Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 กรกฏาคม 2548
 
All Blogs
 
2001:Space Odyssey

หลังจากที่มีข้อกังขาเรื่อง WAR OF THE WORLDS ผมก็เลยมีจุดมุ่งหมายในการหยิบเอานวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง 2001: Space Odyssey. ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ลังเลอยู่นานเป็นเพราะ ตัวหนังสือมันหนา และขนาดอักษรเล็ก

อาจจะมีสปอยส์...



ในหนังสือ...
จะแบ่งออกเป็น 6 บรรฬ แต่หลังจากที่อ่านแล้ว ผมขอแยกออกเป็น 3 ส่วน เพราะการเรียงร้อยเรื่องราวจะเหมือนในหนังที่ปู่คูบริกส์ได้กำกับไว้เช่นกัน เพียงแต่จะแตกต่างในเรื่องของรายละเอียดที่หนังสืออธิบายจนเราเข้าใจ แต่ตัวหนังจะตัดทอนบางอย่างออกไป

กลับมาที่ในหนังสือ

ในส่วนที่ 1 Moonwatcher

เป็นเรื่องราวในสมัยที่กำเนิดมนุษย์ใหม่ๆ ซึ่งในขณะที่ยังเป็นเพียงลิงสายพันธุ์หนึ่งที่กินพืชเป็นอาหาร
พวกเขาอยู่ด้วยกับสัตว์อีก 2 ประเภท นั่นคือ หมูป่า(แต่ในหนังกลับเป็น ตัวกินมด) และเสือดาว...
ลิงเผ่าพันธุ์นี้มีอยู่ 2 เผ่าซึ่งทั้งสองเผ่าอยู่ด้วยกันแบบไม่สนใจ แต่ถ้ามีล้ำเส้นก็จะตีอก โห่ร้องไล่อีกฝ่าย ในหนังสือท่างปู่อาเธอร์จะใส่รายละเอียดและความนึกคิดของมูนวอทช์เชอร์ และขยายชีวิตประจำวันของลิงเผ่านี้...
การมาของ แท่งหินมันวาวสีดำ เป็นจุดเปลี่ยนของความเป็นอยู่ของเผ่าพันธุ์ของมูนฯ
สิ่งที่ผมชอบ คือ พวกเขาขว้างหินใส่ บางตัวไม่โดน บางตัวโดนแต่หินเปลี่ยนลักษณะใหม่ ที่มีแหลมคม และพวกเขาก็เอาหินนั้นออกล่าเสือดาว จนพวกเขารู้วิธีการจัดการกับศัตรูและการออกล่าอาหาร
จนผมอดคิดถึงสิ่งที่คุณวินทร์กล่าวไว้ไม่ได้ คือ...
"พวกเขา(มนุษย์ยุคหิน)สร้างอาวุธหิน แต่อาวุธหินเหล่านั้นสร้างพวกเขา"

ในหนัง...
จะตัดทอน และย่อชีวิตประจำวันของมูนวอทช์เชอร์ลง หลังจากการมาของสิ่งแปลกปลอม ทำให้พวกเขาฉลาดขึ้นและหยิบเอากระดูกสัตว์เป็นอาวุธ ล่าอาหารอย่างตัวกินมดที่เป็นเนื้อ และล่าหัวศัตรู
และสิ่งที่ผมชอบ และหลายๆคนก็ชอบคือ การโยนอาวุธอย่างกระดูกสัตว์ ขึ้นบนท้องฟ้าและตกลงมาเป็น ยานอวกาศ(ไม่แน่ใจว่าเป็นยานดิสโคฟเวอร์รี่หรือเปล่า)

ส่วนที่ 2 ภารกิจที่ดวงจันทร์

ในส่วนของหนังสือ...
จะเริ่มตรงที่ดร. ฟรอยด์นั่งอยู่ในยาน(ที่ติดกับจรวด) การนับถอยหลังแบบ 9 8 7 6 5..ไม่มี แต่จะเป็นการพูดคุยถามถึงความพร้อม
อ้อ ผมค่อนข้างจะคาดหวังว่าการเชื่อมต่อเรื่องราวในหนังสือจะเหมือนกับในหนัง ที่ว่าโยนกระดูก แต่ในหนังสือกลับอธิบายถึงความเป็นไปของมนุษย์ต่ออีก 2-3 หน้า และตัดเข้าที่การเดินทางของดร.ฟรอยด์เลย
ซึ่งตัวหนังสือได้บอกรายละเอียดของการใช้ชีวิตในอวกาศได้แบบเป็นเหตุเป็นผลมากๆ
ตั้งแต่การเดินในยานเดินทางที่แรงดึงดูดจากโลกมีน้อยมาก จึงใช้รองเท้าแบบขอเล็กๆที่อยู่พื้นรองเท้าเกี่ยวกับพื้นที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่...
การใช้ห้องน้ำ แบบอธิบายวิธีการ หากจะล้างหน้าสักครั้งต้องทำยังไง(ซึ่งต้องหาอ่านกันเอาเอง)

หลังจากที่มาถึงสถานีอวกาศ ในหนังสือยังบอกว่า ขนาดสถานีอวกาศยังมีการแบ่งพื้นที่ของประเทศนั้นๆ ดร.ฟรอยด์ต้องแจ้ง สัญชาติด้วยทุกครั้งเวลาจะผ่านเขต

ในหนัง...
ก็จะมีกล่าวถึงเช่นกัน โดยให้ดร.ฟรอยด์คุยกับโอเปอร์เรเตอร์ในจอภาพติดผนัง แจ้งสัญชาติ รัฐ ชื่อ...

แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ในช่วงนี้(ในหนังสือ) จะให้ดร.ฟรอยด์โทรฝากข้อความอัตโนมัติกับแม่บ้าน ซึ่งในตัวหนังจะเปลี่ยนให้ดร.โทรคุยกับลูกสาวโดยตรง กับโทรศัพท์ที่เห็นเป็นจอภาพ เป็นการเปลี่ยนรายละเอียดที่น่าสนใจ และดีกว่าในต้นฉบับเอง
(ปล. - นวนิยายจะเขียนไปพร้อมๆกับเขียนบทหนังเช่นกัน โดยที่คูบริกส์เขียนร่วมกับอาเธอร์ ซี คล้ากส์เองเช่นกัน)

หลังจากที่ดร.ฟรอยด์เดินทางถึงดวงจันทร์ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจ ก็มีการแถลงการณ์ก่อน ซึ่งก็มีการกล่าวอะไรเล็กน้อยหลังจากนั้นก็จะฉายโอเวอร์เฮด บอกและอธิบายภารกิจ และ แท่งสีดำลึกลับที่สันนิฐานว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวเป็นผู้สร้าง...

ในหนัง... จะเปลี่ยนการให้รายละเอียดของแท่งสีดำที่มีสัดส่วน 1:4:9 แบบให้ดร.รู้ในยานขนาดเล็กที่เดินทางไปดวงจันทร์ แทนการฉายโอเวอณเฮด...

หลังจากนั้นก็ไปดูหลุมอุกาบาตที่มีแท้งหินฝังลึกกว่า 6 ฟุต พอไปถึงดร.ฟรอยด์ก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ อาจจะเพราะช็อกที่เห็นสิ่งแปลกตา ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเหตุการณ์ตรงนี้จะใกล้เคียงในหนัง เพราะมีเสียงดังหลังจากมีแสงแรกสาดส่องใส่...

ข้อสังเกตุ จะเห็นว่าตัวหนังและหนังสือจะแตกต่างกันแบบเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการเปลี่ยนในฉบับภาพยนตร์จะดูดีและลึกซึ้งกว่า...

ส่วนที่ 3 ตอนที่ 1 HAL 9000 และลูกเรือเดฟกับพูล

ในหนังสือก็ตัดมาที่ภารกิจเดินทางสู่ดาวเสาร์ ครับ ผมพูดไม่ผิด ดาวเสาร์ครับ...ไม่ใช่ดาวพฤหัสฯอย่างที่เป็นอย่างในหนัง...
อันที่จริงแล้ว ทางปู่อาเธอร์เขียนให้พวกเขามีภารกิจไปสำรวจต้นกำเนิดเจ้าแท่งหินอันนี้ที่ดาวเสาร์ แต่ทางปู่คูบริกส์กลับต่อรองให้เป็นดาวพฤหัสแทน เพราะมีผลต่อการเตรียมฉาก(ในข้นตอนโปรดักชั่น) ซึ่งปู่อาเธอร์ก็หัวเสียไปนานหลายวันเหมือนกัน แต่ที่สุดแล้วก็ต้องยอมให้เปลี่ยน

การเดินทางนั้นจะมีลูกเรืออยู่ 5 คนซึ่งตื่นขึ้นมาคนแรกคือ เดวิด โบว์แมน(จำผิดเปล่าหว่า?) กับอีกคน พูลครับ(ขออภัยที่จำชื่อต้นไม่ได้ สมองปลาทองครับ อิอิ) ส่วนอีก 3 จะเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์หัวดี ที่ทางโลกเก็บเอาไว้ถ้าหากไปถึงจุดหมาย...
ในหนังสือจะบรรยายการใช้ชีวิตของลูกเรือทั้งสอง และจักรกลสมองเลิศ(ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้) อย่าง HAL 9000 แบบรายชั่วโมงเลย เช้าทำอะไร บ่ายทำอะไรต่อ ก็ว่ากันไป รายละเอียดของการใช้ชีวิตดูมีเหตุผลรองรับมาก

ในหนัง...ยิ่งเยี่ยมยุทธ์ครับ เพราะภาพย่อมดีกว่าตัวหนังสือเป็นไหนๆ เราจะเห็นรูปแบบภายในยานที่นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาพูดว่า ดูน่าเชื่อที่สุด มากกว่าหนังเรื่องไหน(ที่เป็นแนวนี้) การหมุนเหมือนกงล้อแบบหนูของยาน เหมือนหนังกำลังจะบอกว่าลูกเรือทั้งสองเป็น หนูทดลองระดับชาติ ไม่สิระดับโลก ซึ่งที่จริงแล้ว เพื่อเป็นการสร้างแรงดึงดูด และเป็นการออกกำลังของลูกเรือเพื่อไม่ให้อวัยะวะอื่นใดลีบเล็ก...

ในหนังสือ...
ที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์หัวดี (อ่านอะไรก็ออก)อย่าง HAL ก็มีความผิดพลาดเช่นกัน เมื่อเขาบอกว่าอุปกรณ์สื่อสารกับโลกเสียหาย ซึ่งพูลก็ออกไปนอกยานเพื่อไปเปลี่ยน แต่อุปกรณ์ทั้งสองกลับไม่มีอะไรเสียหาย.... อันที่จริงในหนังสือมีการเปลี่ยนอยู่ 2 ครั้ง คือ ทางโลกตัดสินให้ไปเปลี่ยน และอีกครั้งจากการตัดสินใจของลุกเรือทั้งสอง ซึ่งเป็นครั้งที่ทำให้เพื่อนร่วมชะตาอย่างพูล หลุดออกจากวงโคจรมุ่งสู่วงโคจรของดาวเสาร์..และการตัดสินใจถอดชีวิตของ HAL มาจากการตัดสินใจจากโลกส่วนหนึ่ง...

ในหนัง... ตรงตอนนี้เป็นตอนที่ดีที่สุดเลยทีเดียว และมีจุดแตกต่างจากหนังสือเยอะมาก ในหนังจะให้ HAL เป็นคนที่พูดสุภาพ แต่สำหรับลูกเรือกลับพูดจาที่ดูแข็งกระด้าง ดูไม่ผูกพันธ์กันสักเท่าไหร่...
หลังจากที่เดฟและพูลรู้ว่าเพื่อนของพวกเขาผิดพลาด (ในหนังมีการเปลี่ยนแค่ครั้งเดียวเองนะ)ก็นัดกันไปคุยในที่ๆ HAL ไม่ได้ยิน แต่เขากลับพลาดเพราะคอวพิวเตอร์กลับอ่านริมฝีปากแทน...

ส่วนที่ 3 ตอนที่ 2 เด็กจอมจักรวาล

ในหนัง... จะเห็นว่าหลังจากที่ HAL ได้ตัดสายผูกและท่ออากาศของพูลออก เพื่อฆ่าเขาให้ตายโดยหายไปจากยานชั่วนิรันดร์ ทางด้านเดฟก็รีบออกไปช่วยโดยลืมใส่หมวกอวกาศไปด้วย ซึ่งผกก. เน้นให้เห็นช็อตหมวกสีแดงของเดฟหลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายเดฟตกหลุมพลางของ HAL ที่ปิดประตูไม่ให้เดฟเข้ามาในยานอย่างเลือดเย็นผ่านคำพูดที่สุภาพ...
สุดท้ายเดฟก็เข้ามาผ่านทางประตูฉุกเฉิน...และมุ่งหน้าเข้าไปถอดโปรแกรมของHALที่คาดว่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของระบบ... ถึงแม้กระนั้น HAL จะขอชีวิตเหมือนกับตัวเองเป็นมนุษย์ยังไงยังงั้น แต่เดฟก็ยังเลือดเย็นถอดระบบของเพื่อนที่เดินทางร่วมกันถึง 18 เดือนจนได้...

หลังจากนั้นก็เดินทางไปถึงวงโคจรดาวเสาร์สำเร็จ

ในหนังสือ...
จะเห็นว่าทางปู่อาเธอร์ได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ อาจจะเพื่อตอบคำถามถึง ซีเควนต์หลอนๆในช่วงท้ายของหนังก็ไม่ปาน...
สิ่งที่มีในหนังสือ แต่ไม่มีในหนัง(หรือหนังได้ดัดแปลง แก้ไขไปแล้ว) คือ แท่งหินสีดำที่ตั้งตะหง่านอยู่บนดาวเสาร์ที่สูง ใหญ่ ด้านบนเป็นประตูสู่มิติ ซึ่งยานบุคคลของเดฟหลุดเข้าไป... ตรงนี้หนังได้เปลี่ยนให้แท่งหินลอยอยู่ในอวกาศแทน...

ตัดเข้าสู่บทสรุปของหนังเรื่องนี้
ในหนังสือ...
เมื่อยานถูกประตูมิติ(ด้านบนของแท่งสีดำขนาดยักษ์)ดูดลงมา ยานส่วนบุคคลก็กลับสัมผัสพื้นหินสีขาว และสภาพต่างๆคล้ายอยู่ในโรงแรมหรู ในใจกลางยุโรป...เดฟยังไม่กล้าที่จะออกมาจากยาน เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่ที่ไหน...เป็นภาพหลอนหรือเปล่า... เขานั่งอยู่ในยานนานมาก จนเขาทดลองเปิดหมวกอวกาศออกเพียงเล็กน้อย...

ตอนนี้เขาเดินลงมานอกยานแล้ว และเดินสำรวจภายในห้องนั้น เปิดลิ้นชักโต๊ะก้ว่างเปล่า...เปิดหนังสือก็ขาวสะอาด หนังสือที่กองอยู่บนพื้นกลับหยิบขึ้นมาอ่านไม่ได้...
ในตู้เย็นมีอาหารที่ไร้รสชาติ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนชุดแล้วก็มานอนที่เตียงเปิดทีวีดู เป็นภาพถอยหลังตั้งแต่เขามาถึงที่นี่...อยู่ที่ยานดิสโคฟเวอรรี่...อยู่กับพูล...จากนั้นเขาก็หลับไป เขากลายเป็นเด็กในครรภ์

ส่วนในหนัง...
ภาพตัดมาที่ในห้องเลย เขายืนอยู่นอกยาน(ยังสวมชุดสีส้มอยู่) เขาเดินดูรอบๆเห็นเขาอีกคนนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะ เขาแก่ลงจนผมขาว... เขาเห็นเขาอีกคนนอนที่เตียงด้วยสภาพที่ดูเหมือนปู่แก่ๆหนังเหี่ยว...และมีแท่งหินอยู่ที่ปลายเตียง ตั้งตะหง่าน แล้วก็มีเสียงดนตรีดังขึ้น...ภาพในอวกาศ เห็นทารกจอมจักรวาลอยู่ในครรภ์ลอยเหมือนดาวดวงหนึ่ง...

จบ


จะสังเกตุเห็นว่าตอนจบต่างกันมาก ซึ่งแล้วแต่จุดมุ่งหมายของสื่อทั้งสองอย่าง ในทางนวนิยายเป็นมุมมองเพียวๆของปู่อาเธอร์ ซี. คร๊ากสเอง แต่ในส่วนหนัง กลับเป้นการมองชีวิตในแง่หนึ่งของปู่คูบริกส์...
ผมเคลียร์สิ่งที่ผมข้องใจหลังจากที่ได้ดู 2001 ครั้งแรก แล้วงงแตก ตอนนี้ก็ยังค่อนข้างจะงงอยู่ แต่เริ่มเข้าใจมาหน่อยนึงแล้วครับ...

ในส่วนของ WAR OF THE WORLDS มีจุดเหมือนอยู่ตรงที่หลายๆคนให้ความสนใจว่า เหตุฉไหน พวกมะนาวถึงเข้ามาสำรวจชั้นใต้ดินบานตาทิม และทำไมมะนาวถึงปั่นวงล้อจักรยาน...

สมมติว่า วงล้อนั่น คือ แท่งหินสีดำล่ะ?
ถ้าผมมองนะแท่งหิน คือ สิ่งที่กระตุ้นให้มนุษย์เกิดการสร้างองค์ความรู้ มีอยู่เหตุการณ์ๆหนึ่งที่ปู่อาเธอร์บอกว่า...
" หากสักวันหนึ่ง มนุษย์โลกก็สามารถเดินทางมายังที่แห่งนี้(คือ หมายถึงที่ๆตั้งของแท่งหินสีดำ บนดวงจันทร์)ได้เช่นกัน..."
ซึ่งแท่งหินนี้เป็นของๆที่ใช้สำหรับท้าทาย สมองของมนุษย์เราเองว่าจะมีความสามารถแค่ไหน...

สำหรับ WAR OF THE WORLDS เป็นเพียงหินที่ยังมีผิวที่ขรุขระ ที่รอมูนวอทช์เชอร์อย่างเราๆเขวี้ยงเพื่อสร้างอาวุธ(สมอง)ให้กับตัวเอง....

จบสำหรับบทความที่ชวนงง แต่สรุปซะสุดเท่ อิอิ




Create Date : 11 กรกฎาคม 2548
Last Update : 11 กรกฎาคม 2548 22:12:29 น. 6 comments
Counter : 5181 Pageviews.

 
อืมมม ไม่ได้ดูนาน ลืมเนื้อเรื่องไปหมดแล้วนะเนี่ย


โดย: นู๋เองง่ะ วันที่: 30 กรกฎาคม 2548 เวลา:23:35:08 น.  

 
เพิ่งดูหนังจบเมื่อเช้าเองค่ะ
อ่านบทความของคุณแล้วมองเห็นเนื้อเรื่องมากขึ้น ขอบคุณนะคะ
ส่วนตัวแล้วคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่เหมือนหนังเลยค่ะ ไม่มีเนื้อเรื่อง ตัดไปตัดมา คงไม่มีใครเข้าใจได้หรอกค่ะ นอกจากต้องอ่านหนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นการสื่อสารที่ไม่ประสบความสำเร็จเลย
ที่ชอบก็มีแต่การใช้ชีวิตในอวกาศที่ดี realistic มากๆ เท่านั้นเองค่ะ
เสียดายตังค์ค่าเช่าจังเลยค่ะ


โดย: makoto IP: 203.130.144.31 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:14:28:09 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำอธิบาย ทำให้เข้าใจได้มากขึ้น
ตอนดูรอบแรกก็ไม่จบเหมือนกัน รอบสอง(นอนมาเต็มที่)ต้องบอกกับตัวเองด้วยว่า นี่คือหนังsi fi เรื่องแรกไม่มีใครเคยสร้างอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วมันจะรู้สึกทึ่งไปได้เองว่าผู้กำกับคิดออกมาได้อย่างไรเนี่ย เป็นหนังที่ยังดำรงอยู่ในอนาคตอยู่เลย แม้ผ่านการสร้างมานานแล้ว หรือจะมีใครต่อใครนำไปอ้างอิงจนต้นฉบับจะดูเฉยๆ สำหรับบางคนก็ตาม แต่ผมก็ยังเข้าไม่ถึงและไม่เข้าใจได้ถ่องแท้เลย


โดย: damun IP: 203.121.191.84 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:16:22:53 น.  

 
ดูมา 2-3 รอบแล้วครับ
แต่ละรอบที่ผ่านไป ได้ความคิด ได้จินตนาการไม่เหมือนกันเลยสักรอบ

ปู่คูบริกส์แกอาจจะตั้งใจอย่างนี้ก็ได้นะครับ

ใช้หนังเรื่องนี้เพื่อฝึกให้คนคิดและจินตนาการโดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบที่ตายตัวเสมอไป


โดย: keano IP: 161.200.255.164 วันที่: 29 มีนาคม 2549 เวลา:18:18:47 น.  

 
test


โดย: test IP: 202.5.87.146 วันที่: 2 เมษายน 2549 เวลา:23:21:22 น.  

 
Daisy, Daisy Give me your answer do I'm half crazy all for the love_ _ _ _


2001 is my all time favourite movie.
It was nearly 20 years ago when I first come to know this movie and love it since then.

I dare to say that am understand the movie.

At 00:00 o'clock of the year 2000 I celebrated the first year of 21st century by watching it again.

I will come back to join you all later on about the movie.

-----------------------------------------------------------
"Open the pod bay door HAL"

"Sorry Dave- - - this conversation conserved no purpose any more"

-----------------------------------------------------------


โดย: space monkey IP: 202.5.87.129 วันที่: 5 เมษายน 2549 เวลา:2:57:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KT.luder
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add KT.luder's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.