แปลกแต่จริง..คัมภีร์ไบเบิลเป็นบันทึกประวัติศาสตร์มนุษยชาติ




คัมภีร์ พระเจ้าสร้างโลก ตรงกับทฤษฎีวิวัฒนาการ


ข้อถกเถียงระหว่างนัก วิทยา-ศาสตร์ และนักอนุรักษ์นิยม ซึ่งเชื่อถือ คำสอนในคัมภีร์ไบเบิล เกี่ยวกับการ กำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก ต่างมีความเห็น ที่แตกต่างกัน โต้แย้งกันมานานหลาย ร้อยปีแล้ว ฝ่ายนักวิทยาศาสตร์อ้างทฤษฎี วิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ขณะที่ นักอนุรักษ์อ้างบันทึกในพระคัมภีร์

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข้อสรุปแล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์ระดับปรมาจารย์ชาวอังกฤษ ได้ยอมรับว่าทั้งนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน และนักอนุรักษ์นิยมพูดและคิดในสิ่งเดียวกัน

ดร.แอนดรูว์ ปาร์คเกอร์ นักชีววิทยา ชื่อดังแห่งยุค เป็นนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้าน สรีระวิทยา เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ออกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และเป็นอาจารย์ พิเศษที่มหาวิทยาลัยเจียวตง ประเทศจีนได้ เปิดเผยรายงานวิจัยล่าสุดของเขาเกี่ยวกับ ความลับของคัมภีร์ไบเบิล คือการบันทึก ประวัติศาสตร์วิวัฒนา การสิ่งมีชีวิตบนโลก นั่นเอง

ดร. แอนดรูว์ บรรลุ สัจจธรรมดังที่กล่าวมา หลังจากเขาได้ศึกษา ภาพวาด บนผนังโดม ที่มหาวิทยาลัยซิสไตน์ ชาเพล ที่กรุงโรม เขาดู อย่างไตร่ตรองถึง 3 ครั้ง จึงร้องอุทานอย่างดีใจว่า “มันเป็นเช่นนี้เอง!”

ดร.แอนดรูว์ ยืนยันว่าการวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตบนโลก กระทำโดยพระเจ้าเป็นขั้นเป็นตอน เหมือน กับทฤษฎีวิวัฒนาการของนักธรรมชาติวิทยา ชาร์ลส์ ดาร์วิน

ในคัมภีร์ไบเบิลภาคจีเนซิส หรือ ภาคพระเจ้าสร้างโลก และสร้างสิ่งมีชีวิต ขึ้นบนมาโลก ได้สร้างมนุษย์คู่แรกของโลกขึ้นมา คืออดัมกับอีฟ

เหตุการณ์พระเจ้าสร้างโลก ซึ่งบันทึกไว้ในคัมภีร์ฉบับเก่าเกือบ 4,000 ปี ศิลปินที่มีชื่อเสียงศตวรรษที่ 17 ไมเคิล ได้ บรรจวาดเล่าเรื่องเอาไว้อย่างประณีต ใต้โดมทรงกลม ในมหาวิหารซิสไตน์ ชาเพล ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปัจจุบัน

เมื่อได้ศึกษาภาพวาดอย่างละเอียด ดร.แอนดรูว์ พบว่าไมเคิล แองเจโล ได้อธิบาย ถึงการสร้างโลก การสร้างสิ่งต่าง ๆ ที่เอื้อต่อ สิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นในเวลาต่อมา ทุกส่วนทุกตอนสอดคล้องต้องกันเป็นลำดับขั้น เหมือนทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์

ดร.แอนดรูว์ได้รวบรวมผลงาน วิจัย ทั้งหมดไว้ในหนังสือ “เดอะ จีเนซิส อีนิกม่า : เหตุใดบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล จึงตรงกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์”

เขาทำวิจัย เขาเอง จินตนาการไม่ออกว่า ชาวฮีบรูว์ ชาวยิวโบราณ ได้อธิบายเหตุการณ์ พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา ราวกับเข้าใจกฎวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างลึกซึ้ง

ไบเบิลภาคจีเนซิส เริ่มต้นครั้งแรก พระเจ้าได้สร้างสวรรค์ กับโลกขึ้นมาก่อน การสร้าง 2 โลก ขณะนั้น ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้น



ต่อมาพระเจ้ามีบัญชา “จงเกิด แสงสว่างขึ้น”

แสงสว่างที่เกิดขึ้นตามโองการ พระเจ้า ดร.แอนดรูว์ มีคำอธิบายได้่ตามหลัก วิทยาศาสตร์เกิดจาก “บิ๊กแบง” หรือเกิดการ ระเบิดอย่างรุนแรงในกลุ่มดาวหรือกาแล็กซี ซึ่งสุริยจักรวาลรวมทั้งโลกเราเกิดจากบิ๊กแบง เมื่อราว 4,500 ล้านปีก่อน

การระเบิดบิ๊กแบงครั้งนั้น ก่อให้เกิด สรรพสิ่งขึ้นทั้งจักรวาล วัตถุจากพลังงาน และ พืชพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในพริบตาเดียว

สิ่งที่เกิดจากบิ๊กแบง ได้เติมเต็ม ความว่างเปล่า เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ ต่างเอื้อต่อกันเป็นลูกโซ่

บันทึกในจีเนซิส กล่าวต่ออีกว่า... ต่อมาพระเจ้าได้สร้างแผ่นดินผุดขึ้นจากท้อง ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล

น้ำนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต่อการก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ส่วน “อณูแห่ง ชีวิต” นั้น นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า มาจากนอกโลก ส่วนไบเบิลระบุว่า พระเจ้าเป็นผู้นำมา

เมื่อน้ำกับแสงอุบัติขึ้นแล้ว พระเจ้าเริ่มสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นเป็น ครั้งแรก เป็นพืชเรียกว่า หญ้า และ สมุนไพร ซึ่งพืชเหล่านี้ก่อให้เกิดเมล็ด พันธุ์กลายเป็นต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ก่อนพระเจ้า สร้างต้นหญ้า และต้นพืช ขึ้นบนโลก เป็นเวลาหลังจาก ให้เกิดอณู แห่งสิ่งมีชีวิตขึ้นแล้ว ไม่น้อยกว่าล้านปี

การสร้างพืชพันธุ์ขึ้นมา นี่เอง ทำให้อณูสิ่งมีชีวิต เกิดวิวัฒนาการ และขยายพันธุ์  โดยมีแสงแดด และน้ำเป็นตัวเร่ง ทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตลำดับแรกบนโลก เป็นแบคทีเรีย ชนิดหนึ่ง (เป็นสัตว์ผสมพืช) เมื่อเกิด วิวัฒนาการขึ้น แบคทีเรียตัวแรกของโลก สามารถก่อให้เกิดกระบวนการเรียกว่า โฟโตซีนเธไซส์ (Photosynthesize) ซึ่งเป็น กระบวนการที่พืชสร้างคาร์โบไฮเดรต (แป้ง) โดยรวมกันระหว่างคาร์บอนไดออกไซด์ กับน้ำ โดยใช้แสงแดดกับคลอโรฟิลด์ (สารสีเขียว) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา

การทำปฏิกิริยาโฟโตซีนเธไซส์   นี่เองทำให้เกิดออกซิเจนขึ้นในชั้นบรรยากาศ ของโลก

วันที่ 4 ของการสร้างโลก ไบเบิล จารึกว่า พระเจ้าสร้างแสงสว่างมาจากชั้นสวรรค์ ก่อให้เกิดวันเวลา เป็นเวลากลางวัน และเวลา กลางคืน

พระเจ้าเป็นผู้แบ่งแยก กลางวันกับ กลางคืนตั้งแต่วันแรกของการมีแสงอาทิตย์ นับแต่นั้นมาโลกมักมี 2 ด้านเสมอ การมี 2 ด้านนี่เอง ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมาภายหลัง เกิดความสมดุลในตัวเอง

เมื่อเกิดแสงสว่างขึ้นบนโลกเป็น ครั้งแรก ดร.แอนดรูว์ เชื่อว่าสิ่งมีชีวิต ก็เพิ่งใช้ ดวงตามองเห็นสรรพสิ่งเป็นครั้งแรกเช่นกัน นับแต่นั้นเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมา สัตว์ที่ แข็งแรงกว่า เริ่มออกหาเหยื่อจับสัตว์อ่อนแอ กว่ามาเป็นอาหาร พืชเริ่มปรุงอาหารขยาย เผ่าพันธุ์

จากซากฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุด ทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีพื้นน้ำหรือ มหาสมุทรเกิดขึ้นบนโลกเมื่อ 508 ล้านปีก่อน เป็นช่วงระยะเวลาที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “เดอะ แคมเบรียน เอ็กซ์ โพลชั่น”

ขณะที่คัมภีร์ไบเบิลจารึกว่า... “น้ำที่อุบัติขึ้นจง ให้ชีวิตแก่ทุกสรรพสิ่ง เทอญ” หลังจากนั้น สัตว์โลกก็แบ่ง ประเภทจากถิ่นอาศัยเป็นสัตว์อาศัยอยู่ บนบก และสัตว์อาศัยอยู่ในน้ำ

จากหลักฐาน พบรอยเท้าขนาดเล็ก ที่แอฟริกา ซึ่งต่อมานักวิทยาศาสตร์ เรียก เจ้าของรอยเท้านี้ว่า “ลูซี่”

ลูซี่คือปรากฏการณ์เผ่าพันธุ์ มนุษย์เดินได้ 2 ขา ลำตัวตรงเป็นครั้งแรก นับแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ได้วิวัฒนาการมา จากสัตว์เลือดอุ่น มีกระดูกสันหลังคล้ายกระรอก ในยุคไดโนเสาร์เมื่อราว 150 ล้านปีก่อน

ลูซี่ มนุษย์คนแรกของโลก เกิดขึ้น เมื่อราว 200,000 ปีมานี่เอง หากเปรียบเทียบระยะเวลาที่พระเจ้าสร้างมนุษย์   คู่แรกของโลกขึ้นมา ก็น่าจะเป็นเวลาใกล้ เคียงกัน

แต่มีอยู่ปริศนาเดียว...ในเมื่อ   ทฤษฎีวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตของชาร์ลส์ ดาร์วิน ระบุว่า คนเราวิวัฒนาการมาจากลิงประเภท หนึ่ง แต่จนกระทั่งบัดนี้เรายังหารอยต่อ หรือ มิสซิ่งลิงค์ ไม่เจอ มันเป็นลิงเผ่าพันธุ์ใดหรือจึง กลายพันธุ์มาเป็นมนุษย์อย่างเช่น “ลูซี่” ได้

ไบเบิลกลับมีคำตอบ พระเจ้าสร้าง อดัม มนุษย์คนแรกของโลก จาก “ก้อนขี้ไคล” ของพระองค์ ส่วนอีฟ ผู้หญิงคนแรกของโลก พระเจ้าใช้กระดูกซี่โครงอ่อนมาสร้างขึ้น

กรรมวิธีใช้ก้อนขี้ไคล กระดูก ซี่โครงอ่อน เป็นการนำเซลล์พันธุกรรมมา เพาะพันธุ์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งปัจจุบันรู้จักในชื่อ “โคลนนิ่ง” นั่นเอง

หลักการโคลนนิ่งนั้น เป็นที่รู้กัน ในหมู่นักพันธุวิศวกรรมศาสตร์ในปัจจุบัน คือการใช้เซลล์เนื้อเยื่อต้นแบบมาโคลนนิ่ง ขึ้นมาใหม่

ดังนั้นก้อนขี้ไคลของพระเจ้า ก็เป็นเซลล์ส่วนหนึ่งของพระเจ้า คำถาม ที่ยังไม่มีใครอยากถามก็คือเราเป็นส่วนหนึ่ง ของพระเจ้าหรือไม่?

คล้าย ๆ ในเทพนิยายศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้ามีภาคต่อ ๆ ถึง 10 ภาค หรือพระนารายณ์อวตารมายังโลก เป็นมนุษย์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์

ความเชื่อของศาสนาหลักของโลก อย่างน้อย 2 ศาสนา เชื่อว่าพระศาสดาต่าง เป็นบุตรของพระเจ้า หรือเป็นภาคหนึ่งของ พระเจ้า

เมื่อเป็นเช่นนี้...พระเจ้าคือใคร? คือสิ่งใด?

ในศาสนาคริสต์ มีชื่อพระเจ้า แต่เป็นข้อห้ามห้ามเอ่ยพระนาม แต่หากตกใจ ให้อุทานว่า...โอ มาย ก๊อด ศาสนาอิสลาม อนุญาตเอ่ยพระนามได้ เวลาตกใจ อุทานว่า... โอ...อัลเลาะห์ ศาสนาพุทธก็มีคำอุทานว่า..อุ๊ยตาย ว้าย กรี๊ด

พระเจ้ามีตัวตนแน่นอน...แต่จะ เป็นคนเดียว กลุ่มเดียวกับผู้ทรงภูมิปัญญาจาก ต่างดาว ผู้เดินทางมายังโลกเพื่อแพร่เผ่าพันธุ์ จากนั้นก็จากไปเพื่อแพร่เผ่าพันธุ์บนดวงดาว อื่น ๆ ต่อไป...ใช่หรือไม่?




Create Date : 20 มิถุนายน 2559
Last Update : 20 มิถุนายน 2559 14:12:03 น.
Counter : 1268 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Green Turbo
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



มิถุนายน 2559

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
21
22
23
25
26
28
29
30
 
 
All Blog