Group Blog
กรกฏาคม 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
24
26
27
28
29
30
31
 
 
25 กรกฏาคม 2554
อันจาคียา(3)
.......หลังดงไผ่ เป็นบึงขนาดย่อม ขอบบึงไม่สูงชันนัก เนื่องจากเป็นบึงเก่า
น้ำกัดเซาะทับถมมาเนินนาน ดินเก่าใหม่ไหลลาดเท ปรับพื้นที่สมดุลย์ด้วยตัวมันเอง
ทั้งบัวผันบัวเผื่อนแทงช่อพ้นน้ำประปรายมาแต่เช้า บ่ายคล้อยเริ่มหุบกลีบคืนช่อ
เตรียมย่างสู่ราตรี แมงปอน้ำหยอกล้อยอดหญ้าอยู่เนือยๆ เสียงน้ำไหลดังมาจากอีกฟากของบึง
บางทีอาจเป็นทางน้ำที่ชาวบ้านแหวกระบายลงไปสู่พื้นที่เกษตรรอบๆ บริเวณนั้น
ประโยชน์อีกทางหนึ่งคือ เป็นทางให้ปลาที่อยู่ทางท้ายน้ำว่ายแหวกขึ้นมาในฤดูวางไข่
คันบึงอีกด้านหนึ่งเป็นทิวไผ่เรียงรายกิ่งโน้มค้อมเป็นร่มเงาทอดสู่ผิวน้ำ
บังคับให้ต้องเดินอ้อมเป็นฉาก จึงบรรจบทางลงอีกฝั่ง

....แต่แล้วทั้งแถวก็มีอันต้องหกล้มก้นจ้ำพื้นระเนระนาดไม่เป็นท่า เมื่อมัวแต่มองทิวทัศน์รอบข้าง
"อะไรของของมึงเนี่ยวิชชา...หยุดทำไม !!!" ไอ้โอบร้องลั่น หลังยันตัวลุกขึ้นปัดเศษหญ้าออกจากตัว
"กูให้สัญญาณแล้ว พวกมึงไม่เห็นหรือไง" วิชชาว่า
"ถ้าเห็นจะเป็นอย่างนี้เหรอ ถามได้" ป๋องก้มปัดแข้งขา ปากยังเถียงเพื่อน
"ไอ้ถิ่นไม่เห็นล้มเลย...จริงไหมถิ่น" หัวแถวบอก
"มึงให้สัญญาณตามที่ครูสอน ถูกแล้ว แต่มันกระชั้นไปหน่อย อีกอย่างมัวพากันระวังจะตกน้ำ
เลยลืมดูมึง สั่งเป็นคำพูดก็ได้" ถิ่นบอกเพื่อนพลางกำชับ
"ไม่มีใครเป็นอะไรมาก ไปต่อเถอะ พ้นบึงนี้ค่อยนั่งพักสักหน่อย" ทุกคนเห็นด้วย ยกเว้น...
"อ้าว ไอ้ป้อม มึงลงไปทำอะไรในคูน้ำ เปียกหรือเปล่า" ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว
เด็กชายป้อม ซึ่งบัดนี้กำลังปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากแข้งขา เพราะมัวแต่กินไม่หยุด
ไม่รู้ล้มกลิ้งลงไปในคูน้ำแห้งอีกฝั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกเสียงเฮฮาจากเพื่อน ๆ ท้องคัดท้องแข็ง
.....ชงโคป่ายืนต้นตระหง่านกลางทางเดิน รองนายหมู่จึงต้องใช้สัญญาณมือให้ทุกคนหยุด
เพราะมัวแต่เพลิดเพลินเส้นทางใหม่ไม่ทันมอง จึงเกิดเหตุให้สะดุดพอหายง่วง หายเซ็ง
ช่องว่างที่เหลือของคันบึง ไม่เพียงพอที่จะเดินผ่าน ต้องเบี่ยงหลบใช้มือโอบเหนี่ยวต้นเพื่ออ้อมไป
สุดคันบึงมีทางลงซ้ายมือเป็นร่องเดียวกับที่ป้อมตกลงไป หากแต่สูงชันกว่า
และมีน้ำที่ไหลออกจากท้ายบึงพอดี
ทางข้ามสู่บิ้งนามีท่อนไม้ขนาดเท่าศรีษะทอดอยู่ราววาเศษไม่มีราวไม้ให้เหนี่ยวเดิน
แถวลูกเสือเริ่มลังเล รองนายหมู่ใช้คันธงหยังดูความลึกของท้องร่อง
พบว่าเป็นดินแข็ง คันธงเปียกเกือบศอก ครั้นใช้ไม้ธงค้ำพอเดินข้ามไปได้
ก็โยนกลับมาให้คนที่สองข้ามต่อ
“มีวิธีอื่นไหม...กูไม่กล้าข้าม” เด็กชายโอบตัวสูงกว่าใครเพื่อน แต่ปอด
“งั้นมึงรออยู่นี่ เข้าค่ายเสร็จ พวกกูจะมารับ”ป๋องได้ที
“เฮ่ยได้ไง...กูก็ไม่ได้คะแนนสิ พวกมึงก็จะไม่ได้ด้วย เพราะไปไม่ครบหมู่” โอบเถียง
“งั้นมึงจะเป็นภาระเพื่อนเหรอ มึงดูไอ้ป้อมสิ....ไอ้ป้อมมึงหาอะไร?” วิชชาถาม
เมื่อหันไปเห็นป้อมรั้งท้ายหมู่ หมุนตัวซ้ายทีขวาที ยุกยิก เหมือนหาอะไรสักอย่าง
“เดี๋ยวกูมานะ กูว่าขนมกูหล่นอยู่ในคูน้ำเมื่อกี้ “ ว่าพลางวิ่งย้อนกลับไปทางต้นชงโค
“อืม เชื่อมันเลยยยยย “ อานนท์เกาหัว แต่รับไม้ยันข้ามไปเป็นคนที่สอง
แถวลูกเสือไก่อู ทะยอยข้ามไปเรื่อย ๆ จนเหลือ บุญโอบ และถิ่นไท
“ถิ่น มึงไปก่อนสิ” คนตัวใหญ่ยังไม่ยอม
“ไม่ได้ กูไปแล้ว มึงยิ่งจะกลัว ที่มาเข้าค่ายนี่เขาก็สอนให้เรากล้าหาญด้วยนะโอบ” นายหมู่ว่า
“ถ้าก็ตกล่ะ...”
“ก็แค่เปียก...มึงกลัวเปียก?” ถิ่นไทเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ปล่าว...กูกลัวตก” โอบอึกอัก ยังไม่ยอมก้าว ขายาวเก้งก้างนั้นดูสั่นเล็กน้อย
ขณะที่คนข้ามไปก่อนถือโอกาสนั่งพัก บ้างวิดน้ำในร่องลูบแขนขา อย่างสดชื่น
บ้างวิดใส่กันไปมาจนเกือบเปียกปอน
“งั้นมึงดูโน่น...”ถิ่นพูดพลางชี้ไปด้านหลัง ซึ่งป้อมกำลังเดินแหวกมาตามท้องร่อง
จวนถึงบริเวณที่เพื่อนข้าม หาได้สนใจจะขึ้นมาบนคันทางไม่ ขณะที่ปากเคี้ยวไม่หยุด
ในมือข้างนึงยังกำกิ่งไม้บางอย่าง มีเม็ดเขียวๆอยู่เต็มเป็นพวงมาด้วย
“หมากข้าวเม่า แม่กูบอกกินได้ เอาไหม “ ป้อมว่าหน้าตาเฉย แถมยังรูดอีกกำ ส่งเข้าปาก
“กูว่ากูลงไปเดินกับไอ้ป้อมดีกว่า” โอบว่าอย่างเห็นทางออก
“ไม่ได้ ไอ้ขี้ขลาด ถ้ามึงไม่ข้ามกลับไปกูจะเอาไปล้อให้ทั่วโรงเรียนเลย ว่ามึงโตแต่ตัว”
ป๋องตะโกนขู่มาจากอีกฟาก
“อย่านะเดี๋ยวกูเตะ...” โอบตาขุ่นด่าเพื่อนอีกฟาก ขายาวนั้นก้าวไปเกือบครึ่งทาง
ทันใดนั้นเอง เจ้าตัวก็หน้าทิ่มพลวดเกือบล้มต้องก้าวขาอีกข้างตามไปจนแทบกลายเป็นกระโดด
ร้องลั่นด้วยความตกใจ แต่ก็คะมำลงอีกฟากพร้อมหอบหายใจแห่กๆ
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ อย่างสนุก ๆ สนาน เป็นฝ่าเท้าอรหันต์
ของป้อมนั่นเองที่ยังยืนหัวเราะอยู่ฝั่งเดิมกับถิ่นไท ทั้งสองคนยกมือขึ้นแปะกัน
เป็นเชิงพอใจในผลงานยิ่ง

.....โพล้เพล้แล้ว นกหากินกลางวัน หลายสิบตัวบินสวนทางไป เสียงกระดิ่ง
ควายของชาวบ้านได้ยินมาไกล แต่แผ่วๆ จากเบื้องหลังเช่นกัน เส้นทางยังคงถูกต้อง
ตลอดการเดินทางมีสัญญลักษณ์อ้างอิงกับแผนที่ได้ เว้นแต่สิ่งหนึ่งซึ่งปรากฎเบื้องหน้านี้
..... เงาราง ๆ ตะคุ่มๆ เบื้องหน้ามีแสงไฟวับแวมเล็ดลอดมาพอให้เห็นรูปทรง
“กระท่อม”
หมู่ไก่อูหยุดแถวลงหน้ากระท่อมไม้ไผ่หลังนั้น คล้ายมีแรงจูงใจอะไรบางอย่าง
พื้นกระท่อมยกสูงจากระดับดินเสมอเอวผู้ใหญ่ ปูด้วยไม้ไผ่สับเป็นแผ่นหรือฟาก
ผนังก็เช่นกัน กระท่อมหลังนั้นแม้เล็ก แต่ก็ยังมีระเบียงด้านหน้ามีจั่วคลุม
ยื่นออกมากันแดดฝน ทุกคนเงียบกริบ
“มากันแล้ว เหรอะ” เสียงแหบพร่าแต่แฝงด้วยพลังนั้น ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทุกคนหันขวับ
บัดนี้ผู้เผชิญหน้าคือ
“ถิ่นไท”



Create Date : 25 กรกฎาคม 2554
Last Update : 31 พฤษภาคม 2556 15:38:20 น.
Counter : 890 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าชายแห่งสายหมอก
Location :
ขอนแก่น  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ความจำสั้น แต่ความฝันยาว(Remember is short,but not for a dream)






Google

New Comments