<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
1 กันยายน 2552
 
 
งานทาสีอาคาร




การแบ่งประเภทของสี

แบ่งตามการใช้งานโดยเริ่มจากชั้นล่างสุด คือ

1. สีรองพื้น ( Primer ) หมายถึงสีชั้นแรกสุด ที่เคลือบติดวัสดุนั้นๆ เช่น สีรองพื้นกันสนิม มีหน้าที่กันไม่ให้เกิดสนิมเหล็ก หรือเกิดช้าที่สุด สีรองพื้นปูนใหม่กันด่าง คือ สีที่กันความเป็นด่างจากพื้นปูนใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเป็นด่างจากเนื้อปูน ทำปฏิกิริยากับสีทาทับหน้า ลดจำนวนสีทับหน้า วิธีนี้สามารถลดจำนวนสีทับหน้าลงได้

2. สีชั้นกลาง ( Undercoat ) เป็นสีชั้นที่สองรองจากสีรองพื้น เป็นสีที่เป็นตัวประสานระหว่างสีรองพื้นกับสีทับหน้า เป็นตัวเพิ่มความหนาของฟิล์มสี และลดการใช้สีทับหน้า

3. สีทับหน้า ( Top Coat ) เป็นสีขั้นสุดท้ายที่จะให้คุณสมบัติที่สวยงาม คงทน เงางาม มีสีมากมายให้เลือกใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ เช่น สีขาว เหลือง แดง ขึ้นอยู่กับรสนิยมและความพอใจ

4. สีทับหน้าประเภทใส ( Clear T/C ) เป็นสีที่ไม่มี Pigment จะไม่มีสี เป็นสีใสๆ หรือเหลืองอ่อน ใช้เคลือบบนวัสดุต่างๆ ให้เงามากขึ้น หรือด้าน หรือกึ่งเงากึ่งด้าน

การจำแนกวัตถุประสงค์ของสีกับการใช้งาน

สีเป็นวัสดุเคลือบผิวชนิดหนึ่ง ซึ่งผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ต่างๆ แล้ว สรุปจำแนกสีนำไปใช้งานได้อย่างคร่าวๆ เพื่อให้ีความเข้าใจแบบกว้างๆเกี่ยวกับการแยกลักษณะการใช้งานของสีชนิดต่างๆดังนี้

1. สีทาซีเมนต์ / คอนกรีต เช่น บ้าน อาคาร ตึก คอนโด อาพาร์ทเมนต์ ที่ใช้ปูนซีเมนต์ เป็นหลัก ควรใช้สีน้ำหรือสีน้ำ Emulsion เคลือบทับพื้นผิว ดูระบบด้วย
2. สีทาไม้ – ทาเหล็ก เช่น บ้านไม้ เรือไม้ เรือเหล็กขนาดเล็ก ชิ้นงานเหล็กต่างๆ ควรใช้สีเคลือบเงาทา ดูระบบด้วย
3. สีทาถนน ถนนคอนกรีต ถนนลาดยาง ควรใช้สีทาถนนโดยเฉพาะ
4. สีอบ เป็นสีที่ใช้ความร้อนอบชิ้นงาน เช่น ตู้เอกสาร แผ่นโลหะเคลือบต่างๆ
5. สีอบ ประเภท UV Cure เป็นสีหรือกึ่งหมึกพิมพ์ ใช้กับถุงอาหาร จะผ่านแสง UV และจะแห้งทันที เช่น ถุงอาหาร ดินสอ
6. สีทนความร้อน เป็นสีที่ใช้กับงานต่างๆ ที่ต้องการทนความร้อน เช่น ปล่องไฟ ปล่องควัน ท่อไอเสีย
7. สีใช้เป็นสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ทาท่อน้ำ ปล่องไฟ ท่อก๊าซ ทาขอบถนนบอกเป็นห้ามจอด ขอบทาง
8. สีใช้งานเฉพาะ เช่น สีพ่น Acrylic ประตู Alloy สีกันเพรียง สีทาเรือรบ สีพ่นรถยนต์ สีพรางรถถัง สีพ่นตู้เอกสาร สีพ่นเครื่องดับเพลิง ฯลฯ จะมีระบุเฉพาะ


แนวคิดในการเลือกใช้สี

สีในท้องตลาดมีมากมายหลายชนิด แบ่งแยกตามจุดประสงค์การใช้งาน แนวคิดกว้างๆ ในการเลือกใช้สี ต้องเลือกใช้สีที่เหมาะสมกับจุดประสงค์การใช้งาน เพื่อประโยชน์สูงสุดที่ได้รับ การเลือกสีสำหรับอาคารนั้น ต้องเลือกให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ใช้ โดยแยกตามประโยชน์และหน้าที่เฉพาะของสีโดยมี รายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ทาสีเพื่อปกป้องพื้นผิว การทาสีนั้นนอกจากทำเพื่อความเรียบร้อยสวยงามแล้ว ยังช่วยปกป้องและป้องกันความเสียหายอันเกิดกับพื้นผิวของวัสดุต่างๆ ของอาคารจากการกัดกร่อนของธรรมชาติ ได้แก่ แสงแดด ฝน สภาวะอากาศ รวมถึงทั้งสารเคมี และการสัมผัส เช็ด ถู ขูดขีด เป็นต้น

2. เพื่อสุขลักษณะและความสะอาด การทาสีที่ผ่านการเลือกใช้อย่างดี ถูกต้องตามลักษณะการใช้สอยของพื้นที่ในส่วนต่าง ๆ แล้ว จะช่วยทำให้ผิวหน้าของพื้นผิวเมื่อมีการใช้งาน จะทำความสะอาดได้ง่ายไม่ดูดซึมน้ำและสารละลายต่างๆ ได้ เช่น ครัว ควรใช้สีที่ทำความสะอาดง่ายเช่นสีน้ำมัน หรือ สีAcrylic อย่างดี, ห้อง LAB หรือห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ควรใช้สีที่มีความทนทานต่อสารเคมี และห้องน้ำ ควรใช้สีที่ทนต่อน้ำและความชื้นได้ดี ทำความสะอาดง่าย เป็นต้น

3. เพื่อปรับความเข้มของแสง บรรดาเฉดสีต่างๆ นอกจากจะมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย เช่น ทำให้ดูโล่งกว้าง ดูหนักแน่น หรือดูเร้าใจ เป็นต้นแล้วก็ยังจะมีส่วนช่วยในการปรับ ความเข้ม จาง ของแสงจากแสงแดดและแสงไฟฟ้า เฉดของสีมีส่วนช่วยเพิ่มหรือลดความเข้มของแสงในอาคารได้ เช่น ในห้องอ่านหนังสือที่ต้องการแสงสว่างมาก ๆ ก็ควรใช้เฉดสีสว่าง เช่น สีขาว ในขณะที่ห้องชมภาพยนตร์ ควรจะเลือกใช้เฉดสีที่มืด ไม่รบกวนการชมภาพยนตร์ เป็นต้น ในห้องที่แสงไม่พอ ก็สามารถใช้เฉดสีสว่างเข้ามาช่วยทำให้แสงภายในห้องดีขึ้นได้ส่วนหนึ่ง

4. สัญลักษณ์เครื่องหมาย บางครั้งก็มีการใช้สีสื่อความหมาย เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ ในรูปกราฟฟิก สีบางชนิด จะมีการสื่อความหมาย เป็นแบบมาตรฐานสากลได้ เช่น ป้ายจราจร สัญลักษณ์ ระวังอันตรายต่างๆ เป็นต้น

5. ความสวยงาม ประการสุดท้ายซึ่งเป็นประการสำคัญในการเลือกใช้สี คือเรื่องของความสวยงามความพอใจ ซึ่งเป็นผลโดยตรง และเห็นได้ชัดเจนที่สุด สำหรับงานทางสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือนต่างๆ การเลือกชนิดของสี และ เฉดสี อาจช่วยเน้นให้แนวความคิดในการออกแบบแสดงออกมาได้ดียิ่งขึ้น
การเลือกใช้สีนั้น อันดับแรก ต้องพิจาณาถึงความต้องการใช้สอยในพื้นที่ที่จะทาเสียก่อน ว่ามีการใช้งานมากน้อย หนักเบาอย่างไรบ้าง ดูว่าพื้นที่นั้น ๆ มีความต้องการพิเศษหรือไม่อย่างไร สุดท้ายจึงคำนึงถึงความชอบ ความสวยงาม

ชนิดและประเภทของสีเพื่อการใช้งาน

สีชนิดทาภายนอกอาคาร คือ สีที่จะทาในส่วนภายนอกอาคารทั้งหมด ที่มีการระบุให้ทาสี รวมทั้งพื้นผิวส่วนที่เปิดสู่ภายนอก หรือพื้นผิวส่วนที่จะได้รับแสงแดดโดยตรงจากภายนอกได้ ให้ทาด้วยสีประเภทอาคิลิค (Pure Acrylic Paint )โดยทำการทา 3 เที่ยว ในการทาสีทุกชนิดโดยเฉพาะสีทาภายนอกนั้น ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมพื้นผิวสำหรับการทาสีนั่นเอง เพราะกว่า 80 % ของการวิบัติของสี เกิดมาจากการเตรียมพื้นผิวไม่ดี ก่อนการทาสีนั้น ต้องให้แน่ใจว่า พื้นที่จะทานั้นแห้งสนิท ไม่มีสภาพเป็นกรดด่าง หรือมีฝุ่นเกาะ ควรเป็นผนังที่ฉาบเรียบ ไม่มีรอยแตกให้เห็น หากมีต้องทำการโป๊วปิดรอยต่อเสียให้เรียบร้อยก่อนการทาสี โดยปรกติการทาสีทุกประเภทจะทาประมาณ 2 – 3 รอบและ ไม่ควรทาสีเกิน 5 รอบ เพราะจะทำให้ชั้นของสีมีความหนาเกินไป และหลุดร่อนได้ง่าย

สีน้ำพลาสติกทาภายใน คือ สีที่จะทาส่วนภายในอาคาร เช่น ผนังฉาบปูนพื้นผิว ยิปซั่มบอร์ด กระเบื้องแผ่นเรียบ หรือส่วนอื่นๆ ที่ระบุ ให้ทาด้วยสีพลาสติก ( ทา 2-3 เที่ยว ) ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำสีภายในใช้ทาผนังภายนอก เนื่องจากสีภายในไม่ทนแดดทนฝน ทำให้สีหลุดร่อนได้ง่าย ที่คิดว่ามีราคาถูกกว่าสีทาภายนอกตั้งแต่แรก ก็จะกลายเป็นแพงกว่าขึ้นมาทันที แถมยังเสียเวลาเสียความรู้สึกอีกด้วยเวลาสีหลุดล่อนแตกลายงา ส่วนในผนังที่จะทาสีน้ำมันต้องสะอาด แห้ง และสิ่งที่สำคัญมากคือ ต้องไม่มีความชื้นเพราะ ความชื้นที่มีอยู่ภายใน หากทาสีแล้วชั้นของสีน้ำมันจะทับ ทำให้ระบายอากาศไม่ได้และจะทำให้เนื้อสีพองบวมออกมาได้ชัดเจนมากกว่าสีน้ำ หรือ สีอาคิลิค (Acrylic) สีในแต่ละส่วนของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายใน หรือส่วนอื่นของบ้าน ย่อมมีรายละเอียดของสีที่ทาแตกต่างกัน


การทาสี

คงจะมีอยู่น้อยคนนักที่ยังไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง และก็ยังคงมีอยู่น้อยคนเช่นกันที่จะปฏิเสธคำกล่าวข้างต้นว่าไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุภาพสตรีทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าการแต่งหน้าหรือแต่งตัวเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันที่ขาดเสียไม่ได้ และถ้าจะเพิ่มเติมคำกล่าวข้างต้นเสียหน่อยว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง บ้านสวยเพราะสีดี ก็ไม่น่าจะผิดความเป็นจริงแต่ประการใด เพราะบ้านที่มีสีสันสวยงามดูใหม่สะอาดตา ย่อมมีส่วนช่วยให้บ้านหลังนั้นดูเด่นเป็นสง่า น่าอยู่อาศัย เป็นที่ประทับใจแก่ผู้อยู่อาศัยและผู้พบเห็น และการที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ย่อมขึ้นอยู่กับการเลือกใช้สีที่เหมาะสม การใช้สีที่มีคุณภาพ ตลอดจนขั้นตอนในการทาสีที่เป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะการใช้สีชนิดที่เหมาะสม มีคุณภาพ และมีขั้นตอนการทาสีที่ถูก
ต้อง จะช่วยให้บ้านมีความสวยงามและสวยทนนาน


ประเภทของสีทาบ้าน

สีที่มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาดมีอยู่มากมายหลายชนิด ยิ่งถ้าจะแบ่งแยกกันอย่างละเอียดรวมถึงน้ำมันเคลือบผิวต่างๆ ด้วยแล้ว ก็มีนับร้อยชนิดเลยทีเดียว แต่ละชนิดจะมีองค์ประกอบของเนื้อสีและคุณสมบัติที่ต่างกัน อีกทั้งวัตถุประสงค์และประเภทของการใช้งานก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งถ้าจะนำมากล่าวถึงทั้งหมดก็คงจะเป็นรายละเอียดที่เกินความจำเป็น ในที่นี้ผู้เขียนจึงจะกล่าวถึงสีเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานทาสีบ้านเท่านั้น สีที่ใช้ในการทาบ้านที่นิยมใช้กันทั่วไปอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามวัสดุที่ใช้ทำสีและลักษณะของการใช้งาน อันได้แก่สีพลาสติก และสีน้ำมันดังนี้

สีพลาสติก

สีพลาสติกหรือที่เรียกกันคุ้นหูอีกชื่อหนึ่งว่าสีอะคริลิก (acrylic emulsion paint) เป็นสีพลาสติกที่ผลิตขึ้นจากลาเท็กซ์ พีวีเอซี โคพอลิเมอร์ (latex PVAc copolymer) ผสมกับแม่สี เป็นสีที่สามารถใช้น้ำเป็นตัวทำละลายหรือผสมสีให้เจือจาง แต่เมื่อสีแห้งได้ที่แล้วจะไม่ละลายน้ำหรือหลุดลอกไปตามน้ำ ใช้สำหรับงานทาผิวพื้นปูนหรือคอนกรีตทั่วไป รวมทั้งอิฐและกระเบื้องแผ่นเรียบ สีพลาสติกดังกล่าวยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่ สีสำหรับทาภายในและสีสำหรับทาภายนอก
สีพลาสติกชนิดทาภายนอกนั้นจะมีคุณสมบัติที่ทนต่อแดด และฝนได้ดีกว่าสีชนิดทาภายใน อีกทั้งสีพลาสติกที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมากมายหลายยี่ห้อนั้น ยังมีคุณสมบัติและความคงทนของสีที่แตกต่างกันออกไปอีก ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและปริมาณของเนื้อสีที่มีอยู่ ทั้งนี้ระดับราคาก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีการพัฒนาสีให้มีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ให้เลือกใช้ เช่น สีที่มีความยืดหยุ่นตัวสูง เพื่อปกปิดรอยแตกลายงาของผนัง สีที่สามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่าย สีที่สามารถป้องกันเชื้อราและตะไคร่น้ำ เป็นต้น ซึ่งสีดังกล่าวจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง

สีน้ำมัน

สีน้ำมันหรืออาจเรียกอีกสีหนึ่งว่าสีเคลือบเงา (full gloss enamel) เป็นสีน้ำมันที่ผลิตขึ้นจากแอลคิดเรซิน (alkyd resin) ผสมกับแม่สี ใช้น้ำมันหรือทินเนอร์เป็นตัวทำละลายหรือผสมสีให้เจือจาง ใช้สำหรับงานทาไม้และโลหะหรือแม้แต่ทาผิวปูนและ คอนกรีต เพื่อให้เกิดความเงางาม ทำความสะอาดได้ง่าย สีน้ำมันที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมีอยู่มากมายหลายประเภท ผลิตขึ้นเพื่อให้สามารถนำไปใช้งานประเภทต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง เช่น งานอุตสาหกรรม งานโครงสร้าง รวมทั้งงานซ่อมแซมต่างๆ ซึ่งสีน้ำมันแต่
ละประเภทจะมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการใช้งาน เช่น สีบางประเภทอาจจะต้องมีคุณสมบัติที่ทนต่อน้ำเค็ม สารเคมี หรือ ความร้อนเป็นต้น แต่สีน้ำมันที่ใช้สำหรับทาบ้านซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้ทาวงกบ ประตู หน้าต่าง หรือบางส่วนที่เป็นเหล็กนั้น จะเป็นสีน้ำมันชนิดทั่วไป การเลือกใช้สีมักพิจารณาเลือกใช้ตามยี่ห้อของสีเท่านั้น เพราะสีต่างยี่ห้อกันอาจมีคุณสมบัติในด้านความคงทนและราคาที่แตกต่างกัน

งานทาสีแม้มองเผินๆ จะไม่ใช่ของยาก แต่ถ้าจะทำให้ได้ผลงานที่ดีก็ไม่ใช่ของง่ายเช่นกัน ขั้นตอนการทาสีที่ถูกต้องเหมาะสม ก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าตัวสีที่ใช้เลยทีเดียว เพราะมีส่วนอย่างมากที่จะทำให้ผลงานของสีที่ทานั้นมีความสวยงาม เรียบร้อย และ คงทน เริ่มต้นจาการเตรียมพื้นผิวของบริเวณที่จะทำการทาสี เช่น ถ้าเป็นพื้นผิวที่เป็นปูน พื้นผิวจะต้องแห้ง สะอาด ปราศจากคราบไขมัน สีเก่า หรือ เศษปูนฉาบที่หลุดล่อน ถ้าเป็นพื้นผิวที่เป็นเหล็ก พื้นผิวจะต้องแห้ง สะอาด ปราศจากสนิม ฝุ่น ไขมัน และวัสดุที่หลุดล่อน เป็นต้น นอกจากนี้ การใช้สีที่มีสภาพใหม่รวมทั้งอุปกรณ์ทาสีที่สะอาดปราศจากสิ่งปนเปื้อนก็จะช่วยให้ได้ผลงานทาสีที่มีคุณภาพดี


การทาสีและการเลือกใช้สี

1. หลังจากการทำความสะอาดพื้นผิวตรงบริเวณที่จะทำการทาสีแล้ว ก่อนการทาสีจริงหรือสีทับหน้าจะต้องมีการทาสีรองพื้นก่อนเสมอ ซึ่งสีรองพื้นดังกล่าวจะต้องเป็นชนิดที่เหมาะสมกับชนิดและสภาพของพื้นผิวที่จะทาด้วยเพื่อให้ผลงานที่ได้มีคุณภาพดีและและคงทน เพราะสีรองพื้นต่างชนิดกันจะมีคุณสมบัติในการป้องกันและรักษาที่แตกต่างกัน เช่น ใช้สีรองพื้นปูนใหม่กันด่างสำหรับพื้นผิวปูนที่ยังไม่เคยทาสีมาก่อน ใช้สีรองพื้นปูนเก่าสำหรับพื้นผิวปูนเก่าที่เคยผ่านการทาสีและขูดสีเก่าออกแล้ว ใช้สีรองพื้นแดงกันสนิม
สำหรับงานทาสีพื้นผิวเหล็กทั่วไปและใช้สีรองพื้นไม้กันเชื้อราสำหรับงานทาสีพื้นผิวไม้ เป็นต้น มีอยู่บ่อยครั้งที่มีการทาสีจริงทับหน้า
เลยโดยไม่มีการทาสีรองพื้นก่อน เช่น งานทาสีเหล็กต่างๆ หรือมีการใช้สีรองพื้นผิดประเภท เช่น งานทาสีปูนเก่าและปูนใหม่ ซึ่งอาจจะทำด้วยความจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผลงานที่ได้มีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควรและมีอายุการใช้งานสั้นลง
2. การเลือกสีที่ใช้ว่าเป็นสีอะไรนั้น ควรจะเลือกตามเบอร์หรือสเป็กของสีที่แต่ละบริษัทผลิตมาจากโรงงาน เพราะแต่ละบริษัทจะผลิตสีต่างๆ ออกมาให้เลือกเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ไม่ควรนำสีต่างๆ มาผสมเอง เพราะการ
ผสมสีเองในแต่ละครั้ง อาจเกิดการผิดเพี้ยนได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องมีการผสมสีเพื่อซ่อมสีบางจุดในภายหลัง อาจเกิดการผิดเพี้ยนได้มาก อีกประการหนึ่งการนำสีต่างๆ มาผสมกันเองอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการนำเอาสีเก่าหรือสีที่ด้อยคุณภาพมาผสมลงไปได้โดยง่าย ซึ่งทำการตรวจสอบได้ยาก ทำให้สีที่ได้ด้อยคุณภาพลงอีกด้วย
3. สีที่นำมาใช้ควรจะเป็นสีใหม่หรืออยู่ในสภาพที่ดี มีเนื้อสีสม่ำเสมอเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีลักษณะของการปนเปื้อนหรือจับตัวเป็นก้อน กระป๋องที่บรรจุสีจะต้องอยู่ในสภาพดี มีฝาปิดสนิท มีการระบุเบอร์ของสีที่ชัดเจน ไม่อยู่ในสภาพบุบเบี้ยวหรือหรือเต็มไปด้วยสนิม ซึ่งทำให้ไม่สามาถเก็บรักษาสีให้อยู่ในสภาพที่ดีได้
4. สำหรับบางคนอาจจะเลือกใช้กระดาษปิดผนัง (wallpaper) แทนการทาสีในบางส่วนเพื่อเพิ่มความหรูหราสวยงามให้แก่ตัวบ้าน เนื่องจากการใช้กระดาษปิดผนัง จะต้องใช้กาวเป็นตัวติดประสาน จึงมีข้อควรระวังปัญหาเรื่องน้ำ โดยเฉพาะผนังด้านที่มีหน้าต่างหรือช่องกระจก ควรระวังเรื่องการรั่วซึมของน้ำฝน เพราะหากมีน้ำรั่วซึมออกมาแล้ว จะทำให้กระดาษปิดผนังเป็นรอยด่าง ขึ้นราและหลุดออกได้ง่าย ฉะนั้นการเลือกใช้กระดาษปิดผนังแทนการทาสีจึงควรพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยเพื่อหาทางป้องกันเอาไว้


อาคารบ้านเรือนหลายหลังที่พบว่ามีอาการวิบัติของสีที่ใช้ในการทาบ้าน หรือที่ภาษาชาวบ้านเขามักจะเรียกว่า “สีลอก สีร่อน” จริง ๆ แล้วอาการที่ว่าก็เกิดจากสาเหตุไม่กี่อย่าง แต่พอจะมีวิธีป้องกัน และแก้ไขเสียก่อน ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้าง หลักการข้อแรกคือ ต้องพึงนึกอยู่เสมอว่า สีกับความชื้นจะไม่ถูกกัน ฉะนั้นถ้ามีสิ่งที่ก่อให้เกิดความชื้น ก็ไม่ควรที่จะลงมือทำอะไรที่เกี่ยวกับสีครับ เช่น ในกรณีหน้าฝนที่มีฝนตกลงมาเช่นนี้ ก็ไม่ควรที่จะให้ช่างสีลงมือทาสีเลยทันที โดยเฉพาะผนังภายนอก หลังจากฝนตกแล้วควรทิ้งไว้สัก 2-3 วันหรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี เพื่อให้ความชื้นในผนังหมดไปเสียก่อน จึงได้ฤกษ์ลงมือทาสีกันได้ แต่ถ้าการก่อสร้างของท่านเร่งด่วนจริง ๆ ก็มีสีรองพื้นปูนใหม่ประเภทที่ฉาบเสร็จ 1 วันทาได้เลยครับ เป็นสีผสมผงปูนอย่างหนึ่ง สีชนิดนี้จะทาประมาณ 2-3 รอบ ลักษณะการทาจะเหมือนกับการฉาบปูน (ปูนกาว) บาง ๆ ทับปูนฉาบไปอีกชั้นหนึ่ง แต่หากเป็นสีปกติธรรมดาจะลงมือทาสีได้ หลังจากฉาบและทิ้งไว้ ๑๔ - ๒๘ วันเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ปูนทำปฏิกิริยาให้เสร็จเสียก่อน จึงจะทาสีได้ ไม่เช่นนั้นสีก็จะเป็นขุย หรือจะลอกซีดได้

ปัญหาอีกอย่างที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไปคือ รอยร้าวเล็ก ๆ ที่ผนังซึ่งก็เป็นอุปสรรคต่อการทาสีได้เช่นกัน รอยร้าวเหล่านี้ส่วนใหญ่ เกิดจากการที่ไม่ได้ทำเอ็นรอบวงกบและต่อเอ็นไปเชื่อมส่วนโครงสร้างหลัก หรือไม่ได้ติดลวดตะแกรงที่มุมวงกบ หรืออาจเกิดจากฝีมือของช่างฉาบเอง เช่น ฉาบปูนแล้วไม่ได้บ่มน้ำ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าใช้ฟองน้ำฉาบไล้ผิวแบบผิดวิธี
ถ้าเป็นรอยแคร๊กเล็กๆ ทั้งหลายสามารถ "โป๊ว" ปิดรอยแตก หรืออาจจะด้วยเนื้อสีเองโดยการใช้แปรงทาสีปาดให้เนื้อสีมีความหนาปิดรอยแตก โดยให้ทาเน้นๆ รอจนกว่าสีจะแห้ง จากนั้นไล่ลูกกลิ้งแบบทาสีทั่วไป แต่มักจะมีปัญหาตามมาทีหลัง ถ้าแตกเป็นรอยใหญ่ ก็ใช้ปูนยิปซัม (ปูนพลาสเตอร์) อุดเข้าไป แต่ถ้าใหญ่มาก็ควรสกัดเป็นแนวแล้วฉาบแก้เข้าไปใหม่ แต่วิธีนี้ก็ยังเป็นวิธีที่ไม่ดีเท่าไรนัก เนื่องจากเนื้อปูนที่ฉาบเข้าไปใหม่นั้นไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันกับปูนเก่า จึงมีโอกาสหลุดออกมาเป็นแนว เมื่อตึกมันเก่า ถ้ามีงบประมาณพอก็ควรสกัดทั้งผืนแล้วฉาบใหม่อีกที แล้วจึงลงมือทาสี ข้อสำคัญผนังที่จะทาสีนั้นต้องสะอาด แห้ง ไม่มีความชื้น พื้นที่จะทานั้นแห้งสนิด ไม่มีสภาพเป็นกรดด่าง หรือมีฝุ่นเกาะ ควรเป็นผนังที่ฉาบเรียบ ไม่มีรอยแตกให้เห็น และข้อสำคัญที่สุด จะประหยัดอะไรก็ประหยัดได้ แต่อย่าไปประหยัดสีรองพื้น หรือที่ช่างมักเรียกว่าไพร์มเมอร์เป็นอันขาด เพราะสีรองพื้นจะทำหน้าที่ทั้งในการยึดเหนียวสีที่ทากับผนัง และยังช่วยไล่ความชื้นจากผนังไม่ให้เข้าไปทำลายสีไม่ให้เกิดการหลุดล่อน

ที่มา : //www.novabizz.com/CDC/Process.htm





Create Date : 01 กันยายน 2552
Last Update : 8 กันยายน 2552 21:24:22 น. 0 comments
Counter : 1050 Pageviews.
 

Pial
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




[Add Pial's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com