เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

<<
มิถุนายน 2553
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
24 มิถุนายน 2553
 

โซวฉิน บิดาแห่งพันธมิตร [1]

โซวฉิน เกิดที่เมืองโลหยาง นครหลวงของราชวงศ์โจวตะวันออก
เป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของสำนักหุบเขาปิศาจ เมื่อโซวฉินจบการศึกษา
ลงจากหุบเขาตระเวนออกหางานตามรัฐต่างๆ แต่ก็ไม่มีที่ใดยินดีรับ
เข้าราชการ จนในที่สุดเขาก็ต้องกลับบ้านเดิมอาศัยพี่ชายกับพี่สะใภ้
อยู่ไปวันๆ เพื่อจะพอขอข้าวกินประทังชีวิต แต่พี่สะใภ้เป็นคนใจแคบ
โซวฉินจึงต้องทนรับฟังกับเสียงเสียดสีและกิริยาแดกดันกลั่นแกล้ง
ของพี่สะใภ้อยู่เป็นอาจิณ

มีอยู่คราวนึงเขาอดโซมาก แต่พี่สะใภ้ไม่เหลือข้าวปลาอาหารให้กินเลย
แต่กลับยื่นเปลือกกล้วยให้หน้าตาเฉย โซวฉินที่หิวจนตาลายก็ต้องทน
กล้ำกลืนกินเปลือกกล้วยนั้นจนหมด.. ในช่วงเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
โซวฉินมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับตำราต่างๆ ที่เขาคัดลอกมาจากสำนักหุบเขาปิศาจ
หมั่นฝึกฝนศิลปะวิทยาทั้งหลายอย่างพากเพียร ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า
ใช้ พี่สะใภ้ก็ไม่ยอมให้จุดไต้หรือเทียนไขในยามค่ำคืน โดยอ้างว่าสิ้นเปลือง
โซวฉินจึงต้องไปไล่จับหิ่งห้อยจำนวนมากมาขังรวมไว้ในถุงผ้าบางๆ แล้ว
อาศัยแสงจากหิ่งห้อยมาให้ความสว่างเพื่ออ่านตำรา บางทีก็ออกมาอาศัย
แสงจันทร์แทน

ความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า ในไม่ช้าเขาก็แตกฉานในความรู้ต่างๆ
ที่หมั่นทบทวนเขาจึงเดินทางไปสมัครรับราชการที่รัฐเอี้ยนซึ่งได้บังเอิญ
พูดคุยกับคนสนิทของเอี้ยนชาวอ๋องเป็นที่ถูกอัธยาศรัย จึงเป็นโอกาสใน
การที่จะมีคนช่วยเบิกทางให้ได้เข้าเฝ้าเพื่อแสดงความสามารถ ซึ่งโซวฉิน
สามารถใช้วาทศิลป์โน้มน้าวจ้าวรัฐเอี้ยนจนพอใจและเห็นจริง จึงรับตัวไว้
เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิด และแต่งตั้งให้เป็นทูตไปเจรจาความเมืองกับรัฐอื่นๆ

โซวฉินจับงานด้านนโยบายระหว่างนครรัฐเป็นอันดับแรก เขาวิเคราะห์
สถานการณ์ในขณะนั้นว่า ภาคตะวันตกรัฐฉินเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่ง
ซึ่งซางหยาง* วีรบุรุษชื่อดังได้วางรากฐานไว้อย่างมั่นคง ส่วนรัฐมหาอำนาจ
ทางภาคตะวันออกทั้งหกรัฐ แม้ว่าจะมีความเจริญมาก่อนแต่เนื่องจาก
ความเป็นรัฐเก่านั่นเอง จึงทำให้เกิดช่องว่างและมลภาวะที่สั่งสมกันมานาน
จนทำให้เกิดการพิพาท รบราฆ่าฟันกันเป็นประจำ โซวฉินจึงเสนอนโยบาย
เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า โดยตัวเขาเองรับอาสาเป็นทูตตระเวนไป
ทุกรัฐ โดยใช้วาทศิลป์ที่ร่ำเรียนมาเชิญชวนให้เจ้านครรัฐต่างคล้อยตาม
ซึ่งวิธีที่เขาชอบใช้คือการบอกกล่าวเล่าเรื่องแบบอุปมาอุปไมย (นักประวัติ
ศาสตร์จีน ยกย่องว่า โซวฉินเป็นเจ้าตำรับในการพูดแบบนี้) ซึ่งในสมัยนั้น
การนำปรัชญามาพูดให้ทหารนักรบเข้าใจนั้นทำได้ยาก แต่โซวฉินสามารถ
ทำให้ทุกคนเข้าใจโดยง่าย ว่ากันว่าแม้แต่เด็กเล็กฟังก็สามารถเข้าใจถึง
ปรัชญา คำสอน ข้อคิด ที่โซวฉินตั้งใจจะสื่อได้

เมื่อทุกรัฐเห็นควรพร้อมใจและเดินตามนโยบายของโซวฉิน เปลี่ยนสนามรบ
เป็นสนามการค้าหยุดการรบราฆ่าฟันหันมาเอาใจใส่ในทุกข์สุขของประชาชน
แทน ทำให้แดนดินทั้งหกรัฐเสมือนแดนเสรี ประชาชนสามารถเดินทางค้า
ขายติดต่อกันได้อย่างมีความสุข โซวฉินจึงได้รับการยกย่องเป็นอันมาก
หากจะกล่าวว่าเขาคือ "บิดาแห่งพันธมิตร" ก็คงไม่เกินจริงนัก

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษฉันใด เหตุการณ์ของโซวฉินก็ฉันนั้น หลังจากที่
โซวฉินตระเวนเจรจาความเมืองไปทั่วทั้งภาคตะวันออกให้ทุกรัฐมีความ
สามัคคีกัน ขณะนั้นเองประจวบเหมาะกับที่ทุกรัฐเป็นโรคขาดแคลนนายก
รัฐมนตรีพอดี บ้างก็เสียชีวิต บ้างก็ชราภาพ บ้างก็ไม่มีความสามารถจริง
นครรัฐทั้งหกจึงได้พร้อมใจกันแต่งตั้งให้โซวฉินเป็นนายกรัฐมนตรีร่วม
ทั้งหกรัฐ (เมื่อ 333 ปีก่อน ค.ศ) ถือเป็นบุคคลเดียวในประวัติศาสตร์จีน
ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึงหกนครรัฐ

เมื่อโซวฉินโด่งดัง มีตำแหน่ง อำนาจวาสนาขนาดนี้ เวลาไปไหนมาไหน
จากที่เคยเดินทางแบบสามัญชนติดดินก็กลายเป็นว่าจะไปไหนมาไหน
มีแต่คนคอยตามแหแหน จะนั่งจะกินจะนอนก็มีแต่คนคอยมาดูแล มีวันหนึ่ง
เขาผ่านไปที่เมืองโลหยางบ้านเกิด ก็เจอกับพี่ชายและพี่สะใภ้ที่มารอต้อนรับ
เขาจึงแวะไปนั่งพักที่บ้าน ชั่วพริบตาเดียวก็มีอาหารชั้นดีมาวางเรียงราย
เต็มโต๊ะ เมื่อโฉวซินนั่งพินิจดูอาหารมากมายเหล่านั้นสักครู่หนึ่ง ก็ถาม
พี่สะใภ้ว่า "วันนี้ไม่เปลือกกล้วยด้วยหรือ" พี่สะใภ้ได้ยินถึงกลับหน้าถอดสี
ก้มลงกราบขอขมาเป็นการใหญ่ โซวฉินถึงกับเปรยว่า "นี่แหล่ะน้ำใจคน
เมื่อยามจนก็ไร้ญาติขาดมิตร ยามมีวาสนาญาติแท้ๆ ก็กลัวจนหัวหด"

ความมีชื่อเสียงของโซวฉินนอกจากจะทำให้มีคนชื่นชมจำนวนมากแล้ว
ในอีกมุมก็ย่อมเป็นที่เขม่นของคนบางกลุ่มเช่นกัน เพราะการที่ตัวเขา
คนเดียวได้ครองเก้าอี้ถึงหกนครรัฐ นั่นหมายความว่าย่อมมีคนอืกมาก
ที่ไม่มีตำแหน่งและต้องเฝ้ารอโอกาสต่อไป เอี้ยนชาวอ๋อง จ้าวรัฐเอี้ยน
ที่โซวฉินไปอยู่ด้วยเป็นคนแรก ก็มักถูกคนคอยเป่าหูปล่อยๆ ว่าโซวฉิน
เห็นรัฐอื่นดีกว่าบ้าง เอาความลับไปแจ้งแก่รํฐอื่นบ้าง ทรยศบ้าง เมื่อ
เอี้ยนชาวอ๋องได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ก็เริ่มจะเชื่อและคิดจะกำจัดโซวฉิน แต่
เคราะห์ดีที่โซวฉินยังมีคนที่ไว้ใจได้รายงานก่อนกลับเข้าเมืองและด้วยรู้สึก
นึกร้อนตัวกลัวราชภัยอยู่แล้ว เมื่อกลับถึงรัฐจึงได้รีบเข้าเฝ้าและเล่าอุปมา
นิทานตามแบบฉบับของเขา จนกระทั่งเอี้ยนชาวอ๋องระงับความคิดที่จะ
กำจัดโซวฉินแต่ไม่วายก็ยังคงระแวงอยู่เนืองๆ ทำให้เกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ
อยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดโซวฉินก็ทูลลาออกจากตำแหน่งรัฐเอี้ยนและ
บอกเลิกตำแหน่งของนครรัฐอื่นไปหมด เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เป็นเวลานาน
สักพักจึงเดินทางไปยังรัฐฉี

ฉีหมิ่นอ๋อง จ้าวรัฐฉี เมื่อเห็นโซวฉินมาก็ดีใจจึงคิดจะตั้งให้โซวฉินเป็นนายก
รัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เพราะครั้งก่อนเป็นการตั้งแบบตำแหน่งเกียรติยศ
พร้อมๆ กับรัฐอื่น จะใช้งานจะปรึกษาก็ทำไม่ได้เต็มที่นัก ซึ่งความต้องการ
ของจ้าวรัฐฉีเป็นที่แพร่งพรายออกไป ทำให้คนที่อยู่ในตำแหน่งและคนที่รอ
ในตำแหน่ง ล้วนแต่ไม่พอใจและนำขุนนางขุนศึกของตนเข้าประท้วง
สร้างความปั่นป่วนกันเป็นการใหญ่ จ้าวรัฐฉี จึงระงับการแต่งตั้งไว้ก่อน แต่ยังคง
โปรดโซวฉินอย่างออกนอกหน้าเพราะชอบฟังอุปมาอุปไมยที่โซวฉินหามา
เล่าให้ฟังทุกวันไม่ซ้ำกัน และในที่สุดก็แต่งตั้งให้เป็นประธานคณะที่ปรึกษา
แต่มีอำนาจขนาดน้องๆ นายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว

คืนหนึ่ง โซวฉินสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด และพบว่าตนเองถูก
ปักมีดไว้ที่หน้าอกและท้องของเขา เมื่อฉีหมิ่นอ๋องทราบข่าวจึงรีบมาเยี่ยม
และสั่งให้จับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว แต่ผ่านไปสองวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะจับ
คนร้ายได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ต่างก็พยายามปิดปากกันเงียบสนิท โซวฉินรู้ตัวดี
ว่าตัวเองคงไม่รอด จึงทูลฉีหมิ่นอ๋องความว่า

"ถ้าพรงองค์ประสงค์จะแก้แค้นให้ข้าพระองค์แล้ว โปรดนำข้าพระองค์ไป
ตะเวนที่กลางสนามบัดนี้ และให้ประหารชีวิตด้วยโทษสูงสุด (ตอนนั้นคือ
ห้าม้าแยกร่าง) หลังจากนั้นประกาศว่าข้าพระองค์กระทำผิดอย่างรุนแรง
จึงต้องรับโทษทั้งที่ป่วยเช่นนี้ และพรงองค์จะให้รางวัลอย่างงามแก่คน
ที่ลอบทำร้ายข้าพระองค์ ขอให้ออกมารับรางวัลโดยด่วน"

เมื่อฉีหมิ่นอ๋องได้ฟัง ก็ตัดสินใจอย่างยากลำบาก แต่ถือเป็นคำขอสุดท้าย
ของโซวฉินจึงยอมทำตาม ทันทีที่ร่างของโซวฉินถูกฉีกออกเป็นส่วนๆ
สิ้นเสียงประกาศของทหาร ก็มีคนสองคนมาแสดงตนเพื่อขอรับรางวัล
ว่าเป็นผู้ลอบทำร้าย ฉีหมิ่นอ๋องจึงโปรดให้รางวัลได้มีโอกาสรับเกียรติ
ลิ้มรสชาติของห้าม้าแยกร่างเพื่อจะได้ตามไปขอขมาโซวฉินได้ทันในวัน
เดียวกันพร้อมทั้งสืบลากไปยังต้นตอบุคคลที่สั่งจ้างวานได้อย่างครบถ้วน

โซวฉิน ถือว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสี่ศิษย์ที่ลงจาก
สำนักหุบเขาปิศาจ ไม่ทราบอายุและระยะเวลาในตำแหน่งแน่ชัดแต่ ผลงาน
ของโซวฉินที่ได้ฝากไว้นอกเหนือจากการเป็นต้นแบบการเล่าเรื่องอุปมา
อุปไมย คือ การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าหยุดการรบราฆ่าฟันที่มี
มายาวนานแม้ในภายหลังจะก่อให้เกิดหายนะจากแนวคิดนี้ก็ตามแต่ก็ถือว่า
โซวฉินได้พยายามนำหลักคำสอนสำคํญของสำนักหุบเขาปิศาจที่ต้องการ
ให้นำความรู้มาหยุดวิกฤตบ้านเมือง ทว่าความฝันของโซวฉินที่หมายมั่นจะ
รวมพันธมิตทั้งหกให้เป็นปึกแผ่น ก็เลือนหายไปพร้อมกับชีวิตและร่างกาย
เขาที่ถูกแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั่นเอง

------------------
*ซางยาง มหาบุรุษผู้วางรากฐานรัฐฉินให้ยิ่งใหญ่ก่อนยุคจิ๋นซีฯ


Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 10:04:17 น. 2 comments
Counter : 704 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:9:38:55 น.  

 
 
 
^ ^

ขอบคุณครับ คุณหาแฟนตัวเป็นเกลียว


อ่า นี่หน้าฝนแล้วหรอครับ ประเทศเรามีหน้าร้อน


อย่างเดียวไม่ใช่หรอครับ T T~


ไงก็รักษาสุขภาพเช่นกันครับ


 
 

โดย: toschatz วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:10:03:12 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

toschatz
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add toschatz's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com