20 มกราคม 2551 17:25:32 น. |
|
8 comments
|
Counter : 5793 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ม๋อมแม๋ม IP: 203.146.63.182 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:52:04 น. |
|
|
|
โดย: aomaun111+++!*!* IP: 203.172.61.180 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:38:42 น. |
|
|
|
โดย: aung IP: 58.9.35.20 วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:19:19:35 น. |
|
|
|
โดย: เฉลยข้อสอบปลายภาคให้หน่อย IP: 203.144.230.211 วันที่: 21 มกราคม 2551 เวลา:10:51:47 น. |
|
|
|
โดย: *-* IP: 125.25.77.199 วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:20:31:22 น. |
|
|
|
โดย: หลงเอ๋อ IP: 202.91.18.204 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:23:37:07 น. |
|
|
|
โดย: เต้ย IP: 58.8.58.183 วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:1:36:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|