การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ การฉีดไขมันใต้ตา สามารถแก้ปัญหาใต้ตาได้ด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งแต่ละวิธีคืออะไร ? มีความแตกต่างกันอย่างไร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? ปัญหาที่ควรรู้หลังทำมีอะไรบ้าง ?
ในบทความนี้ จะมาอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา คืออะไร ?
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (Under-Eye Filler) คือ การนำสารเติมเต็มไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) ฉีดเข้าไปบริเวณใต้ตาเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ช่วยให้ผิวใต้ตาเรียบเนียน เต่งตึง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ มีผลข้างเคียงหลังฉีดเพียงรอยบวมเข็มเล็ก ๆ และเห็นผลชัดเจนภายใน 14 วัน อยู่ได้นาน 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/รุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้
ฉีดไขมันใต้ตา
การฉีดไขมันใต้ตา (Under-Eye Fat Transfer) คือ การฉีดไขมันของตัวเอง ซึ่งถูกดูดออกมาจากบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก หรือต้นแขน นำมาใช้ในการเติมเต็มปัญหาใต้ตา ที่เป็นร่องลึก ใต้ตาโบ๋ ใต้ตาคล้ำ เพื่อช่วยให้ใต้ตาดูตื้นขึ้น สดใส เต็มอิ่ม มีความอ่อนเยาว์
ซึ่งการฉีดไขมันใต้ตา หลังทำจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที แต่จะบวมช้ำในช่วงแรกต้องพักฟื้นประมาณ 7-10 วัน เพื่อรอให้ไขมันเข้าที่ก่อน จากนั้นจะคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับการอยู่รอดของเซลล์ไขมัน เทคนิคของแพทย์ อายุที่มากขึ้น และการดูแลร่างกายของแต่ละบุคคล
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และ ฉีดไขมันใต้ตา
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
-
แพทย์ประเมินปัญหาใต้ตา แนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์และจำนวนฟิลเลอร์ที่เหมาะสมให้กับคนไข้
-
แปะยาชา หรือประคบน้ำแข็ง ก่อนฉีด เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
-
แพทย์แกะกล่องตัวยาฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า เพื่อเป็นการยืนยันว่าฉีดฟิลเลอร์แท้
-
แพทย์ใช้เข็มที่แกะจากกล่องฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทั้ง 2 ข้าง
-
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเสร็จ ใช้พลาสเตอร์เล็ก ๆ ปิดรอยเข็ม
-
สามารถกลับบ้านใช้ชีวิตได้ตามปกติ และดูแลตัวเองตามคำแนะนำ
ขั้นตอนการฉีดไขมันใต้ตา
-
แพทย์ทำการดูดไขมันส่วนเกินจากร่างกาย โดยใช้เข็มและไซริงค์
-
แพทย์นำไขมันที่ดูดออกมาปั่นคัดแยกเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันคุณภาพสูง
-
ทายาฆ่าเชื้อ หรือฉีดยาชา บริเวณใต้ตา
-
แพทย์นำไขมันที่ได้ ฉีดเข้าไปบริเวณใต้ตา
-
ฉีดไขมันใต้ตาเสร็จ กลับบ้านและรอพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา เหมาะกับใคร ?
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับ | ฉีดไขมันใต้ตา เหมาะกับ |
-
คนที่มีปัญหาใต้ตาลึก ตาโหล จากกระดูกยุบตัว -
คนที่มีปัญหาขอบตาดำ มีถุงใต้ตาหย่อนคล้อย มีริ้วรอยใต้ตา -
คนที่มีปัญหาใต้ตาจากอาการภูมิแพ้ ความเครียด และอื่น ๆ -
คนที่ไม่ต้องการผ่าตัด มีแผล ไม่อยากพักฟื้น -
คนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที -
คนที่มีเวลาน้อย ไม่ต้องการความยุ่งยาก | -
คนที่มีใต้ตาลึกจากชั้นไขมันบางลง ฝ่อตัวลง -
คนที่กลัวการแพ้ฟิลเลอร์ -
คนที่มีเวลาดูแลตัวเองจากการพักฟื้น -
คนที่ไม่ได้อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก หรือออกกำลังกายเป็นประจำ |
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
-
อาการบวมช้ำ เป็นอาการปกติที่พบได้และมักจะหายไปเองภายใน 3-7 วัน
-
รอยเข็ม อาจเกิดรอยเข็มเล็กๆ บริเวณที่ฉีด แต่จะจางลงและหายไปเองใน 3-7 วัน
-
การอักเสบติดเชื้อ เกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นอาจทำให้เกิดอาการบวมแดง ปวด ร้อน และแผลพุพองบริเวณที่ฉีด ในกรณีนี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
-
การเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์ เกิดขึ้นได้หากแพทย์ฉีดฟิลเลอร์ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดก้อนบริเวณที่ฉีด ในกรณีนี้อาจต้องได้รับการฉีดสลายฟิลเลอร์เพื่อแก้ไข
-
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เกิดขึ้นได้น้อยมาก เช่น เส้นเลือดอุดตัน ตาบอด เป็นต้น
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังฉีดไขมันใต้ตา
-
อาการบวมช้ำและรอยเข็ม บริเวณที่ฉีด ซึ่งจะจางลงและหายได้เอง ภายใน 1-2 สัปดาห์
-
การอักเสบเล็กน้อย บริเวณใต้ตา มักมีอาการบวมแดง ร้อน และปวด อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
-
ไขมันเป็นก้อน แข็งตัว ทำให้ใต้ตาเป็นคลื่น ผิวขรุขระ ไม่เรียบเนียน ดูไม่เป็นธรรมชาติ ในกรณีนี้มักเกิดจากเทคนิคของแพทย์ เซลล์ไขมันที่ไม่ได้คุณภาพ และการดูแลตัวเองไม่ดีหลังทำ เป็นต้น หากเกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขด้วยการฉีดสลายได้เหมือนกับฟิลเลอร์ ต้องรอให้ไขมันสลาย หรือผ่าตัดออกเท่านั้น
-
ไขมันหาย เนื่องจากไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจถูกร่างกายดูดซึมไปบางส่วน ทำให้ผลลัพธ์ไม่คงอยู่ตลอดไป
-
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เส้นเลือดอุดตัน ตาบอด เป็นต้น ซึ่งการฉีดไขมันมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้มากกว่าการฉีดฟิลเลอร์
ข้อดี-ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา | ฉีดไขมันใต้ตา |
ข้อดี ข้อเสีย | ข้อดี -
มีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการแพ้ -
ลดไขมันส่วนเกิน พร้อมกับแก้ปัญหาใต้ตา ได้ในคราวเดียว -
ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับการผ่าตัดศัลยกรรม -
อยู่ได้ประมาณ 1-3 ปี ข้อเสีย -
มีหลายขั้นตอนในการทำ และใช้เวลาในการทำนานกว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา -
หลังทำมีการพักฟื้น -
คาดคะเนผลลัพธ์ได้ยาก -
อาจเกิดปัญหาหลังฉีด เช่น ไขมันหายไปหลังฉีด ทำให้ใต้ตาไม่เท่ากัน -
ฉีดสลายไม่ได้ ต้องรอให้ไขมันสลายตัวเองตามธรรมชาติ หรือผ่าตัด |
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา เลือกวิธีไหนดี ?
เมื่อเปรียบเทียบการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับการฉีดไขมันใต้ตา จะเห็นได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เห็นผลลัพธ์เร็วกว่า ทำได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว อยู่ได้นาน หลังทำไม่ต้องพักฟื้น มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย หากเกิดปัญหาหลังฉีดก็สามารถแก้ไขได้ง่าย ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการแก้ปัญหาใต้ตามากกว่าการฉีดไขมันใต้ตาค่ะ
สรุป
การเลือกวิธีแก้ไขปัญหาใต้ตา ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล หากต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังการทำ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่คงทนในระยะยาว การฉีดไขมันใต้ตาก็ถือเป็นตัวเลือกอีกหนึ่งทาง
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือ ฉีดไขมันใต้ตา ควรปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ กับคลินิกที่เชื่อถือได้ เพื่อการเห็นผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัยค่ะ