ความรู้ทั่วไป
Basel II กับอนาคต ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะนำหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนของสถาบันการเงิน (สง.) ตาม Basel II มาบังคับใช้กับธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง เพื่อให้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนสามารถสะท้อนความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับภาวะตลาดการเงินที่มีความซับซ้อนขึ้น และครอบคลุมประเภทความเสี่ยงที่สำคัญจากการดำเนินธุรกิจของ สง. นอกจากนี้ เพื่อเน้นถึงบทบาทของ ธปท. ในการดูแลให้ สง. มีระบบบริหารความเสี่ยงและเงินกองทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ขนาดและลักษณะธุรกรรมของแต่ละ สง. รวมถึงการให้ความสำคัญต่อบทบาทของกลไกตลาด โดยกำหนดกรอบการเปิดเผยข้อมูลของ สง. เพื่อให้ผู้มีบทบาทในตลาดสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประเมิน สง. ได้
Basel II ประกอบด้วย 3 หลักการ หรือที่นิยมเรียกกันว่า "3 Pillars" ได้แก่ Pillar I หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำ (Minimum Capital Requirement) เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านเครดิต ด้านตลาด และด้านปฏิบัติการ Pillar II การกำกับดูแลโดยทางการ (Supervisory Review Process) และ Pillar III การใช้กลไกตลาดในการกำกับดูแล (Market Discipline) โดยมีโครงสร้างเนื้อหาสรุปได้ตามแผนภาพดังนี้
|
บทบาทไอเอ็มซีในการสร้างตราสินค้า (Strategic IMC Roles of Branding) (ตอนจบ)
คอลัมน์ คลื่นความคิด โดย ผศ.ดร.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ มติชนรายวัน วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10811 ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้เกริ่นถึงกลยุทธ์ไอเอ็มซีทั้ง 3 วิธี และบทบาทในการสร้างตราสินค้าให้แฟนประจำคอลัมน์ "คลื่นความคิด" ได้รับทราบไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ในการสร้างการตระหนักรู้และการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตราสินค้า ในตอนจบนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงบทบาทที่เหลือต่อเลย ดังนี้ - หน้าที่ในการติดต่อด้วยบุคคล (Personal Connection: Personal Selling and Direct Sales) หากนักกลยุทธ์ไอเอ็มซีต้องการจะสื่อสาร และติดต่อกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วยบุคคลแล้วละก็ ต้องใช้เครื่องมือไอเอ็มซีที่เรียกว่า "การขายโดยพนักงานขาย" เป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสาร เพราะสามารถช่วยเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์ไม่สามารถบรรจุเนื้อหาสาระได้ครบถ้วน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ชักจูงและโน้มน้าวใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เกิดพฤติกรรมการซื้อและทดลองใช้สินค้าอีกด้วย - หน้าที่ในการชักจูงให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหันมาพิจารณาตราสินค้ามากขึ้น (Intensifying Consideration : Sales Promotion) เมื่อสร้างการรับรู้ ความน่าเชื่อถือและใช้บุคคลในการชักจูงใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแล้ว เครื่องมือการส่งเสริมการขาย ก็จะทำหน้าที่ในการให้เหตุผลเพื่อการโน้มน้าวให้ลูกค้าหันมาพิจารณาตราสินค้านั้นๆ มากขึ้น เนื่องจากการส่งเสริมการขาย มีคุณสมบัติสำคัญในการนำข้อเสนอพิเศษ (extra value) ที่ตราสินค้ามีให้มากกว่ามาเป็นสิ่งล่อใจ ในขณะที่ตราสินค้าอื่นไม่มี จึงทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายต้องหันมาพิจารณาซื้อสินค้าจากตราสินค้านั้นๆ มากขึ้น - หน้าที่ในการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Experiential Contacts : Event, Sponsorship and Customer Services) เครื่องมือไอเอ็มซีที่ทำหน้าที่สร้างประสบการณ์ได้เป็นอย่างดีให้กับตราสินค้าก็คือ การจัดกิจกรรมทางการตลาด การเป็นผู้สนับสนุนทางการตลาดและการให้บริการลูกค้านั่นเอง - หน้าที่ในการติดต่อกับลูกค้าในลักษณะที่เป็นส่วนตัว (Direct Marketing: One-to-one Connection) เมื่อนักการตลาดต้องการติดต่อกับลูกค้าแบบตัวต่อตัว หรือเป็นการสื่อสารตรงกับลูกค้าเป้าหมาย ก็จะเลือกใช้การสื่อสารการตลาดโดยตรง เป็นเครื่องมือหลัก ซึ่งอาจจะทำการติดต่อโดยใช้โทรศัทพ์หรือส่งจดหมายตรงก็ได้ ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าเป้าหมาย เพราะเป็นวิธีการที่สามารถเจาะจง และเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี และมีประสิทธิภาพ สุดท้ายนี้ ผู้เขียนใคร่ขอย้ำว่า ผู้บริหารตราสินค้าต้องให้ความสำคัญกับการบูรณาการหรือการผสมผสานเครื่องมือต่างๆ ให้สอดคล้องกันอย่างลงตัว เพื่อให้กลยุทธ์ไอเอ็มซีสามารถสร้างตราสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุผลตามที่ได้กำหนดไว้ คราวหน้าผู้เขียนจะกล่าวถึงเรื่องราวที่น่าสนใจในเรื่องใดนั้น หวังว่าทุกท่านจะคอยติดตามอ่าน แล้วพบกันนะครับ
|
Create Date : 06 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2551 19:01:56 น. |
|
0 comments
|
Counter : 729 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|